สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 160 ล่อลวงได้สำเร็จ
ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะฮ่าๆ และมิได้ปฏิเสธ
ในตอนที่เธอค้นพบว่าราชาสัตว์อสูรนี้เป็นสัตว์อสูรวิเศษที่มีหัวคิด ก็เกิดความสนใจในตัวมันขึ้นมา นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์อสูรเทพอีกด้วย ฝึกฝนจนสำเร็จเป็นสัตว์อสูรเทพภายในสถานที่อันไกลโพ้นและขาดแคลนพลังวิญญาณเช่นนี้ได้ก็แสดงว่ามันฝึกฝนได้ค่อนข้างง่าย ไปจากที่นี่แล้วไม่แน่ว่าในภายภาคหน้าอาจจะประสบความสำเร็จมากยิ่งกว่านี้อีก
นอกจากนี้ถ้าหากมีสัตว์อสูรเทพเพิ่มมากขึ้นอีกสักหน่อย เมื่อถึงเวลาที่เธอไปยังตระกูลซือหม่าก็จะมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
“แต่ตอนนี้ข้ายังไม่คิดจะทำพันธสัญญากับมนุษย์หรอกนะ” ราชาสัตว์อสูรพูด “นอกจากนี้ข้ายังมีคนในเผ่าพันธุ์ข้าอยู่อีกด้วย เป็นถึงราชาของพวกเขา ข้าย่อมไม่มีทางทอดทิ้งพวกเขาได้หรอก และเจ้าก็มิอาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้มากมายถึงเพียงนั้นหรอกกระมัง”
“อืม เจ้าพูดได้ไม่ผิดเลย ตอนนี้ข้ามิอาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้มากนักหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ถ้าหากเจ้าไปกับข้า เช่นนั้นข้าก็พาสมาชิกในเผ่าพันธุ์ของเจ้าไปด้วยได้ พาพวกเจ้าไปดูโลกภายนอกอย่างไรล่ะ”
“เจ้าพาไปได้ทั้งหมดเลยหรือ” ราชาสัตว์อสูรมองซือหม่าโยวเย่ว์ กำลังคิดว่าสิ่งที่เธอพูดเป็นความจริงมากน้อยแค่ไหน
“ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจ “เจ้าเป็นราชาสัตว์อสูรได้ก็แสดงว่าพลังยุทธ์ของเจ้าจะต้องสูงส่งยิ่ง เช่นนั้นในภายภาคหน้าเจ้าก็จะต้องไปถึงระดับนั้นก่อนใครในเผ่าพันธุ์ของเจ้า พอถึงตอนที่เจ้าไปแล้ว สมาชิกเผ่าพันธุ์เจ้าจะทำเช่นไรเล่า เจ้าปรารถนาจะแยกจากพวกเขาอย่างนั้นหรือ แต่ถ้าหากเจ้าไปกับข้า ข้าพาสมาชิกเผ่าพันธุ์เจ้าไปด้วยได้ พอถึงเวลาที่ไปยังโลกเบื้องบน ถ้าหากพวกเขาต้องการจะจากไปจริงๆ ข้าจะปล่อยให้พวกเขาจากไปก็ได้”
คำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์ทำให้ราชาสัตว์อสูรจิตใจหวั่นไหวอยู่บ้าง แต่ละประเด็นที่เธอหยิบยกขึ้นมานั้นล้วนแทงใจดำมันพอดิบพอดี มันไม่อยากติดอยู่ในภูเขาไปตลอดกาล และไม่อยากแยกจากสมาชิกเผ่าพันธุ์ของตนด้วย
“แต่เจ้าทำพันธสัญญากับข้าไม่ได้นี่นา” ราชาสัตว์อสูรพูด “สัตว์อสูรวิเศษที่ไม่เคยฝึกให้เชื่องคงมิอาจทำพันธสัญญาได้กระมัง”
“ใครบอกว่าทำไม่ได้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูรพอดีเลย แค่ฝึกให้เชื่องก็ใช้ได้แล้วนี่”
“ข้าเป็นสัตว์อสูรเทพ นักฝึกสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไปฝึกข้าให้เชื่องไม่ได้หรอก” ราชาสัตว์อสูรพูด
“เจ้าวิหคน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกเจ้าวิหคน้อยเสียงหนึ่ง เจ้าวิหคน้อยจึงแสดงพลานุภาพสัตว์อสูรเทพของตนออกมาในทันที
“สัตว์อสูรเทพหรือนี่!” ราชาสัตว์อสูรเพิ่งจะค้นพบว่าเจ้านกน้อยที่ดูไม่สะดุดตาบนบ่าของซือหม่าโยวเย่ว์นั้นเป็นสัตว์อสูรเทพตนหนึ่ง
“ใช่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์เติมเชื้อไฟ “เป็นอย่างไรบ้าง ทีนี้เจ้าเชื่อหรือยังเล่าว่าข้าฝึกเจ้าให้เชื่องได้”
ราชาสัตว์อสูรเงียบงันไปอีกครั้ง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยเงยหน้าขึ้นมาแล้วถามว่า “ถ้าหากข้าติดตามเจ้าไปแล้วเจ้าจะพาสมาชิกเผ่าพันธุ์ข้าไปด้วยได้อย่างไรหรือ”
“ข้ามีสถานที่อยู่แห่งหนึ่งที่ให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ภายในนั้นได้ ข้าพูดได้อย่างมั่นใจเลยว่าสภาพแวดล้อมภายในนั้นดีกว่าที่นี่ตั้งไม่รู้กี่เท่า หากใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นสมาชิกเผ่าพันธุ์เจ้าก็จะเพิ่มพูนพลังยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นอีก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“แล้วข้าจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”
“ข้าให้สัตย์สาบานได้”
ราชาสัตว์อสูรมองตาซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพบว่านัยน์ตาของเธอไม่มีแววเจ้าเล่ห์อยู่เลย จึงเชื่อในคำพูดของเธอแล้วเอ่ยว่า “เอาละ ข้าจะติดตามเจ้าไปก็ได้ หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”
“เจ้าวางใจเถิด!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดยิ้มๆ
จากนั้นเธอจึงให้เจ้าคำรามน้อยเปิดข่ายมนตร์ใหม่แล้วตนก็ผ่านทะลุเข้าไป ให้เจ้าคำรามน้อยและเจ้าวิหคน้อยคอยคุ้มกัน ในขณะที่ตนเริ่มต้นฝึกราชาสัตว์อสูรให้เชื่อง
“เจ้าผ่อนคลายหน่อย อย่าต้านทานข้าสิ…”
ซือหม่าโยวเย่ว์ฝึกมันไปพร้อมกับปลอบประโลมราชาสัตว์อสูร
พวกเป่ยกงถังประสานสายตากันคราหนึ่ง แต่ละคนล้วนอับจนคำพูดอยู่บ้าง นี่คือสัตว์อสูรเทพจริงๆ หรือ เหตุใดจึงถูกซือหม่าโยวเย่ว์ล่อลวงได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้นเล่า
ความจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือหลังจากที่ซือหม่าโยวเย่ว์ทำพันธสัญญากับเจดีย์วิญญาณแล้ววิญญาณของเธอก็มีแรงดึงดูดต่อผู้อื่นในระดับที่แตกต่างกันไป ขอเพียงแค่เธอต้องการจะใกล้ชิดกับใคร ก็ไม่ต้องพูดถึงความล้มเหลวเลย
แม้กระทั่งโอวหยางเฟยและเป่ยกงถังที่ตอนนั้นล้วนห่างเหินกันเป็นอย่างยิ่ง สุดท้ายก็เดินร่วมทางมาด้วยกันเหมือนกับทุกคน
นอกจากนี้ถึงแม้ว่าคำพูดของเธอจะเรียบง่าย แต่ท่าทีของเธอมีความจริงใจอย่างยิ่ง ทำให้คนเชื่อถือได้อย่างง่ายดาย และคำสัญญาของเธอก็ยังใช้ทักษะในการเจรจาต่อรองจากชาติก่อนอีกด้วย แทงใจดำมันทุกจุด ทำให้มันถูกดึงดูดอย่างมิอาจหักห้ามได้
ถ้าหากวันนี้เปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็เกรงว่าคงจะมิได้มีผลลัพธ์เช่นนี้ ไม่ต้องพูดถึงการทำพันธสัญญาเลย ไม่แน่ว่าอาจจะถูกราชาสัตว์อสูรฟาดสลบในฝ่ามือเดียวตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว
แต่พวกเขากลับไม่อิจฉาเธอที่เป็นเช่นนี้เลย
สำหรับความสำเร็จของเธอนั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นมากกว่าก็คือความยากลำบากและความเพียรพยายามของเธอ นอกจากนี้สิ่งที่เธอมอบให้และความช่วยเหลือที่เธอหยิบยื่นให้ก็มีมากมายเหลือเกิน
ซือหม่าโยวเย่ว์ใช้เวลากว่าครึ่งวันในการฝึกราชาสัตว์อสูรให้เชื่อง และเนื่องจากยังต้องไปรับตัวสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงต้องเลื่อนเวลาออกไปอีกสองวันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากทำพันธสัญญาแล้วราชาสัตว์อสูรก็เลื่อนขึ้นหนึ่งระดับ สำเร็จเป็นสัตว์อสูรเทพขั้นห้า พลังยุทธ์ใกล้เคียงกันกับจ้าววิญญาณขั้นหนึ่ง
“เป็นถึงสัตว์อสูรเทพขั้นสี่เลยทีเดียว มิน่าเล่าการฝึกจึงได้ใช้ระยะเวลาเนิ่นนานถึงเพียงนี้!” เว่ยจือฉีเห็นระดับขั้นของราชาสัตว์อสูรแล้วจึงรำพึงออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ความสามารถในการฝึกสัตว์อสูรของโยวเย่ว์แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ” เป่ยกงถังพูด
“อื้ม พลังจิตอันน่ามหัศจรรย์นั้นของนาง ช่วยไม่ได้นะ ข้าว่าต่อให้ขั้นเทพมาเปรียบเทียบกับนางก็ยังไม่แน่ว่าจะเหนือกว่านางเลยด้วยซ้ำ” เว่ยจือฉีพูดยกย่อง
“พอแล้วน่า เจ้าอย่าเยินยอโยวเย่ว์อีกเลย นางกลายเป็นตัวประหลาดแล้วล่ะ” เจ้าอ้วนชวีหยิบผลไม้ทิพย์ผลหนึ่งออกมากัดสองคำแล้วพูดว่า “เจ้าต้องคิดเช่นนี้สิว่า พลังจิตของพวกเราเมื่อเอาไปเปรียบกับภายนอก ก็ต้องเป็นบุคคลน่ามหัศจรรย์เช่นกัน”
เป่ยกงถังก็พยักหน้าแล้วเอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “ใช่แล้ว เจ้าลองคิดดูสิว่าสองปีมานี้พลังจิตของเจ้าแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหน ก่อนหน้านี้ยังฝึกให้เชื่องไม่ได้แม้กระทั่งสัตว์อสูรทิพย์ ทว่าตอนนี้ฝึกได้กระทั่งสัตว์อสูรทิพย์ขั้นสูงแล้วกระมัง เพิ่มขึ้นมาหนึ่งระดับเต็มๆ เลยทีเดียว”
“นี่ต้องขอบคุณวิธีการยกระดับพลังจิตที่โยวเย่ว์สอนพวกเราเลย” เว่ยจือฉีมองซือหม่าโยวเย่ว์ที่กำลังเลื่อนระดับอย่างซาบซึ้ง
ทุกครั้งที่เห็นระดับขั้นของซือหม่าโยวเย่ว์ พวกเขาล้วนพากันตกตะลึงอย่างรุนแรง ถึงแม้ว่าทุกคนต่างก็ฝึกยุทธ์พร้อมกัน ไปเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษมาต่อสู้ด้วยกัน แต่ซือหม่าโยวเย่ว์ก็พัฒนาได้รวดเร็วกว่าพวกเขาอยู่มากพอสมควร นอกจากนี้การหลอมยาและการฝึกสัตว์อสูรของเธอก็มิได้ด้อยลงเลยแม้แต่น้อย
พวกเขาเลื่อนจากระดับปรมาจารย์วิญญาณไปถึงระดับมหาปรมาจารย์วิญญาณ จนถึงระดับราชาวิญญาณในตอนนี้ ต่างก็รู้สึกว่าเป็นบุคคลผู้ล้ำเลิศแล้ว แต่เจ้าโยวเย่ว์ผู้นี้เล่า เลื่อนระดับได้รวดเร็วเหมือนดื่มน้ำเลยทีเดียว! ก่อนจะมาที่นี่เป็นระดับปรมาจารย์วิญญาณ ตอนนี้ก็แซงหน้าพวกเขาไปมากมายแล้ว
ถ้าหากพวกเขาได้รู้ว่าเธอสำเร็จเป็นปรมาจารย์ค่ายกลแล้วด้วย คาดว่าคงมิอาจรับได้ไหว
ซือหม่าโยวเย่ว์เคยพูดเอาไว้ว่าตอนนี้เธอก็เหมือนกับฟองน้ำที่จำเป็นต้องดูดซับสิ่งเหล่านั้นอย่างบ้าคลั่ง ให้ตนแกร่งกล้าขึ้นมาโดยเร็วที่สุด
ผ่านไปครู่ใหญ่ ลำแสงแห่งการเลื่อนระดับจึงจางหายไป ซือหม่าโยวเย่ว์มองราชาสัตว์อสูรพลางเอ่ยว่า “ตอนนี้พวกเราไปรับสมาชิกเผ่าพันธุ์เจ้ากันดีกว่า”
“คิดไม่ถึงว่าทำพันธสัญญากับท่านแล้วจะยังเลื่อนระดับได้ด้วย ข้าค้างอยู่ที่ระดับสัตว์อสูรเทพขั้นสี่มาเนิ่นนานแล้ว ที่ผ่านมาก็ไม่คืบหน้าเลย” ราชาสัตว์อสูรแปลงกายเป็นร่างจำแลง มาตรงหน้าซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดอย่างตื่นเต้น
“สู้เจ้าพวกนี้ไม่ได้หรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนเพิ่งเลื่อนระดับ พวกย่ากวงก็ได้รับผลสะท้อนกลับเช่นกัน รอให้ข้าเลื่อนระดับในภายภาคหน้า เจ้าก็จะได้รับผลสะท้อนกลับเช่นกัน พลังยุทธ์ก็จะเพิ่มอย่างรวดเร็วขึ้นอีก”
“ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าการทำพันธสัญญาจะมีประโยชน์เช่นนี้ด้วย!” ราชาสัตว์อสูรพูดอย่างตื่นเต้น “ถ้าหากมีใครในเผ่าพันธุ์อยากทำพันธสัญญากับมนุษย์ พอถึงตอนนั้นก็ให้พวกเขามาให้ท่านฝึกแล้วกันนะ”
“ไม่มีปัญหา” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด เมื่อฝึกให้เชื่องเธอก็จะได้รับพลังวิญญาณ ซึ่งมีประโยชน์ต่อตัวเธอเองเช่นกัน “ใช่แล้ว เจ้าชื่ออะไร เป็นเผ่าพันธุ์จิ้งจอกใช่หรือไม่”
ราชาสัตว์อสูรส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ข้ามิใช่จิ้งจอกธรรมดาทั่วไปหรอกนะ…”