สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 248 การขับเคี่ยวของจิ้งจอกเฒ่าและจิ้งจอกน้อย
สองวันให้หลัง ซือหม่าโยวหยางก็เข้ามาแจ้งให้พวกเขาไปยังเรือนหลัก บอกว่ากำลังจะไปที่ดินแดนบรรพบุรุษกันแล้ว
“เจ้ากำลังกินอะไรอยู่หรือ” เขามายังข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ เมื่อเห็นเธอกำลังกินอาหารอยู่จึงเอ่ยถามขึ้น
พอเขาเข้ามาในเรือนก็ได้กลิ่นอาหารก่อนแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์เงยหน้าขึ้นมองเขาปราดหนึ่ง หลังจากนั้นก็ชี้ไปยังกับข้าวบนโต๊ะหินแล้วเอ่ยว่า “นี่คือจิ้งจอกผัดไฟแดง จิ้งจอกปรุงรส หัวจิ้งจอกนึ่งซีอิ๊ว ผัดเผ็ดขาจิ้งจอก เนื้อจิ้งจอกเส้น เนื้อจิ้งจอกตุ๋น เนื้อจิ้งจอกย่าง…”
ซือหม่าโยวหยางสีหน้าดำทะมึน เจ้าเด็กนี่มีความแค้นกับจิ้งจอกหรืออย่างไร
ซือหม่าโยวเย่ว์แนะนำจบแล้วจึงเงยหน้าขึ้นถามว่า “ท่านจะกินหรือไม่”
พอพูดจบแล้วเธอยังคีบขาจิ้งจอกขาหนึ่งส่งให้เขาอีกด้วย
ซือหม่าโยวหยางรับขาจิ้งจอกมากัดคำหนึ่ง ด้านนอกเกรียม ด้านในนุ่ม ทั้งหอมทั้งเผ็ด พูดได้เต็มปากว่าอร่อย
พวกซือหม่าโยวหมิงออกมาจากเรือนก็เห็นซือหม่าโยวหยางกินอย่างมีความสุขอยู่จึงพูดยิ้มๆ ว่า “อาหารที่โยวเย่ว์ทำรสชาติไม่เลวเลยกระมัง”
“อื้อๆ อร่อยมาก!” ซือหม่าโยวหยางพูดพลางพยักหน้า
ซือหม่าโยวเย่ว์แววตาวูบไหวพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อเอร็ดอร่อยถึงเพียงนี้ ท่านก็เอาอาหารพวกนี้ไปให้ท่านประมุขตระกูลกินด้วยไม่ดีหรือ หลายวันมานี้ข้ากินแต่จิ้งจอกทุกวัน ชักจะเลี่ยนเสียแล้วสิ ท่านประมุขตระกูลอนุญาตให้พวกเราเข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษทั้งที ข้าก็ต้องขอบคุณเขาให้ดีๆ เสียหน่อย”
ซือหม่าโยวหยางพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ดีเลย ข้าเอาไปก่อนนะ พรุ่งนี้พวกเจ้าอย่าลืมไปเจอกันที่เรือนหลักให้เช้าหน่อยล่ะ”
“ได้สิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพลางยิ้มตาหยีแล้วมองดูซือหม่าโยวหยางเก็บเนื้อจิ้งจอกทั้งโต๊ะเข้าไปในแหวนเก็บวัตถุก่อนจะจากไป
“ฮ่าๆๆ…” เธอตบโต๊ะแล้วหัวเราะอย่างมีความสุขล้นเหลือ
ซือหม่าโยวหมิงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “เจ้านี่มัน…”
หลายวันก่อนหน้านี้ซือหม่าโยวหยางออกไปข้างนอก เพิ่งจะกลับมาเมื่อสองวันก่อน พอกลับมาแล้วได้ยินว่าท่านปู่ของตนได้รับการช่วยชีวิต และผู้ที่ช่วยก็คือซือหม่าโยวเย่ว์ เขาจึงมีความซาบซึ้งในตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าเด็กนี่ ช่างกล้าทำได้ทุกอย่างจริงๆ!” เขาเป็นหลานในไส้ของซือหม่าไท่ แล้วจะไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างท่านปู่กับเธอได้อย่างไรกัน
เมื่อนึกถึงเนื้อจิ้งจอกเต็มโต๊ะในแหวนของตนขึ้นมาได้ เขาก็อยากเห็นสีหน้าท่านปู่หลังจากได้เห็นอาหารเหล่านั้นจริงๆ
“ท่านปู่” เขามายังห้องหนังสือของซือหม่าไท่ ในขณะนั้นมีเขาอยู่เพียงคนเดียวพอดี
“ไปแจ้งพวกเขาแล้วใช่หรือไม่” ซือหม่าไท่ถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองเลยด้วยซ้ำ
“อื้ม บอกพวกเขาแล้วล่ะ” ซือหม่าโยวหยางพูด “ข้ายังนำของดีมาจากที่นั่นด้วยนะ โยวเย่ว์บอกว่าเพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านน่ะ”
“หืม” ซือหม่าไท่เงยหน้าขึ้นมองเขา เมื่อเห็นแววยิ้มในดวงตาเขาก็รู้แล้วว่าต้องมิใช่เรื่องดีแต่อย่างใด
ซือหม่าโยวหยางเดินเข้าไปแล้วโบกมือคราหนึ่ง อาหารอันโอชะก็ปรากฏขึ้นเต็มโต๊ะหนังสืออันกว้างใหญ่ ภายในห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของเนื้อในทันใด
“นี่เป็นฝีมือของโยวเย่ว์ บอกว่าเป็นการขอบคุณที่ท่านให้พวกเขาเข้าไปยังดินแดนบรรพบุรุษ จึงให้ข้านำมาให้ท่านลิ้มรส” ซือหม่าโยวหยางพูดยิ้มๆ
“สิ่งเหล่านี้คืออะไรหรือ”
ซือหม่าโยวหยางอธิบายทีละอย่าง “นี่คือจิ้งจอกผัดไฟแดง จิ้งจอกปรุงรส หัวจิ้งจอกนึ่งซีอิ๊ว ผัดเผ็ดขาจิ้งจอก เนื้อจิ้งจอกเส้น เนื้อจิ้งจอกตุ๋น เนื้อจิ้งจอกย่าง…”
ซือหม่าไท่มุมปากกระตุกเล็กน้อย ซึ่งมิอาจเล็ดลอดสายตาของซือหม่าโยวหยางไปได้ เขาขำกลิ้งอยู่ในใจ แต่กลับมิกล้าแสดงสีหน้าออกมา
ซือหม่าไท่หยิบขาจิ้งจอกขึ้นมากัดคำหนึ่ง “เจ้าไปบอกเขาทีว่ารสชาติไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายที่จิ้งจอกมันแก่เกินไป ส่งผลกระทบต่อรสชาติ น่าจะเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกน้อยมาแทน”
ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังคำพูดที่ซือหม่าโยวหยางนำมาถ่ายทอดแล้ว มือที่กำลังสับเนื้อจิ้งจอกอยู่ก็หยุดชะงักลง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “ลูกชิ้นเนื้อจิ้งจอกของข้าในคราวนี้จะต้องทำให้เขามิอาจพูดว่าเนื้อจิ้งจอกแก่ได้อีกต่อไป!”
พอพูดจบเธอก็สับเนื้ออย่างดุเดือด
ซือหม่าโยวหยางมองเธออย่างตลกขบขัน มีความสุขกับการเป็นผู้ส่งสารระหว่างพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง
จิ้งจอกเฒ่ากับจิ้งจอกน้อย เขาเพิ่งเคยเห็นว่ามีคนกล้าตาต่อตาฟันต่อฟันกับท่านปู่ของตนเช่นนี้เป็นครั้งแรก!
พอทำลูกชิ้นเนื้อเสร็จแล้ว ซือหม่าโยวหยางชิมดูจำนวนหนึ่งก่อนจะยกไปให้ซือหม่าไท่หนึ่งชาม
เพียงไม่นานเขาก็นำสารกลับมาบอกว่า “ลูกชิ้นเนื้ออร่อยมาก คราวหน้าอยากกินไก่ย่าง”
“เคร้ง…”
ซือหม่าโยวเย่ว์สับมีดลงไปบนเขียงอย่างแรงพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “เห็นข้าเป็นพ่อครัวไปเสียแล้ว! วันนี้คุณชายเช่นข้าเหนื่อยแล้ว ไม่ทำแล้ว!”
ซือหม่าโยวหยางนำคำพูดกลับไปบอกซือหม่าไท่ ซือหม่าไท่เพียงแค่หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “จิ้งจอกน้อยก็ยังคงเป็นจิ้งจอกน้อยอยู่วันยังค่ำ!”
จานอาหารจากเนื้อจิ้งจอกจึงสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
วันต่อมาซือหม่าโยวเย่ว์และพี่ชายทั้งสี่ก็ไปยังเรือนหลักพร้อมกัน ภายในลานบ้านอันกว้างใหญ่มีคนวัยเยาว์กว่าร้อยคนมารออยู่ก่อนแล้ว
“ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกเลย ตอนนี้เพิ่งจะพบว่าคนของตระกูลซือหม่ามีอยู่มากมายเสียจริง!” ซือหม่าโยวเล่อยืนอุทานอยู่ข้างลานบ้าน
“นี่ยังแค่คนที่คัดเลือกออกมาแล้วเท่านั้นนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ว่ากันว่าแต่ละครั้งจะมีคนเข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษได้เพียงแค่หนึ่งร้อยห้าสิบคนเท่านั้น มิฉะนั้นจำนวนคนจะมากเกินไป”
“พวกซือหม่าข่ายไปกันแล้ว พวกเรามาแทนที่ว่างของพวกเขานั่นแหละ” ซือหม่าโยวหมิงพูด
“ถึงอย่างไรก็ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอยู่ดี เจ้าจิ้งจอกเฒ่า!” ซือหม่าโยวเย่ว์ขบกราม
ทุกคนล้วนรู้ดีว่าซือหม่าโยวเย่ว์ช่วยชีวิตท่านประมุขตระกูล ท่านประมุขตระกูลจึงสัญญาจะให้พวกเขาไปยังดินแดนบรรพบุรุษ ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นพวกเขากลับมาก็ไม่มีใครกล้าคิดเห็นเป็นอื่น แต่กลับทักทายพวกเขาอย่างเป็นมิตร
ซือหม่าไท่และซือหม่าหลินรวมทั้งผู้อาวุโสอีกคนมาถึงลานบ้านแล้วกวาดสายตามองผู้คนทั่วทั้งลานบ้าน โดยเฉพาะหน้าเหม็นๆ ของใครบางคน จิ้งจอกเฒ่าก็ยิ้มให้อย่างไร้ปรานี
เขาโบกมือไปมา ทั้งลานบ้านจึงเงียบสงบลง
“เมื่อสามปีก่อนพวกเจ้าได้ผ่านพิธีเลือกสรร แต่เพราะข้าได้รับบาดเจ็บจนสิ้นสติไป จนถึงตอนนี้พวกเจ้าจึงยังมิได้เข้าไปในดินแดนบรรพบุรุษเสียที วันนี้ข้าจึงจะเปิดดินแดนบรรพบุรุษให้กับพวกเจ้า พวกเจ้าจงเข้าไปเสาะหาโอกาสของตัวเองเสีย!”
เขามองซือหม่าหลินปราดหนึ่ง ซือหม่าหลินจึงส่งปราณวิญญาณออกไปในหลายทิศทาง รัศมีเปล่งประกายขึ้นทั่วทั้งลานบ้าน พื้นดินทอประกายสว่างเจิดจ้า ที่แท้ก็คือค่ายกลนำส่งนั่นเอง!
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกวิงเวียนศีรษะ รอจนเท้าสัมผัสพื้นดินแล้ว ขณะนี้พวกเขาได้ออกมาจากจวนซือหม่าเรียบร้อย และได้มาปรากฏตัวขึ้นที่หุบเขาแห่งหนึ่ง
“ที่นี่คือภูเขาใดหรือ”
“ดูเหมือนจะมิใช่ทิวเขาหลังบ้านตระกูลเรานะ”
“ไม่ใช่หรอก ที่นี่น่าจะอยู่ไม่ไกลจากตระกูลเรามากนัก”
ในขณะที่ทุกคนกำลังคาดเดากันไปต่างๆ นานา ซือหม่าโยวเย่ว์กลับกำลังย้อนคิดไปถึงค่ายกลนำส่งเมื่อครู่
“บนพื้นมิได้วาดค่ายกลนำส่งเอาไว้เป็นอย่างดี เขาเพียงแค่ใช้ปราณวิญญาณร่างค่ายกลนำส่งชั่วคราวขึ้นมาเท่านั้น ท่านปู่หลินประสบความสำเร็จทางด้านค่ายกลไม่น้อยเลย หากมีเวลาก็ไปให้เขาชี้แนะข้าสักหน่อยได้” เธอพูดอยู่ในใจ
หลังจากที่เฟิงจือสิงจากไปแล้ว เธอก็ต้องคลำทางทางด้านค่ายกลเองทั้งหมด ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะศึกษาทางด้านค่ายกลได้ไม่เลว แต่ถ้าหากมีซือหม่าหลินคอยชี้แนะก็จะต้องก้าวหน้าขึ้นอีกอย่างแน่นอน
“หลังจากที่ดินแดนบรรพบุรุษเปิดแล้ว พวกเจ้าก็เข้าไปเสาะแสวงหาโอกาสของตัวเองได้ ระยะเวลาคือสองวัน” ซือหม่าไท่พูด
“สองวัน สั้นแค่นี้เองหรือ” ทุกคนอุทาน
“ฟังข้าพูดให้จบก่อน” ซือหม่าไท่โบกมือแล้วเอ่ยว่า “ภายในกับภายนอกไม่เหมือนกัน ภายนอกหนึ่งวัน แต่ภายในคือหนึ่งเดือน ดังนั้นพวกเจ้าจะมีเวลาอยู่ในนั้นถึงสองเดือน”
“โอ้ ดีถึงเพียงนี้เชียว!”
ซือหม่าโยวเย่ว์จิตใจสั่นไหว ที่นี่คล้ายคลึงกับเจดีย์วิญญาณอยู่มากพอสมควร
“มีมรดกตกทอดบางอย่างที่จะต้องผ่านการทดสอบก่อน พอพวกเจ้าเข้าไปกันแล้วจะต้องคว้าโอกาสเอาไว้ให้ดีล่ะ”
พอพูดจบเขาก็หยิบตราประทับเล็กๆ อันหนึ่งออกมา ก่อนจะวางลงในร่องบริเวณตีนเขา
“ครืน…”
กำแพงสั่นสะเทือน ถ้ำที่มีความสูงเท่ามนุษย์คนหนึ่งปรากฏขึ้น รัศมีสีขาวปรากฏขึ้นท่ามกลางภูเขา อาบไล้บนร่างกายของคนหนุ่มสาวทั้งหลาย หลังจากที่รัศมีสีขาวผ่านไปแล้ว ภายในหุบเขาก็เหลืออยู่เพียงแค่ซือหม่าไท่และบรรดาผู้อาวุโสเท่านั้น
…………………………………