สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 219 เมืองอันหยาง
คนของตระกูลน่าหลานจากไปง่ายๆ เช่นนี้น่ะหรือ
ทุกคนไม่อยากเชื่อสายตาอยู่บ้าง พวกเขายอมฆ่าคนผิดพันคน ดีกว่าปล่อยไปหนึ่งคนมาตลอด วันนี้แม้จะสงสัยในตัวพวกซือหม่าโยวเย่ว์แล้ว แต่ก็ยังคงมิได้ลงมือ
แต่เมื่อเห็นคนของตระกูลซือหม่า ทุกคนต่างพากันโล่งใจ คนของสองตระกูลนี้ไม่ถูกกันมาโดยตลอด ท่าทางเมื่อครู่นี้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่งว่าตระกูลซือหม่าต้องการปกป้องพวกเขา ถึงว่าตระกูลน่าหลานอยากลงมือก็คงไม่สะดวก
“ใกล้ถึงงานประลองแล้ว น่าหลานเจี๋ยไม่อยากปะทะกับซือหม่าโยวหลินก่อนหน้านั้น เพราะกลัวจะเปิดเผยพลังยุทธ์ของตนล่วงหน้าล่ะสิ” มีคนวิเคราะห์
“นอกจากนี้เขาก็พูดเอาไว้แล้วมิใช่หรือว่า เมื่อใดที่คนเหล่านี้เลิกติดตามตระกูลซือหม่า ย่อมถูกพวกเขาตามไล่ล่าฆ่าฟัน”
พวกซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะร่นถอยไปเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องชั่วครั้งชั่วคราวหรือไม่ เธอก็ยังเอ่ยอย่างซาบซึ้งว่า “ขอบคุณพวกเจ้ามากที่ช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้พวกเรา”
ซือหม่าโยวหลินเก็บไอพลังกลับมาโดยไม่ได้พูดอะไร ทำให้คนละเลยเขาไปโดยไม่รู้ตัว
ซือหม่าโยวหยางก้าวเข้ามาคว้าไหล่ซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรหรอกน่า แต่ไหนแต่ไรพวกเราก็ไม่ถูกกับตระกูลน่าหลานอยู่แล้ว มีเรื่องมากขึ้นหรือน้อยลงไปอีกเรื่องก็ไม่เห็นเป็นไรเลย”
เป่ยกงถังก้าวเข้าไปดึงตัวซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากกรงเล็บมารของซือหม่าโยวหยางแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณพวกเจ้ามาก”
พวกเว่ยจือฉีก็เข้ามาเอ่ยคำขอบคุณเช่นเดียวกัน
“ซีเหมิน พวกเจ้าสังหารใครในตระกูลพวกเขาอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวฉิงถามพลางยิ้มตาหยี
ซือหม่าโยวเย่ว์มองคนเหล่านั้นปราดหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยตอบเสียงเบาว่า “ชายหนุ่มลามกคนหนึ่ง กับตาเฒ่าลามกอีกคน”
“หรือตาเฒ่าลามกจะหมายถึงผู้อาวุโสสิบห้าของพวกเขาเล่า” ซือหม่าโยวหยางพูดอย่างตกใจ “ใช่ตาแก่หนังเหนียวที่ทั้งเตี้ยทั้งอัปลักษณ์ ร่างกายเต็มไปด้วยไขมัน ชมชอบเด็กบำเรอหรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
“บ้าเอ๊ย พวกเจ้าถึงกับสังหารผู้อาวุโสของพวกเขา มิน่าเล่าพวกเขาจึงได้บุกมาหาถึงที่” ซือหม่าโยวหยางตกใจจนแทบกระโดด ดวงตาที่มองพวกซือหม่าโยวเย่ว์ก็เบิกกว้าง
แม้กระทั่งซือหม่าโยวหลินก็ยังมองพวกเขาปราดหนึ่ง แต่ก็ถอนสายตากลับไปในทันที
“ข้านับถือพวกเจ้าจริงๆ พวกเจ้าบอกว่าจะฆ่า ก็ฆ่าผู้อาวุโสของตระกูลน่าหลานได้เลย!”
“เขาต้องการฉุดคร่าภรรยากับน้องชายข้า ข้าย่อมต้องลุกขึ้นมาต่อต้านอยู่แล้วสิ แต่ข้ามิได้มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นหรอกนะ ก็เลยอาศัยกลยุทธ์นิดหน่อยน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ฆ่าให้ตายได้ก็นับว่ายอดเยี่ยม!” ซือหม่าโยวฉิงพูด “ตาแก่หนังเหนียวนั่น… ไม่ใช่สิ ตอนนี้ตายไปแล้ว เขาเป็นมหันตภัยแห่งอาณาจักรอู๋กลางเลยทีเดียว ด้วยเหตุที่มีพลังยุทธ์มากพอสมควร ทั้งยังเป็นคนของตระกูลน่าหลาน น้อยคนนักที่จะกล้าแตะต้องเขา ได้ยินว่าเขาจับตัวเด็กบำเรอไปกว่าร้อยคนแล้ว ตอนนี้พวกเจ้าสังหารเขาได้ ก็ถือว่าเป็นการขจัดภัยพาลแทนผู้อื่นแล้วกัน!”
นับว่าพวกเขากับคนรุ่นเยาว์ของตระกูลซือหม่าพูดคุยกันได้อย่างถูกคอ ถ้าหากพวกเขาได้รู้ว่าคนเหล่านี้คือคนที่จะไปสร้างความวุ่นวายให้หลังจากนี้ไม่นาน ก็ไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าเช่นไรบ้าง
“พวกเจ้ามิได้อยู่ที่ฝั่งตะวันออกหรอกหรือ แล้วมาที่เมืองหลวงกันได้อย่างไร” เว่ยจือฉีถาม
“พวกเราออกมาเก็บสมุนไพรน่ะ ระหว่างทางก็หาสัตว์อสูรวิเศษในเทือกเขาฝึกฝนไปด้วย” ซือหม่าโยวฉิงเอ่ยตอบ
“เก็บสมุนไพรหรือ”
“ถูกต้อง ที่บ้านพวกเรามีคนได้รับบาดเจ็บ นานมากแล้วก็ยังไม่หายเสียที ความจริงใช้ผลไม้ประหลาดอย่างหนึ่งก็รักษาให้หายได้แล้ว แต่มีคนบอกว่าอีกสามปีจะมีคนเอามาให้ ตอนนี้ใกล้ครบเวลาสามปีแล้ว ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาจะมาหรือไม่ ท่านลุงท่านอาทั้งหลายบอกว่าคนผู้นั้นคงจะไม่มาแล้ว แต่ท่านปู่ใหญ่บอกว่าให้รอก่อน แต่ก็ให้พวกเราเตรียมแผนสำรองเอาไว้ด้วย” ซือหม่าโยวฉิงมีความรู้สึกดีต่อพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง จึงบอกข่าวคราวที่พวกเขาอยากรู้ออกมาอย่างเจื้อยแจ้ว
“คนพวกนั้นสัญญากับพวกเจ้าเอาไว้ที่ระยะเวลาสามปี โดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเลยหรือ” เว่ยจือฉีถาม
“มีสิ สัญญาด้วยชีวิตของท่านปู่คนหนึ่งกับพี่ชายน้องชายอีกหลายคน แต่คนเหล่านั้นเคยกระทำความผิดเอาไว้ การปกป้องพวกเขาทำให้ท่านปู่ใหญ่สิ้นเปลืองพลังงานไปไม่น้อยเลยล่ะ! ถ้าหากคนเหล่านั้นไม่มา ก็คงผิดต่อท่านปู่ใหญ่เกินไปแล้ว!” ซือหม่าโยวฉิงพูด
เมื่อได้ยินว่าพวกซือหม่าเลี่ยยังนับได้ว่าอยู่ดี ซือหม่าโยวเย่ว์จึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ยังรักษาสัญญา
ระหว่างที่สนทนากันก็ถึงคราวของพวกเขาอย่างรวดเร็ว เพราะไปยังสถานที่เดียวกัน และค่ายกลนำส่งก็มีขนาดใหญ่พอ จึงให้พวกเขาไปด้วยกัน
สมาคมปรมาจารย์วิญญาณแห่งเมืองอันหยาง ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกไม่ค่อยสบายอีกครั้ง เมื่อเห็นสภาพของเธอ คนรุ่นเยาว์ของตระกูลซือหม่าจึงเข้ามาสอบถามอาการของเธอ
“ซีเหมิน เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์พิงกำแพงพลางโบกไม้โบกมือมาทางพวกเขา
“เขาเป็นอะไรไปหรือ” ซือหม่าโยวหยางถาม
“เขาไม่เป็นไรหรอก ก็แค่เมาค่ายกลนำส่งเท่านั้น!” เจ้าอ้วนชวีพูด
เมาค่ายกลนำส่งอย่างนั้นหรือ พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“คนที่พวกเจ้าต้องการไปหาอยู่ที่ไหนล่ะ” ซือหม่าโยวฉิงถาม
“ยังไม่รู้เลย ต้องหาดูก่อน” เว่ยจือฉีเอ่ยตอบ “แต่ตอนนี้พวกเราว่าจะพักผ่อนกันสักสองวันแล้วค่อยวางแผนกัน”
“พวกเจ้าไปที่บ้านเราไม่ดีกว่าหรือ” ซือหม่าโยวฉิงเชื้อเชิญอย่างอบอุ่น
“ไม่ต้องหรอก พวกเราพักกันที่โรงเตี๊ยมสักแห่งก็ได้” เว่ยจือฉีพูด “พวกเราอยู่ในป่าเขากันจนเคยชินแล้ว ถ้าหากไปที่บ้านพวกเจ้า เกรงว่าจะเป็นการรบกวนอย่างมาก”
“ก็ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าคิดจะไปที่โรงเตี๊ยมใดเล่า ตระกูลเราก็มีโรงเตี๊ยมอยู่นะ!”
“พวกเราหาที่พักใกล้ๆ แถวนี้เลยดีกว่า อาการของเขามิสู้ดีนัก พาเขาไปพักให้เร็วหน่อยดีกว่า ขอลา”
พวกเขาจากไปโดยมิได้พูดอะไรกับคนของตระกูลซือหม่ามากมายนัก
ซือหม่าโยวหลินมองเงาร่างที่จากไปของพวกเขาแล้วรู้สึกแปลกพิกลอยู่บ้าง แต่คนเหล่านี้มีอะไรผิดปกติเขาก็มิอาจบอกได้
“ไปกันเถิด พวกเราก็กลับกันด้วย…”
พวกเว่ยจือฉีมาถึงด้านนอกแล้วหาโรงเตี๊ยมที่ดูพอใช้ได้แห่งหนึ่งเข้าไปพัก หลังจากนั้นแต่ละคนจึงเริ่มต้นพักผ่อน คนอื่นๆ ออกไปตะลอนกันอีกครั้ง แต่กลับเรียกเสียไพเราะว่าออกไปสืบหาข่าว ทิ้งบางคนเอาไว้ให้นอนหัวหมุนอยู่บนเตียงตามลำพัง
พอพวกเขากลับมาในยามราตรี ก็นำข่าวที่ไปสืบหามาด้วย
“ตระกูลซือหม่าเป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่งแห่งดินแดนอี้หลินอย่างไม่ต้องสงสัย แค่จวนก็แทบจะมีขนาดเท่าเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งแล้ว กินพื้นที่ผืนใหญ่ในเมืองอันหยางแห่งนี้เลยทีเดียว!”
“คนเมืองอันหยางนี้ล้วนทำราวกับคนตระกูลซือหม่าเป็นเทพเจ้าเลยล่ะ”
“ได้ยินว่าตระกูลซือหม่ามียอดฝีมืออยู่มากมาย คนรุ่นเยาว์ก็ยิ่งโดดเด่น”
“แต่มีคนบอกว่าตระกูลซือหม่าอาจตกต่ำลงกลายเป็นขุมอำนาจชั้นสองแล้ว”
“ดูเหมือนว่าตระกูลซือหม่าจะเกิดการแตกแยกภายใน”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองพวกเขาด้วยแววตาโศกเศร้าหาใดเปรียบ “เรื่องพวกนี้พวกเจ้ารอข้าออกไปสืบพร้อมกันก็ได้นี่”
“มิใช่ว่าพวกเราอยากรู้สถานการณ์เพราะเห็นเจ้าร้อนใจหรอกหรือ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“เช่นนั้นพวกเจ้าสืบพบข่าวคราวของพวกท่านปู่แล้วหรือยัง” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“เออ… เรื่องนี้ยังไม่พบเลย” ทุกคนส่ายหน้า “พวกเราถามหลายคนเกี่ยวกับคนที่ตระกูลซือหม่าพากลับมาเมื่อสามปีก่อน แต่พอคนเหล่านั้นได้ฟังก็เลิกพูดไปเลย”
“ดูเหมือนพวกเขาจะเห็นเรื่องนี้เป็นสิ่งต้องห้าม ไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เรื่องพวกนี้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ตอนนี้ยังเหลืออีกสองเดือนกว่าจะถึงเวลาสามปีที่กำหนดไว้ ระยะเวลานี้ข้าต้องฝึกยุทธ์ให้ได้ในโดยเร็วที่สุด ลองดูว่าจะยกระดับพลังยุทธ์ได้อีกสักหน่อยหรือไม่”
เมื่อนึกถึงว่าตอนนี้อยู่ในเมืองเดียวกันกับพวกซือหม่าเลี่ยแล้ว ในใจซือหม่าโยวเย่ว์ก็ตื่นเต้นอยู่บ้าง
ท่านปู่… พี่ๆ… ข้ามาแล้ว!
……………………………………..