สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 268 ความวุ่นวายในอาณาจักรทักษิณายาตร (4)
สัตว์อสูรเทพมากมายเช่นนี้เป็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของมนุษย์เพียงคนเดียว เรื่องนี้โจมตีเหล่าจ้าววิญญาณของตระกูลน่าหลานอย่างหนัก
โดยทั่วไปเมื่อพวกเขาสำเร็จเป็นจ้าววิญญาณแล้วก็มีสัตว์อสูรวิเศษระดับจ้าววิญญาณกันแค่ตนสองตนเท่านั้น แต่เธอคนเดียวกลับมีสัตว์อสูรเทพตั้งหลายตน นี่ยังต้องให้พวกเขาพูดอีกหรือ!
โดยเฉพาะเมื่อคนรุ่นเยาว์ทั้งหมดของตระกูลซือหม่าล้วนเป็นเช่นนี้กันทั้งสิ้น เมื่อเทียบกันแล้วก็แข็งแกร่งกว่าตระกูลน่าหลานมากมายเหลือเกิน
สองปีมานี้ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวข้ามระดับขั้นใหญ่ได้หนึ่งขั้น ตอนที่เลื่อนจากระดับบรรพวิญญาณไปถึงระดับราชันวิญญาณ พวกย่ากวงก็เลื่อนระดับขึ้นไปอีกหลายขั้นด้วยเช่นกัน
สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของพวกซือหม่าโยวหยางก็เป็นเช่นเดียวกัน เพราะความเกี่ยวโยงของเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร พวกมันจึงเลื่อนระดับขึ้นไปพร้อมกับเจ้านายของตนด้วย
ตอนนี้สัตว์อสูรเทพที่ไม่เต็มใจถูกทำพันธสัญญาในตอนนั้นกลับรู้สึกขอบคุณที่ถูกจับมา การเลื่อนระดับก็เหมือนกับการดื่มน้ำ ยิ่งมากก็ยิ่งดี!
“เอาละ ทุกคนลุยพร้อมกันเลย รีบจัดการรีบเสร็จงาน หลังจากนั้นจะได้ไปช่วยพวกเขากัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
ตอนนี้ที่ลานประหารก็เกิดการต่อสู้ขึ้นมาแล้วเช่นกัน พวกเขาอยู่ที่นี่ก็ยังได้ยินเสียงการต่อสู้ด้วย
“ใครสังหารจ้าววิญญาณได้มากที่สุด จะได้รับน้ำผึ้งแดงของโยวเย่ว์หนึ่งขวด” ซือหม่าโยวหยางตะโกนบอกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาเหล่านั้น ทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์มองค้อนเขาคราหนึ่ง
แต่เธอก็มิได้ปฏิเสธคำพูดของซือหม่าโยวหยาง ยอมรับคำพูดนี้แต่โดยดี
สัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเธอมีน้ำผึ้งแดง เมื่อเห็นว่าเธอมิได้ปฏิเสธ ก็รู้ว่าเธอยอมรับแล้ว จึงพากันรุมเข้าหาคนของตระกูลน่าหลานอย่างดุเดือดในทันที
คนของตระกูลน่าหลานรีบเรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาทั้งหมดที่ตนมีอยู่ออกมาในทันที แต่ก็ยังมิอาจต้านทานการโจมตีของสัตว์อสูรเทพจำนวนมากมายถึงเพียงนั้นได้
พวกซือหม่าโยวเย่ว์อาศัยจังหวะนี้ออกไปข้างนอกแล้วขี่หลังสัตว์อสูรบินได้ พร้อมกับลอบโจมตีคนเหล่านั้นเป็นครั้งคราว
ไม่พูดไม่ได้ว่าเหล่าจ้าววิญญาณของตระกูลน่าหลานนั้นเคราะห์ร้ายอย่างยิ่ง เดิมทีคิดจะสอดมือยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของอาณาจักรทักษิณายาตรเพื่อขยายอิทธิพลของตระกูลน่าหลาน แต่คิดไม่ถึงว่าจะมาพบกับพวกตัวประหลาดอย่างตระกูลซือหม่า สัตว์อสูรเทพนั้นก็โจมตีพวกเขาเสียจนไม่มีแรงจะสู้กลับเลยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะการลอบโจมตีเหล่านั้นที่ราวกับมีดทิ่มแทงซ้ำลงบนแผลของพวกเขา
การต่อสู้ทางนี้ก็ดึงดูดความสนใจของคนในอีกสนามการต่อสู้เช่นกัน คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็คิดว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการต่อสู้เท่านั้น รู้ว่าคนของตระกูลน่าหลานถูกทำให้หวาดหวั่นพรั่นพรึงกันหมด
พวกเขาเป็นกลุ่มจ้าววิญญาณเชียวนะ แล้วคนพวกนั้นเป็นใครกัน ถึงขนาดที่ทำให้คนของตระกูลน่าหลานถูกกดดันได้เลยทีเดียว
โอวหยางตงได้รับการปกป้องจากจ้าววิญญาณหลายคนอยู่ตรงกลางแท่นหยก เมื่อเห็นว่าโอวหยางเฟยมีพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ บวกกับคนตระกูลซาง และขุมอำนาจฝ่ายกลางที่ซางหลุนติดต่อมาอีก จนเกือบจะบุกผ่านกองทัพที่ตนจัดเอาไว้ได้แล้ว ในขณะที่กำลังคิดจะส่งสารไปเรียกตัวคนของตระกูลน่าหลานมาช่วยนั้นเอง เขากลับค้นพบอย่างฉับพลันว่าคนของตระกูลน่าหลานกำลังต่อสู้กับผู้อื่นอยู่ว สัตว์อสูรเทพฝูงหนึ่งล้อมโจมตีพวกเขาอยู่กลางอากาศ
“คนพวกนั้นคือใครกัน” เขาตกตะลึง
“พวกเขาสวมหน้ากากกันหมด แต่ดูท่าทางเหมือนจะมิใช่คนของตระกูลซางนะพ่ะย่ะค่ะ” จ้าววิญญาณข้างกายโอวหยางตงเอ่ยตอบ
ตอนออกมาจากโรงน้ำชา ซือหม่าโยวเย่ว์ให้พวกเขาสวมหน้ากากกันคนละอัน เมื่อครู่พวกเขาอยู่ท่ามกลางฝูงชน ผู้คนต่างก็รับรู้กันถ้วนทั่วว่าพวกเขาเป็นใคร จึงไม่เป็นที่สังเกตนัก ตอนนี้จึงต้องสวมหน้ากากเพื่อไม่ให้ผู้อื่นล่วงรู้ถึงตัวตนที่แท้จริง
ความจริงแล้วแม้กระทั่งคนของตระกูลซางเองก็ยังรู้สึกนอกเหนือความคาดหมาย ไม่รู้ว่าเป็นใครเช่นกัน แต่พวกเขารู้ว่าทางนั้นมีจ้าววิญญาณของตระกูลน่าหลานอยู่ คนที่ต่อสู้กับพวกเขาจะต้องเป็นคนทางนี้อย่างแน่นอน
พลังยุทธ์ของคนตระกูลน่าหลานล้วนไม่อ่อนแอกันทั้งสิ้น แต่กลับถูกฝูงสัตว์อสูรเทพของพวกซือหม่าโยวหยางเอาชนะได้
เพียงไม่นานการต่อสู้กับตระกูลน่าหลานก็สิ้นสุดลง จ้าววิญญาณสิบคนถูกสังหารจนหมด สัตว์อสูรเทพทำพันธสัญญาก็ตายเรียบ หลังจากนั้นซือหม่าโยวหยางก็พาทุกคนลงไปจัดการกับราชันวิญญาณเหล่านั้น
พวกเขานั่งอยู่บนหลังสัตว์อสูรบินได้ของตนแล้วบินไปเหนือลานประหารเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่โอวหยางเฟย
เจ้าไก่ฟ้ามองอยู่ข้างล่าง ก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่บนหลังเจ้าวิหคน้อย คิดไม่ถึงว่าเธอจะทำให้ตัวเองแข็งแกร่งได้ถึงขนาดนี้แล้ว คนที่ตอนนั้นยังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนต่อหน้าต่อตาตนผู้นั้นเติบใหญ่แล้วในตอนนี้
เขายืนอยู่ในลานประหารโดยมิได้ทำอะไร ระลอกคลื่นจากการโจมตีเหล่านั้นสลายตัวไปเองเมื่อมาถึงข้างกายเขา
สายรุ้งกระโดดโลดเต้นอยู่บนหัวไหล่เขา เมื่อได้เห็นทักษะวิญญาณนานาชนิด มันก็ร้องอุทานด้วยความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง
โอวหยางเฟยเห็นกลุ่มอันโดดเด่นของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วเบ้ปาก
เขาชี้โอวหยางตงพลางเอ่ยว่า “วันนี้พวกเราสองคนจะจัดการกันให้สิ้นเรื่อง หากใครยอมจำนนแต่โดยดีก็จะไว้ชีวิต”
คำพูดของเขาทำให้สนามรบอันชุลมุนสงบลง คนที่กำลังต่อสู้เหล่านั้นต่างหยุดลงแล้วมองเขา
โอวหยางเฟยมองเจ้าไก่ฟ้าปราดหนึ่ง เจ้าไก่ฟ้าจึงปลดปล่อยแรงกดดันของสัตว์อสูรเหนือเทพออกมาในทันใด ทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงหยุดชะงัก
“สัตว์อสูรเทพจำแลง!”
“เขาก็คือสัตว์อสูรเหนือเทพตนนั้นอย่างไรเล่า!”
“เขามิได้ไปจากดินแดนอี้หลินแล้วหรอกหรือ เหตุใดเขาจึงยังอยู่ที่นี่อีกเล่า”
“สวรรค์เอ๋ย ฝ่าบาทถึงกับทรงพาสัตว์อสูรเหนือเทพกลับมาเลยทีเดียว!”
“พวกเขามีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ แล้วพวกเราจะต่อสู้กันไปทำไมอีกเล่า”
“จริงด้วย เมื่อครู่เขามิได้พูดหรอกหรือว่าหากยอมจำนนตอนนี้ก็จะไว้ชีวิต พวกเรารีบยอมจำนนกันดีกว่านะ!”
“ใช่ๆๆ”
พอเจ้าไก่ฟ้าปลดปล่อยแรงกดดันออกไป เหตุการณ์ทั้งหมดก็หยุดชะงักลง แม้กระทั่งจ้าววิญญาณเหล่านั้นก็ไม่อยู่เฉยอีกต่อไป
สัตว์อสูรเหนือเทพนี้มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อกรด้วยได้เลย!
เจ้าไก่ฟ้าบอกไปแล้วว่าตอนนี้พวกเขามีพลังยุทธ์เพียงพอแล้ว เขาจะไม่ลงมือกับคนเหล่านี้ง่ายๆ แต่การช่วยให้พวกเขาได้เปรียบนั้นก็ยังพอทำได้อยู่
เมื่อนึกถึงความได้เปรียบ เขาก็นึกถึงสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของซือหม่าโยวเย่ว์ตัวนั้นขึ้นมา ถ้าหากเขาออกมาแล้วจะเป็นเช่นไร
โอวหยางเฟยเดินไปข้างหน้าสองก้าวแล้วเอ่ยว่า “ผู้ที่ยอมจำนนในตอนนี้จะได้รับการไว้ชีวิต”
ทหารยามจำนวนมากมองโอวหยางเฟยแล้วมองสัตว์อสูรบินได้ระดับจ้าววิญญาณสิบกว่าตนบนท้องฟ้า ก่อนจะโยนอาวุธในมือลงบนพื้น
ราชันวิญญาณและจ้าววิญญาณจำนวนไม่น้อยต่างพากันยอมจำนน
โอวหยางตงสีหน้าซีดเผือด เขาถอยหลังไปสองก้าว คล้ายกับไม่เชื่อว่านจะถูกโอวหยางเฟยพลิกสถานการณ์จนกลายเป็นเช่นนี้ได้
“เจ้าเป็นทรราช จิตใจโหดเหี้ยม แม้กระทั่งทหารองครักษ์ที่คอยดูแลราชวงศ์ก็ยังไม่เต็มใจสละชีวิตเพื่อเจ้าเลย แค่นี้ก็เห็นแล้วว่าเจ้าเป็นผู้แพ้” โอวหยางเฟยพูด “เจ้ามันจิตใจคับแคบ ขี้อิจฉาริษยาจนติดเป็นนิสัย ตอนนั้นที่ท่านพ่อแต่งตั้งข้าเป็นองค์รัชทายาท เจ้าก็ลอบทำร้ายข้า เจ้ามิได้แค้นเคืองข้ามาโดยตลอดหรอกหรือ วันนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง เจ้าเข้ามาสิ แล้วพวกเรามาสู้กันสักยก พวกเราสองคนจะได้จัดการชำระความแค้นเก่าใหม่กันเสียที!”
โอวหยางตงมองโอวหยางเฟยด้วยสายตาอำมหิต ทันใดนั้นเขาก็หยิบอาวุธของตนเองออกมาแล้วโจมตีเข้าใส่โอวหยางเฟย
ซือหม่าโยวเย่ว์ที่นั่งอยู่บนหลังเจ้าวิหคน้อยเห็นโอวหยางเฟยและโอวหยางตงต่อสู้กันแล้วก็มิได้กังวลใจแต่อย่างใด
“โยวเย่ว์ เจ้าว่าพวกเขาจะประมือกันได้สักกี่กระบวนท่าหรือ” ซือหม่าโยวหยางที่อยู่ข้างกายซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“สักสิบรอบกระมัง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ถ้าหากโอวหยางยอมเผยไพ่ตายเลย ก็แค่สามกระบวนท่าเท่านั้นแหละ”
เธอเห็นระดับขั้นของโอวหยางตงมาก่อนหน้านี้แล้ว ถึงแม้ว่าจะโตกว่าโอวหยางเฟยอยู่หลายปี แต่ระดับขั้นกลับต่ำกว่าโอวหยางเฟยอยู่หลายขั้น นอกจากนี้ฝีเท้ายังเหลาะแหละ พลังการต่อสู้ไม่ได้ความเอาเสียเลย
ผลปรากฏว่าเหมือนกับที่เธอพูดเอาไว้จริงๆ โอวหยางตงใช้ไม่ถึงสิบกระบวนท่าก็ถูกโอวหยางเฟยฆ่าตายเสียแล้ว และเผาผลาญเสียจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
โอวหยางตงสิ้นชีพ คนของเขายอมสวามิภักดิ์กันหมด การต่อสู้ที่ดำเนินมาเกือบทั้งวันจึงปิดฉากลง
ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟยปราดหนึ่งก่อนจะพาคนของตระกูลซือหม่าบินจากไป เมื่อมาถึงบริเวณที่ปลอดผู้คนแล้วจึงร่อนลงก่อนจะเก็บตัวสัตว์อสูรผูกพันธสัญญากลับเข้าไป สวมเสื้อคลุม ถอดหน้ากากออก แล้วกลับไปยังโรงเตี๊ยมที่พัก
……………………………………….