สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 173 กัลป์สายฟ้าจำแลงกาย
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูอาทิตย์อัสดงของเทือกเขาสั่วเฟยย่าพลางเอ่ยว่า “ผู้ที่ทำให้สัตว์อสูรเทพเชื่อฟังคำสั่งได้นั้นมีเพียงผู้ที่ระดับขั้นสูงกว่ามันเท่านั้น นอกจากนี้ยังต้องมีพลังยุทธ์อันน่าหวาดหวั่นอีกด้วย…”
ผู้คนบนกำแพงเมืองจำนวนไม่น้อยต่างก็จำพลังยุทธ์ของสัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างได้ ย่อมต้องนึกถึงจุดนี้ได้อยู่แล้ว อย่างเช่นวังเหล่ยที่ขมวดคิ้วจนหน้ายับย่น รวมทั้งซุนลี่ลี่ที่ยืนสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างเขาด้วย
เมื่อปรมาจารย์วิญญาณที่หาตัวมาชั่วคราวเห็นสัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างก็หาตัววังเหล่ยจนพบ หลังจากพูดอะไรบางอย่างแล้วก็รีบไปจากกำแพงเมืองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะบินตรงเข้าไปในเมือง
ทิศทางนั้นก็คือสถานที่ตั้งของสมาคมปรมาจารย์วิญญาณแห่งเมืองไตรวารีนั่นเอง…
พอมีคนแรกแล้ว ต่อมาก็มีปรมาจารย์วิญญาณเลือกที่จะร่นถอยไปอย่างต่อเนื่องอีกหลายระลอก มิใช่ว่าข้อเสนอของจวนเจ้าเมืองดึงดูดใจไม่พอ แต่ทว่าต่อให้ได้รับผลตอบแทนอย่างงาม ก็ยังต้องมีชีวิตรอดมาเสพสุขจึงจะใช้ได้
ปรมาจารย์วิญญาณจำนวนหนึ่งเห็นปรมาจารย์วิญญาณที่ร่นถอยไปเหล่านั้นแล้วก็อดที่จะเอ่ยปากด่าทอมิได้ พวกเขาอยากจะช่วยเมืองไตรวารี ร่วมกันต้านทานการปฏิวัติสัตว์อสูรด้วยกันจริงๆ
“เจ้าปรมาจารย์วิญญาณพวกนี้ ร่นถอยไปเสียอย่างนั้น” เจ้าอ้วนชวีมองปรมาจารย์วิญญาณที่จากไปเหล่านั้นด้วยสายตาดูแคลนอย่างยิ่ง
“ถ้าหากเจ้าไม่รู้จักกับอวิ๋นฉี เจ้าจะอยู่ที่นี่ต่อไปหรือไม่” เว่ยจือฉีพูดขึ้น
เจ้าอ้วนชวีลูบจมูกตัวเองพลางเอ่ยว่า “สัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้ ถ้ามิใช่เพราะอวิ๋นฉีช่วยเหลืองานใหญ่ของโยวเย่ว์ พวกเราจะมามัวอยู่ที่นี่ทำไมกันเล่า! พวกเราก็มิใช่ยอดฝีมืออันใดเสียหน่อย!”
“เจ้าอ้วน จือฉี เป่ยกง โอวหยาง ถ้าหากสู้กันขึ้นมาจริงๆ พวกเจ้าต้องขี่หลังสัตว์อสูรวิเศษของพวกเจ้าไปต่อสู้นะ อย่าลงไปตามลำพังเป็นอันขาด ถ้าหากสัตว์อสูรวิเศษของพวกเจ้าต้านทานไม่ไหวก็จงถอยกลับมา อย่าต่อสู้พัวพันเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยกำชับ
“พวกเรารู้แล้วน่า!” เจ้าอ้วนชวีพูด “เป้าหมายของพวกเราคือการไปช่วยท่านปู่เป็นเพื่อนเจ้า มิใช่พาตัวเองมาตายอยู่ที่นี่เสียหน่อย!”
พวกเป่ยกงถังและโอวหยางเฟยต่างพยักหน้า
ซือหม่าโยวเย่ว์เบนสายตาไปทางเทือกเขาสั่วเฟยย่าอีกครั้งแล้วเอ่ยพึมพำว่า “เหตุใดข้าจึงสังหรณ์ใจไม่ดีเลยเล่า…”
สัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว คนบนกำแพงเมืองก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม แต่มีบางคนที่ใจกล้าหน่อยนั่งลงกับพื้นแล้วพิงกำแพงเมืองหลับไป
วังเหล่ยได้ฟังคำที่ไป๋อวิ๋นฉีถอดความให้ฟังแล้วจึงมองไปทางพวกซือหม่าโยวเย่ว์แวบหนึ่ง หลังจากนั้นจึงส่งคนบินออกไปลองเจรจากับสัตว์อสูรวิเศษที่ทำหน้าที่สั่งการดู แต่สัตว์อสูรเทพตนนั้นเพียงแค่ลืมตาขึ้นมามองแวบหนึ่ง หลังจากนั้นก็หลับตาต่อไปโดยไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ
คนที่ไปเจรจาเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองก็ไม่กล้าดันทุรัง ได้แต่หมุนกายบินกลับไปเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้ได้ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่พูดไม่เคลื่อนไหวใดๆ เลยก่อนที่สัตว์อสูรวิเศษตนนั้นจะมา” เป่ยกงถังเห็นคนที่ไปเจรจาผู้นั้นล้มเหลวกลับมาจึงเอ่ยขึ้น
“ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วเป็นเรื่องอันใดกันแน่ จึงก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรวิเศษอย่างใหญ่โตเช่นนี้ได้” เว่ยจือฉีพูดพลางมองดูเทือกเขาสั่วเฟยย่า
“ไม่ว่าจะเป็นอะไร ย่อมต้องมิใช่เรื่องดีแน่!” เจ้าอ้วนชวีพูด “พวกเจ้าว่าจะใช่ความเคลื่อนไหวที่พวกหัวโจกในสั่วเฟยย่าก่อขึ้นหรือไม่ มิฉะนั้นจะมีสัตว์อสูรเทพมากันมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรเล่า”
“ถ้าหากใช่จริงๆ ก็คงยุ่งยากเสียแล้วล่ะ เกรงว่าทั่วทั้งเมืองไตรวารีก็ยังต้านไม่ไหวเลย” เว่ยจือฉีพูด
“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอันใด อีกไม่นานก็น่าจะรู้เหตุผลแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูความเปลี่ยนแปลงบนท้องฟ้าไกลออกไปพลางเอ่ยขึ้น
“พวกเจ้าดูสิ บนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาสั่วเฟยย่าน่ะ!” มีคนร้องขึ้นอย่างตกใจ
คนทั้งหมดต่างถูกดึงดูดความสนใจไปยังเสียงร้องอย่างตกใจนั้นแล้วมองไปยังเทือกเขาสั่วเฟยย่า
แสงสุดท้ายของอาทิตย์อัสดงลับหายไปที่อีกฟากหนึ่งของภูเขา แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจมิใช่พระอาทิตย์ตก หากแต่เป็นเมฆครึ้มกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่ก่อตัวขึ้นบนท้องฟ้าเหนือภูเขาอย่างรวดเร็ว
“จู่ๆ มีเมฆครึ้มปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลันได้อย่างไรกัน”
“ฝนจะตกอย่างนั้นหรือ”
“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ต้องเป็นเพราะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในเทือกเขาสั่วเฟยย่าแน่นอน!”
“เรื่องอันใดเล่าที่จะทำให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นได้”
“เมฆครึ้มบดบังหนาทึบอย่างฉับพลัน เหตุใดข้าจึงมีลางสังหรณ์ไม่ดีเอาเสียเลย”
“……”
ระหว่างที่ผู้คนคาดเดากัน เมฆครึ้มก็หนาทึบขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกเลย
ซุนลี่ลี่มองดูเมฆครึ้มบนเทือกเขาสั่วเฟยย่า นัยน์ตาฉายแววไม่อยากเชื่อ นางมองวังเหล่ยพลางเอ่ยว่า “พี่เหล่ย หรือว่าสิ่งที่เห็นนี้จะเป็น…”
ในใจของวังเหล่ยก็ตื่นตระหนกเช่นเดียวกัน เขาเข้าใจความหมายของซุนลี่ลี่ จึงเอ่ยว่า “ข้าหวังจริงๆ ว่าจะมิได้เป็นอย่างที่พวกเราคิด! มิฉะนั้น…โอ้!”
เจ้าอ้วนชวีเพิ่งเคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นครั้งแรก จึงคว้าแขนของเว่ยจือฉีเอาไว้โดยสัญชาตญาณ พลางเอ่ยว่า “ที่แท้นี่มันเรื่องอันใดกันแน่ เหตุใดข้าจึงสัมผัสพลังอันน่าหวาดหวั่นภายในเมฆครึ้มกลุ่มนั้นได้เล่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์เรียกตัวเจ้าคำรามน้อยออกมา เมื่อเจ้าคำรามน้อยเห็นเมฆครึ้มแล้วก็ร้องออกมาในทันใด “การจำแลงกายของสัตว์อสูรเทพ!”
“การจำแลงกายของสัตว์อสูรเทพคืออะไรหรือ” เจ้าอ้วนชวีถาม
เจ้าคำรามน้อยมิได้คอยเกาะติดอยู่ข้างกายของซือหม่าโยวเย่ว์ดังเช่นก่อนหน้านี้แล้ว หากแต่มุดเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนเธอ หลังจากนั้นจึงเอ่ยอธิบายว่า “พอสัตว์อสูรวิเศษไปถึงระดับสัตว์อสูรเหนือเทพก็จะสามารถแปลงเป็นร่างมนุษย์ได้ แต่หากคิดอยากจำแลงกายเป็นมนุษย์ก็จำเป็นต้องผ่านการชำระล้างของอสนีบาตเสียก่อน ซึ่งก็คือการถูกสายฟ้าฟาดหลายๆ ครั้ง ถ้าหากทนไหวจึงจะจำแลงกายกลายเป็นมนุษย์ได้”
“แล้วถ้าหากทนไม่ไหวเล่า” เจ้าอ้วนชวีถาม
“ถ้าหากทนไม่ไหวก็จะวอดวายกลายเป็นเถ้าถ่าน”
“เฮือก…”
เจ้าอ้วนชวีตกใจจนสะดุ้งเพราะจุดจบอันสุดโต่งนี้แล้วมองไปทางเมฆครึ้มที่หนาขึ้นเรื่อยๆ นั้นพลางถามว่า “สัตว์อสูรเหนือเทพทุกตนต้องประสบกับเรื่องเช่นนี้ทั้งหมดเลยหรือ”
เจ้าคำรามน้อยกลอกตาใส่เจ้าอ้วนชวีแล้วพูดว่า “ต้องไม่ใช่แน่นอนอยู่แล้วสิ มีเพียงแค่ตนที่อยากจะจำแลงกายเป็นมนุษย์เท่านั้นจึงต้องประสบกับกัลป์สายฟ้าพรรค์นี้ ตนที่สำเร็จเป็นสัตว์อสูรจำแลงจะเลือกได้ด้วยตัวเอง ถ้าหากไม่อยากเปลี่ยนเป็นมนุษย์ก็ไม่ต้อง ยามที่สัตว์อสูรเหนือเทพจำแลงกายเป็นมนุษย์นั้นอาจไปขยับถูกวิถีสวรรค์เข้า ก่อให้เกิดกัลป์สายฟ้าจำแลงกายขึ้นมา”
“เช่นนั้นเพียงแค่ไม่อยากแปลงเป็นมนุษย์ ก็ไม่ต้องประสบกับสิ่งนี้แล้วสิ เช่นนั้นเหตุใดสัตว์อสูรเหนือเทพเหล่านั้นจึงยังเลือกทางนี้อยู่เล่า” เว่ยจือฉีไม่เข้าใจ
“เมื่อใดที่สัตว์อสูรวิเศษจำแลงกายได้สำเร็จ เช่นนั้นมันก็จะได้เสพสุขกับความรุ่งโรจน์อันสูงสุดในโลกสัตว์อสูรวิเศษ นอกจากนี้การบำเพ็ญด้วยร่างมนุษย์ก็ง่ายกว่าร่างสัตว์อสูรอยู่มากพอสมควร ดังนั้นสัตว์อสูรเหนือเทพจำนวนมากจึงรู้สึกว่าเมื่อโอกาสมาถึงแล้วก็จะเลือกการจำแลงกาย แน่นอนว่าต้องมีพวกที่เลือกจะไม่จำแลงกายอยู่ด้วย” เจ้าคำรามน้อยพูดอธิบาย
“เช่นนั้นจิตวิญญาณของสัตว์อสูรเหนือเทพตนนี้ช่างน่าสรรเสริญยิ่งนัก!” เจ้าอ้วนชวีเอ่ยชม “พวกเจ้าดูเมฆครึ้มนั่นสิ พวกเราแค่มองยังตื่นตระหนกกันเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าอาจจะมีสายฟ้าฟาดลงบนร่างกายเลย”
“ช่างชวนให้คนนับถือจริงๆ นั่นแหละ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่สิ่งที่ข้ากังวลใจยิ่งกว่าก็คือสัตว์อสูรจำแลงนั้นจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติสัตว์อสูรในครั้งนี้หรือไม่”
“โยวเย่ว์ เหตุใดจึงพูดเช่นนี้เล่า”
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ถึงพลังที่แฝงอยู่ภายในเมฆครึ้มนั้น จึงเอ่ยว่า “แค่รู้สึกน่ะ”
เมฆครึ้มบนท้องฟ้าเหนือเทือกเขาสั่วเฟยย่าหนาขึ้นเรื่อยๆ และมีสายฟ้าจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าเป็นระยะๆ แต่มีขนาดไม่ใหญ่นัก
ผู้คนบนกำแพงเมืองต่างมองดูความเคลื่อนไหวทางด้านสั่วเฟยย่ากันอย่างไม่วางตา สัตว์อสูรวิเศษด้านล่างของกำแพงเมืองก็พากันหมุนดัวไปมองเช่นกัน สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำจำนวนหนึ่งก็ตกใจจนลงไปคลานบนพื้นพลางสั่นสะท้านไม่หยุด
ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นความพลุ่งพล่านอย่างต่อเนื่องนั้นมีสีแดงสายแล้วสายเล่าอยู่ระหว่างกลาง จึงเอ่ยว่า “มาแล้ว!”
เธอเพิ่งเอ่ยวาจาออกไป อสนีบาตสายหนึ่งก็แหวกลงมาจากกลางท้องฟ้าแล้วฟาดตรงลงไปยังจุดหนึ่งในเทือกเขา
……………………………………….