สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 239 การร้องขอความช่วยเหลือท่ามกลางอันตราย
เมื่อได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวหลินแล้วซือหม่าโยวเย่ว์ก็อึ้งไป หลังจากนั้นจึงเอ่ยว่า “เจ้าร้ายกาจถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังมีตระกูลซือหม่าคอยหนุนหลังอยู่อีกด้วย แล้วข้าจะช่วยอะไรเจ้าได้เล่า!”
ซือหม่าโยวหลินส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “สัญชาตญาณบอกข้าว่าเจ้าช่วยข้าได้”
“เจ้ามั่นใจถึงเพียงนี้เชียวหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“สัญชาตญาณข้าแม่นยำอย่างยิ่งมาโดยตลอด มันช่วยข้ามาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวหลินพูด
“แล้วเจ้าอยากจะให้ข้าช่วยเจ้าอย่างไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ข้ารู้วิธีการควบคุมพลังปราณของเจ้า นอกจากนี้ยังร้ายกาจกว่าข้าอีกด้วย ข้าอยากให้เจ้าสอนข้าหน่อยน่ะ” ซือหม่าโยวหลินพูดความคิดของตนออกมาตรงๆ
“เรื่องแค่นี้เองหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองซือหม่าโยวหลิน เขามาหาเธอเพียงเพราะสิ่งนี้เองหรือ
เธอยังคิดว่าเขาจะมาล้วงความลับอะไรจากเธอเสียอีก!
“แค่นี้เท่านั้นแหละ” ซือหม่าโยวหลินพูด “ถ้าหากวิธีการควบคุมพลังปราณของข้าก้าวหน้าขึ้นได้สักระดับหนึ่ง พลังการต่อสู้ก็จะยกระดับขึ้นมาได้ส่วนหนึ่งด้วย เจ้ายินดีจะชี้แนะข้าหรือไม่”
“จะเรียกว่าชี้แนะคงไม่ได้หรอก แต่ข้าจะบอกเคล็ดลับของข้าให้เจ้าก็ได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ขอบใจเจ้ามาก”
“อย่าเพิ่งขอบอกขอบใจกันเลย ยังไม่ทันรู้เลยว่าจะมีประโยชน์หรือไม่!”
ทั้งสองคนอยู่บนยอดเขาตลอดทั้งคืน ศึกษาวิธีการควบคุมพลังปราณภายใต้แสงจันทร์ ซือหม่าโยวเย่ว์ยับยั้งกลิ่นอายของความเป็นมือสังหารของเธอ ทำให้ตนเองผสานรวมกับสิ่งแวดล้อม ส่วนเป้าหมายของซือหม่าโยวหลินคือการสกัดลมปราณ เก็บซ่อนกลิ่นอายของตนเอาไว้ภายในร่างกาย ทั้งสองคนมีทิศทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ซือหม่าโยวหลินก็ยังคงหาวิธีการที่เหมาะสมกับตนเองพบจากวิธีการของซือหม่าโยวเย่ว์ ดัดแปลงวิธีการควบคุมพลังปราณของเขาขึ้นมาเอง
แสงอรุณปรากฏรำไร ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูดวงอาทิตย์โผล่พ้นขอบฟ้าอย่างเงียบๆ รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นอาบไล้บนร่างกาย สัมผัสความรู้สึกที่ทุกสรรพสิ่งบนผืนดินฟื้นตัว ค่อยๆ สอดแทรกตนเองเข้าสู่ธรรมชาติ
ซือหม่าโยวหลินจมดิ่งอยู่กับการบำเพ็ญของตน ทันใดนั้นก็ค้นพบว่าตนมิอาจสัมผัสกลิ่นอายของซือหม่าโยวเย่ว์ได้แล้ว เขาหันหน้าไปมองอย่างตกใจ ก็เห็นว่าเธอนั่งอยู่ข้างกายตนเหมือนเดิม จึงค่อยคลายใจลง
พร้อมกันนั้นเขาก็ตกตะลึงแล้วลอบพึมพำว่า “เขานั่งอยู่ข้างข้าชัดๆ แต่ข้ากลับมิอาจสัมผัสถึงกลิ่นอายของเขาได้โดยสิ้นเชิง วิธีการควบคุมปราณของเขาร้ายกาจกว่าข้าจริงๆ เสียด้วย!”
เขารู้สึกว่าโยวเย่ว์ผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับฟ้าดินแล้ว แผ่กลิ่นอายของตนออกมาได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด คล้ายกับว่าสัมผัสอะไรบางอย่างได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่รบกวนเธอ หากแต่ใคร่ครวญวิธีการของตนเองอีกครั้ง
“เขาผสานรวมกลิ่นอายของตนเข้ากับสิ่งแวดล้อม เช่นนั้นข้าก็จะเก็บซ่อนของตนเอาไว้ภายในร่างกาย เปลี่ยนให้ตนเองกลายเป็นฝุ่นผงในอากาศ…”
เขาหลับตาลง กลิ่นอายของเขาก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ คล้ายกับแปลงเป็นฝุ่นผงเม็ดหนึ่งในอากาศ
กลิ่นอายของเขาอ่อนแอกว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ถ้าหากปรากฏตัวต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ จะต้องถูกโจมตีอย่างแน่นอน
คนของตระกูลซือหม่ามิได้ไปรบกวนพวกเขา แต่ไปเสาะหาหญ้าจันทร์รำเพยในบริเวณใกล้ๆ โดยมีที่นี่เป็นจุดศูนย์กลาง
ใกล้ถึงยามเที่ยงแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงค่อยตื่นขึ้นมาจากการบำเพ็ญ ขณะที่กำลังเตรียมจะพูดคุยกับซือหม่าโยวหลินอยู่นั้นเอง ก็ค้นพบว่าเขามิได้อยู่ข้างกายอีกต่อไปแล้ว
“ปัง…”
ห่างออกไปไม่ไกล ซือหม่าโยวหลินกำลังต่อสู้อยู่กับงูเหลือมตัวหนึ่ง งูเหลือมตัวนี้ไปถึงระดับสัตว์อสูรเทพแล้ว พลังการต่อสู้เทียบเคียงได้กับระดับราชันวิญญาณ
เธอเห็นว่าพงหญ้าบริเวณไม่ไกลจากที่ตนนั่งเมื่อครู่แบนราบไปหมด น่าจะเป็นบริเวณที่งูเหลือมเคยเลื้อยเข้าใกล้พวกเธอ แต่ซือหม่าโยวหลินคงจะไม่อยากให้มันรบกวนการบำเพ็ญของเธอ จึงได้ล่องูเหลือมให้เลื้อยห่างออกไป
ซือหม่าโยวหลินย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของเจ้างูเหลือมอยู่แล้ว แต่เขาก็มิได้เรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมา หากแต่ท้าทายขีดจำกัดของตนเองอยู่ตลอดเวลา
ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่บนยอดเขาโดยมิได้เข้าไปช่วยเหลือ เพราะเธอรู้ดีว่าเขาไม่ต้องการ
หลังผ่านการขับเคี่ยวมายกหนึ่ง ซือหม่าโยวหลินก็ฆ่างูเหลือมตายได้ในที่สุด แต่ตนเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย ถึงขนาดที่มิอาจทรงตัวอยู่ได้ เขาปักกระบี่ลงในพื้นดินเพื่อพยุงร่างตนเอง
ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปหาก่อนจะหยิบยาถอนพิษเม็ดหนึ่งออกมาส่งให้เขา “ยาวิเศษของเจ้าไม่มีผลต่อพิษของงูเหลือมชนิดนี้หรอก”
ซือหม่าโยวหลินรับยาวิเศษมากินลงไป หลังจากนั้นจึงนั่งลงกระตุ้นให้ยาออกฤทธิ์
ซือหม่าโยวเย่ว์เดินเข้าไป หลังจัดการกับงูเหลือมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จัดการทำความสะอาด ก่อนจะหยิบหม้อออกมาเคี่ยวน้ำแกงงู
ซือหม่าโยวหลินรอให้พิษถูกขับออกจากร่างกายจนหมด พอลืมตาขึ้นก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังถือทัพพีคนอาหารเพื่อไม่ให้ติดก้นหม้ออยู่
“อะไรต่อมิอะไรเจ้าก็นำมากินได้หมดจริงๆ” เขาเดินเข้าไป แม้กระทั่งโต๊ะเก้าอี้ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็จัดเตรียมไว้พร้อมหมดแล้ว
“สัตว์อสูรวิเศษพวกนี้ล้วนเป็นของดีทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด หลังจากนั้นจึงเหลือบมองซือหม่าโยวหลินปราดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “เจ้าช่างร้ายกาจเหลือเกิน ต่อสู้เอาชนะสัตว์อสูรเทพขั้นหนึ่งได้ด้วยตัวคนเดียว แต่เจ้าเองก็สิ้นเปลืองพลังไปไม่น้อย ทำให้การต่อสู้ซับซ้อน จนทำให้ตัวเองถูกพิษและได้รับบาดเจ็บในที่สุด”
ซือหม่าโยวหลินร่างกายสั่นสะท้าน เขามองเธอแล้วเอ่ยถามว่า “ข้าทำให้มันซับซ้อนอย่างไรหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้เก็บงำเลย เธอคนน้ำแกงพลางเอ่ยว่า “เจ้าต่อสู้กับเจ้างูเหลือมโดยมีความเป็นความตายเป็นเดิมพัน มิใช่การแข่งขันกระชับมิตรเสียหน่อย จะต้องมาคิดมากทำไมกัน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับเจ้ามิใช่การใช้พลังยุทธ์ปลิดชีพงูหรอกนะ หากแต่เป็นการหาวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในการทำให้งูจบชีวิตลงต่างหาก”
“ข้าก็โจมตีที่จุดตายของงูแล้วนี่” ซือหม่าโยวหลินพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะโจมตีบริเวณจุดเจ็ดนิ้วของมัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าจุดเจ็ดนิ้วของมันขยายใหญ่ขึ้นแล้ว บริเวณนั้นจึงใหญ่ขึ้นตามไปด้วย แนวทางของเจ้าถูกต้องแล้วละ แต่ยังไม่ตรงจุดเท่านั้นเอง”
“ไม่ตรงจุดหรือ” ซือหม่าโยวหลินมองซือหม่าโยวเย่ว์คล้ายกำลังคิดใคร่ครวญบางอย่างอยู่ ทันใดนั้นจึงเข้าใจกระจ่างขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าก็คือ ข้าจะต้องหาจุดอ่อนที่แม่นยำ มิใช่โจมตีจุดอ่อนใหญ่ตามแนวทางทั่วไป ถูกต้องหรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ปฏิเสธแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ยังมีอีก ในตอนที่เจ้ามีพลังยุทธ์ไม่มากพอ การยืนประจันหน้ามิใช่สิ่งที่ชาญฉลาดเลย ตอนที่เจ้าต่อสู้กับงูเหลือม ถ้าหากเจ้าวิ่งไปด้านหลังมันก่อนได้ เช่นนั้นเจ้าก็จะไม่มีทางถูกพิษของมันทำร้ายเลย ยามที่พลังยุทธ์ไม่มากพอ วิธีการที่ดีที่สุดก็คือการลงมือจากด้านหลังของมัน ลอบโจมตีหรืออะไรล้วนมีประโยชน์กว่าทั้งสิ้น”
ซือหม่าโยวหลินได้ยินซือหม่าโยวเย่ว์วิเคราะห์เช่นนี้ ก็เข้าใจในทันทีว่าจุดอ่อนในการต่อสู้เมื่อครู่ของตนอยู่ตรงไหน ความสามารถในการต่อสู้อันแข็งแกร่งนั้นนอกจากจะต้องมีพลังยุทธ์แล้ว วิธีการก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวด!
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้พูดอะไรมากอีก เธอรู้ว่าซือหม่าโยวหลินเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ย่อมเข้าใจความหมายของตนอย่างแน่นอน เธอจึงชี้จุดเพียงเท่านี้
เมื่อเคี่ยวน้ำแกงเสร็จเรียบร้อยแล้วเธอจึงตักมาสองชาม ส่วนที่เหลือล้วนถูกเจ้าคำรามน้อยจัดการเรียบ
“กินสิ” เธอวางน้ำแกงงูลงตรงหน้าอีกฝ่าย เขายังคงคิดอะไรต่อ
พวกเขายังกินน้ำแกงงูไม่ทันหมดชาม จุดแสงหนึ่งก็ระเบิดตัวกลางท้องฟ้าไกลออกไป
“ทางนั้นเกิดอันตราย!” ซือหม่าโยวหลินจำได้ว่านั่นคือสัญญาณขอความช่วยเหลือ จึงผุดลุกขึ้นยืนในทันที
ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บข้าวของ หลังจากนั้นจึงเรียกตัวเจ้าวิหคน้อยออกมาแล้วพูดว่า “เจ้าพาพวกเราไปที”
บนเกาะแห่งนี้มีข้อห้ามมิให้เหาะเหินเดินอากาศ แต่สัตว์อสูรบินนั้นสามารถใช้การได้
เจ้าวิหคน้อยเงยหน้าส่งเสียงร้องก่อนจะพาทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังบริเวณที่เกิดจุดแสงเมื่อครู่
ระหว่างทางก็เห็นพวกผู้อาวุโสใหญ่ ซือหม่าโยวเย่ว์จึงให้เจ้าวิหคน้อยไปรับพวกเขาให้ขึ้นมานั่งด้วยกัน หลังจากนั้นจึงบินต่อไป
พวกเขาได้ยินเสียงคำรามของสัตว์อสูรวิเศษไกลออกไป ซึ่งมีอยู่มากมายหลายเสียง เห็นได้ชัดว่าคนของตระกูลซือหม่ามิได้พบเจอสัตว์อสูรวิเศษเพียงแค่ชนิดสองชนิดเท่านั้น
……………………………………..