สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 269 ความวุ่นวายในอาณาจักรทักษิณายาตร (5)
พวกซือหม่าโยวเย่ว์พักผ่อนอยู่ที่โรงเตี๊ยมครู่หนึ่ง พวกเป่ยกงถังก็กลับมา
“เป็นเช่นไรบ้าง” ซือหม่าโยวเย่ว์รินน้ำชาให้พวกเขาถ้วยหนึ่งพลางเอ่ยถาม
เว่ยจือฉีเดินเข้ามาแล้วนั่งลงก่อนจะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบอึกหนึ่ง เขาพูดว่า “โอวหยางเข้าวังไปแล้ว เดิมทีก็คิดจะให้พวกเราไปด้วย แต่พวกเราต่างก็ไม่คุ้นเคย เขาจึงกลับไปลำพัง”
ซือหม่าโยวเย่ว์ทอดตัวลงบนโต๊ะพลางเอ่ยว่า “ไม่แน่ว่าหลังจากนี้เจ้าโอวหยางอาจกลายเป็นจักรพรรดิของอาณาจักรทักษิณายาตรก็ได้นะ”
“ถูกต้อง ตอนที่พวกเราออกมาก็ได้ยินคนจำนวนไม่น้อยกำลังคุยเรื่องการขึ้นครองราชย์ของเขาอยู่พอดี!” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ต่อจากนี้ไปพวกเราก็เดินยืนอกในอาณาจักรทักษิณายาตรได้แล้วน่ะสิ ฮ่าๆๆ…” ซือหม่าโยวเย่ว์หัวเราะเสียงดังลั่น
ทุกคนมองเธออย่างรังเกียจพลางเอ่ยว่า “เจ้าพอเสียทีเถิด ต่อให้ไม่มีเขาเจ้าก็เดินยืดอกได้อยู่ดี”
“ไร้สาระน่า ข้าอ่อนแอถึงเพียงนี้แล้วจะเดินยืดอกได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “แต่ข้าว่าหลายวันนี้โอวหยางจะต้องยุ่งมากอย่างแน่นอน คงไม่มีเวลามาดูแลพวกเราหรอก หากออกไปก็ต้องระวังตัวกันสักหน่อย”
“ตอนนี้ข้างนอกต่างพูดกันว่ากลุ่มคนที่ขี่สัตว์อสูรเทพมาในตอนท้ายนั้นเป็นใคร ทุกคนมีความสนใจในตัวพวกเจ้ามากทีเดียวนะ!” เจ้าอ้วนชวีพูด
เว่ยจือฉีก็เอ่ยว่า “โชคดีที่พวกเจ้าสวมหน้ากาก มิฉะนั้นด้วยสภาพในตอนนี้แล้ว ผ่านไปไม่นานเรื่องก็คงลอยเข้าหูทุกคนแล้วล่ะ”
“ข้าก็เดาได้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้แน่ จึงให้พวกเจ้าสวมหน้ากากอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เหล่ายอดฝีมือของตระกูลน่าหลานถูกกำจัดไปหมดแล้ว คราวนี้ตระกูลน่าหลานต้องกระอักเลือดแน่ แค่คิดก็ดีใจแล้ว”
“ฮ่าๆ คราวนี้ต้องกระอักเลือดแน่!” เจ้าอ้วนชวีพูดพลางหัวเราะ “เดิมทีคิดจะสอดมือยุ่งเกี่ยวกับอาณาจักรทักษิณายาตร แต่คิดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นการหาเหาใส่หัว จนจ้าววิญญาณและราชันวิญญาณตายไปมากมายถึงเพียงนั้น”
“เรื่องนี้นับว่าเป็นการสูญเสียสำหรับตระกูลน่าหลานไม่น้อยเลย และอาจจะกระทบถึงงานประลองของพวกเจ้าในคราวนี้ด้วย” เว่ยจือฉีพูด
“โยวเย่ว์ เจ้าวางแผนจะไปเข้าร่วมงานประลองเมื่อใดหรือ” เป่ยกงถังถาม
“ข้าไม่รีบหรอก ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองเดือนกว่าจะถึงงานประลอง พวกเราไปกันล่วงหน้าสักเดือนก็พอแล้วนี่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดูก่อนว่าโอวหยางยังต้องการให้พวกเราช่วยเหลืออยู่อีกหรือไม่แล้วค่อยตัดสินใจเถิด”
“ก็ได้”
“ใช่แล้ว ถ้าหากโอวหยางเลือกอยู่ที่นี่ต่อ แล้วพวกเจ้าจะอยู่ที่นี่กันด้วยหรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
ทั้งสามคนคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะถามเช่นนี้ จึงตกตะลึงไปในทันใด
ผ่านไปครู่หนึ่ง เว่ยจือฉีจึงพูดว่า “เป้าหมายของพวกเราคือการมุ่งหน้าไปยังโลกเบื้องบนพร้อมกับเจ้า ไม่ว่าจะฝึกยุทธ์อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันหมดนั่นแหละ”
เจ้าอ้วนชวีพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังอยากอยู่ร่วมกับเจ้าอยู่นะ”
ถึงอย่างไรตอนนั้นก็ออกมากับเธอ และที่ตอนนี้พวกเขาประสบความสำเร็จเช่นนี้ได้ก็เพราะความช่วยเหลือของเธอทั้งสิ้น เขาจึงมีความเชื่อมั่นในตัวเธอเป็นอย่างยิ่ง
มีเพียงแค่เป่ยกงถังเท่านั้นที่พูดอย่างมั่นใจว่า “เขาไม่มีทางเป็นจักรพรรดิทักษิณายาตรหรอก”
“ข้าก็รู้สึกเช่นเดียวกัน” เว่ยจือฉีพูด “ปณิธานของโอวหยางมิได้อยู่ที่นี่”
“เฮ้อ… ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเราจึงจะไปที่โลกเบื้องบนได้กันนะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ไม่รู้ว่าตอนนี้ท่านอาจารย์เป็นเช่นไรบ้าง”
“อีกไม่นานหรอก” เว่ยจือฉีพูด “ตอนนี้พวกเราฝึกยุทธ์กันได้รวดเร็วพอตัวเลยทีเดียว เชื่อว่าอีกไม่กี่ปีก็คงไปกันได้แล้ว”
“ความจริงแล้วเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก” เป่ยกงถังพูด “ในตัวเจ้ามีรอยวิญญาณของอาจารย์ประทับอยู่ หากมันยังอยู่ อาจารย์ก็ต้องไม่เป็นไรแน่”
ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบหน้าผากของตน ในทะเลแห่งความรู้ของเธอยังมีเงาร่างคนรางๆ นั่งอยู่ข้างเคล็ดหลอมวิญญาณ
วันนี้ได้ผ่านการต่อสู้ครั้งใหญ่มา ดังนั้นคืนนี้ทุกคนจึงมิได้ฝึกยุทธ์ หากแต่รวมตัวกันอยู่ในลานบ้านของโรงเตี๊ยมเพื่อดื่มสุราสนทนากัน พอถึงครึ่งคืนหลังจึงค่อยพักผ่อนกัน
คนวัยเยาว์กลุ่มหนึ่งอยู่ร่วมกันจึงดื่มสุราอย่างไร้ซึ่งการยับยั้ง วันรุ่งขึ้นจึงพากันร้องว่าปวดหัว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงต้มยาหม้อใหญ่ให้กับพวกเขา รสชาติอันขมขื่นทำเอาพวกเขาบ่นว่าขมจนทนไม่ไหว
สี่ห้าวันต่อมา โอวหยางเฟยก็ยังไม่ปรากฏตัว ในยามพลบค่ำของวันที่ห้า เขาถึงโผล่มาที่โรงเตี๊ยม
ซือหม่าโยวเย่ว์ยกไก่ย่างจานหนึ่งเข้ามาพอดี เมื่อเห็นว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมมิได้เปลี่ยนแปลงไป จึงเข้ามามองซ้ายมองขวาแล้วถามว่า “เหตุใดเจ้าจึงไม่สวมชุดมังกรสุดอลังการนั่นเล่า”
โอวหยางเฟยยื่นมือมาผลักศีรษะซือหม่าโยวเย่ว์ออกไปพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่ขึ้นครองราชย์หรอก”
“เจ้าไม่ขึ้นครองราชย์อย่างนั้นหรือ”
“อืม หลายวันนี้ข้าก็คอยจัดการเรื่องพวกนี้อยู่นี่แหละ” โอวหยางเฟยนั่งลงท่ามกลางพวกเขาก่อนจะบิดขี้เกียจแล้วเอ่ยว่า “อยู่อย่างอิสระมาจนเคยชินเสียแล้ว อยู่ในนั้นแค่ไม่กี่วันยังรู้สึกไม่คุ้นชินเลย”
ทุกคนหัวเราะเขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าโตมาในวังหลวงนะ!”
“เอาใจออกหากมาแล้ว กลับไปไม่ได้หรอก” โอวหยางเฟยหยิบชามและตะเกียบออกมาก่อนจะเริ่มกินข้าวอย่างรู้หน้าที่
“เจ้าไม่ครองราชย์ แล้วท่านน้าท่านลุงเหล่านั้นของเจ้าไม่ว่าอะไรหรือ” ซือหม่าโยวหยางถาม
“ข้าหาคนสืบทอดให้พวกเขาแล้วน่ะสิ” โอวหยางเฟยพูด “ถึงแม้จะติดขัดอยู่บ้าง แต่พวกเขาก็เห็นด้วยอยู่ดี”
“เจ้าคงจะมิได้ยกบัลลังก์จักรพรรดิให้น้องชายอายุสิบกว่าขวบผู้นั้นของเจ้าหรอกนะ” เจ้าอ้วนชวีพูด
“อืม ตอนนี้เขาอายุแค่สิบกว่าขวบ แต่อีกไม่กี่ปีก็ไม่ใช่แล้วนี่” โอวหยางเฟยพูด “เอาชีวิตรอดภายใต้การกดดันจากโอวหยางตงได้ ความสามารถของเขาก็คงไม่อ่อนแอนักหรอก”
“แต่ถึงอย่างไรเขาก็มิใช่น้องชายร่วมมารดาของเจ้า แล้วคนตระกูลซางจะเห็นด้วยหรือ” เว่ยจือฉีถาม
“มารดาของเขาสิ้นชีพไปนานแล้ว ได้ท่านแม่ของข้าคอยดูแลเขามาโดยตลอด ดังนั้นข้าจึงให้ท่านแม่รับผิดชอบ เช่นนี้เขาก็ขึ้นครองราชย์ได้แล้ว ตระกูลซางก็มิอาจพูดอะไรได้” โอวหยางเฟยพูด “แต่ข้าอาจจะอยู่ที่ทักษิณายาตรก่อนสักระยะหนึ่งนะ”
“อืม เจ้าไปจากทักษิณายาตรนานปีถึงเพียงนี้ ก็ควรจะอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่สักหน่อย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
โอวหยางเฟยเองก็คิดเช่นนี้ เขาจากไปตั้งหลายปี ตอนนี้ได้เห็นมารดาของตนเอง จึงอยากจะอยู่เป็นเพื่อนนางอีกสักหน่อย
“แต่ถึงจะมิได้อยู่กับพวกเจ้าสักระยะ ข้าก็จะรีบฝึกยุทธ์ให้เร็วที่สุด เมื่อถึงเวลาที่พวกเจ้าไปยังโลกเบื้องบน ข้าก็จะไปด้วย”
“ดี”
โอวหยางเฟยกินข้าวเย็นเสร็จก็กลับไป ซือหม่าโยวเย่ว์ถึงขนาดคิดว่าเจ้าคนผู้นี้โผล่มาในเวลานี้ก็เพราะเดาได้ว่าพวกเขากำลังกินข้าวกันอยู่ จึงเข้ามาร่วมวงด้วยใช่หรือไม่
ต่อมาอีกหลายวันก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของโอวหยางเฟย ตอนที่เขามาปรากฏตัวอีกครั้งก็คือตอนที่เขามาเชิญทุกคนไปเข้าร่วมพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ของน้องชายเขา
พวกซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เคยเข้าร่วมพิธีเช่นนี้มาก่อน จึงตอบรับไป
ผู้อื่นไม่รู้ แต่คนตระกูลซางเข้าใจดีว่าพวกซือหม่าโยวเย่ว์มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อเรื่องราวในครั้งนี้ จึงรู้สึกซาบซึ้งต่อพวกเขาเป็นอย่างยิ่ง จัดให้พวกเขาเป็นแขกคนสำคัญของราชสำนัก ทั้งยังแสดงความขอบคุณต่อพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในระหว่างพระราชพิธีขึ้นครองราชย์ ซือหม่าโยวเย่ว์ได้เห็นน้องชายของโอวหยางเฟย ซึ่งเป็นเด็กเพียงคนเดียวนอกจากโอวหยางเฟยที่รอดชีวิตมาได้ท่ามกลางการต่อสู้ของราชวงศ์
เขาอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี อายุใกล้เคียงกับเธอตอนที่พบกับโอวหยางเฟย ใบหน้ายังมีความอ่อนวัยอยู่ แต่แววตากลับค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ ดูมีสติปัญญา แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นคนมีความสามารถ
กระบวนการทั้งหมดยืดยาวและซับซ้อน หลังจากที่พวกซือหม่าโยวเย่ว์อยู่ร่วมพิธีการจนเสร็จสิ้นแล้วจึงกลับที่พักโดยมิได้อยู่ร่วมงานเลี้ยงต่อ
เรื่องราวทางนี้จัดการไปได้มากพอสมควรแล้ว ซือหม่าโยวหลินหาตัวเธอจนพบแล้วบอกว่าออกเดินทางไปยังเมืองวิเศษซึ่งเป็นสถานที่จัดงานประลองได้แล้ว
ในตอนแรกซือหม่าโยวเย่ว์ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดที่นั่นจึงถูกเรียกว่าเมืองวิเศษ ต่อมาจึงได้เข้าใจว่าเพราะที่นั่นเป็นที่ตั้งของตำหนักผู้วิเศษนั่นเอง
เมื่อนึกถึงตำหนักผู้วิเศษ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็อดนึกถึงชายหนุ่มที่ขโมยจูบของตนไปในตอนนั้นขึ้นมามิได้