สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 288 เขาคืออีกครึ่งหนึ่งของเขา
ซือหม่าโยวเย่ว์ตื่นตระหนกเพราะคำพูดของมารเฒ่า
สิ่งมีชีวิตนั่นถึงขนาดผลักดันให้สัตว์อสูรวิเศษทั่วทั้งเทือกเขาหมื่นอสูรไปโจมตีเมืองวิเศษได้ เรื่องนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!
“ตอนข้าอยู่ที่เมืองวิเศษ ได้ยินเจ้าตำหนักพูดกับเจ้าเด็กบ้าว่าหลายครั้งหลังๆ มานี้การจลาจลบนเทือกเขาหมื่นอสูรมีระยะถี่กระชั้นเข้ามามากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ข้าคิดว่าเจ้าสิ่งนั้นอาจจะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น บางทีอีกไม่นานอาจจะทะลุสิ่งกีดขวางออกมาก็เป็นได้ อยากรู้เหลือเกินว่าเจ้าสิ่งนั้นคือสิ่งใดกันแน่” มารเฒ่าคาดเดา
“ถ้าหากเมืองวิเศษดำรงอยู่เพื่อกดดันเจ้าสิ่งนั้นจริงๆ ก็แสดงว่ามันอยู่มาเนิ่นนานมากแล้ว ดำรงชีวิตอยู่มาได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้ พลังยุทธ์จะไปถึงระดับขั้นใดกันนะ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ตระหนกตกใจกับความคิดของตนเอง
มารเฒ่าวางท่าทีน่าเกรงขาม “ไม่แน่ว่าอาจจะร้ายกาจยิ่งกว่าสรรพสิ่งที่เบื้องบนเหล่านั้นเสียอีก บางทีอาจเทียบได้กับตระกูลโบราณเหล่านั้นเลยทีเดียว”
“ที่เทือกเขาหมื่นอสูรหนึ่งตน ที่พื้นสมุทรอีกหนึ่งตน ดินแดนอี้หลินแห่งนี้กำลังจะวุ่นวายแล้วจริงๆ สินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พึมพำด้วยความกังวลใจ ถ้าหากพวกท่านปู่ใช้ชีวิตอยู่ที่ดินแดนแห่งนี้ ช้าเร็วก็ต้องตกอยู่ในอันตราย
“พื้นสมุทรหรือ ที่นั่นก็มีบางอย่างอยู่เช่นกันหรือ” มารเฒ่าประหลาดใจอยู่บ้าง สิ่งมีชีวิตเช่นนี้มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวในดินแดนก็เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอย่างยิ่งแล้ว ถ้าหากมีสองตน ในอนาคตต้องวุ่นวายใหญ่โตอย่างแน่นอน
ซือหม่าโยวเย่ว์เล่าเรื่องตอนไปเสาะหาสมุนไพรที่เกาะลืมกังวลให้เขาฟัง ทั้งยังบอกด้วยว่าตนไปได้นางพญาผึ้งแดงมาจากที่นั่น
หลังจากมารเฒ่าได้ฟังแล้วก็นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเอ่ยว่า “ถ้าหากเป็นดังที่เจ้าพูด เช่นนั้นสิ่งที่ถูกสะกดอยู่ก็น่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ทมิฬ แต่ไม่รู้ว่าใครที่สะกดพวกมันเอาไว้ในดินแดนเช่นนี้ได้”
“ท่านอาจารย์…” ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่ามีคนเข้ามาใกล้จึงหันไปมอง ก็เห็นเป่ยกงถังกำลังเดินเข้ามา
“โยวเย่ว์ ท่านปู่มาร ถ้ายังไม่กลับไปกินกันอีก อาหารก็จะเย็นชืดหมดแล้วนะ” เป่ยกงถังพูด
เธอรออยู่ข้างล่างตั้งนานสองนาน ทั้งคู่ก็ยังไม่ลงไปเสียที เธอจึงมาเรียกพวกเขาด้วยตัวเอง
“ไปเถิด ไปกินของอร่อยกันดีกว่า” มารเฒ่าพูด “วันนี้พวกเจ้าทำอะไรให้ข้ากินหรือ”
“ทำไว้เยอะแยะเชียวล่ะ รับรองว่าท่านจะได้กินจนพุงกางแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บซ่อนความกังวลใจแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เธอยังคงมองในแง่ดี ไม่ว่าถึงเวลานั้นจะเกิดอะไรขึ้นที่ดินแดนแห่งนี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเวลาอีกหลายปีหลังจากนี้ แต่ในช่วงนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้ แทนที่จะมัวกังวล มิสู้เอาเวลามายกระดับพลังยุทธ์ของตัวเองเสียดีกว่า
หากไม่ได้การ ก่อนจะจากไปเธอก็แค่พาคนตระกูลซือหม่าขึ้นไปยังโลกเบื้องบนด้วยเท่านั้นเอง
รสมือของพวกเธอย่อมไร้ที่ติอยู่แล้ว มารเฒ่ากินไปพลาง ชมไปพลาง “รสมือของพวกเจ้าสองคนอร่อยกว่าหอสุราข้างบนนั้นเสียอีก! ไม่รู้ว่าอาหารที่เผ่าพันธุ์ทิพย์เหล่านั้นทำออกมาจะมีรสชาติเช่นไร!”
“เผ่าพันธุ์ทิพย์หรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์เพิ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรกจึงไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“บนนั้นมิได้มีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์เท่านั้นหรอกนะ สัตว์อสูรวิเศษมากมายก็เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกันด้วย เพราะมีพลังยุทธ์แกร่งกล้าพอๆ กันกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ หรืออาจกล่าวได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นเพียงแค่หนึ่งในเผ่าพันธุ์มากมายในโลกเบื้องบนเท่านั้นเอง” มารเฒ่าพูด
“หา!” ซือหม่าโยวเย่ว์สะดุ้งแล้วเอ่ยว่า “เผ่าพันธุ์มนุษย์มิได้เป็นผู้ปกครองโลกหรอกหรือ”
“จะพูดเช่นนี้ก็ได้ เพราะเผ่าพันธุ์ทิพย์แต่ละเผ่าพันธุ์นั้นมีจำนวนไม่มากนัก เผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นมีข้อได้เปรียบทางด้านจำนวน แต่ก็พูดได้ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์กับเผ่าพันธุ์ทิพย์นั้นใกล้เคียงกัน เพราะเผ่าพันธุ์ทิพย์มีมากมายหลายเผ่าพันธุ์ยิ่งนัก พอรวมกันแล้วก็มีจำนวนมหาศาลเลยทีเดียวล่ะ” มารเฒ่าพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์คิดไม่ถึงว่าโลกเบื้องบนจะเป็นเช่นนี้ เผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าพันธุ์ทิพย์ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ทำลายมุมมองที่เธอเคยคิดว่ามมนุษย์เป็นผู้ปกครองโลกไปจนหมดสิ้น
“เผ่าพันธุ์ทิพย์เหล่านั้นมีลักษณะเช่นไรหรือ” เธอถามอย่างสนใจใคร่รู้
“มิได้แตกต่างอะไรกับมนุษย์เลย มักจะบ่นอยู่เสมอว่ามนุษย์อ่อนแอยิ่งนัก แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่เลือกแปลงกายเป็นร่างมนุษย์” เป่ยกงถังพูด
“แต่ก็มีจำนวนมากที่ยังคงรูปลักษณ์สัตว์เอาไว้ ข้างบนนั้นเป็นอย่างไร พอเจ้าขึ้นไปก็จะรู้เองนั่นแหละ” มารเฒ่าพูดพลางแทะกระดูก
ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า พูดมากไปก็มิได้มีความหมายต่อเธอแต่อย่างใด อีกทั้งยังอาจจะกระทบต่อจิตใจของเธออีกด้วย
“ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ ท่านหลอมยาวิเศษตรีปราณให้ใครหรือ!”
“ศิษย์พี่เจ้าน่ะสิ” มารเฒ่าพูดพลางกัดกระดูกชิ้นสุดท้ายตรงหน้า ก่อนจะเช็ดไม้เช็ดมือแล้วเอ่ยว่า “กินอิ่มแล้ว ข้าไปย่อยก่อนนะ พอกลับมาแล้วพวกเราค่อยเริ่มต้นหลอมยากัน”
พอพูดจบก็มีเงาดำวาบผ่านไป ไม่เห็นเงาเขาอีกต่อไป
แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับนั่งตกตะลึงอยู่ที่เดิม ราวกับไม่เห็นว่าเขาจากไปแล้ว
เป่ยกงถังเห็นท่าทีเช่นนี้ของซือหม่าโยวเย่ว์จึงเอ่ยถามว่า “โยวเย่ว์ เจ้าเป็นอะไรไปหรือ”
“ไม่มีอะไรหรอก เจ้าเก็บกวาดที่นี่หน่อยนะ ข้าจะออกไปสักครู่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปทางยอดเขา
“นางเป็นอะไรไปน่ะ” เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างสงสัย ไม่เคยเห็นเธอเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย!
ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงบนยอดเขาแล้วหาหินก้อนหนึ่งนั่งลงก่อนจะมองดูสร้อยข้อมือม่านถัวบนข้อมือพลางครุ่นคิดอย่างหนัก
ผ่านไปครู่ใหญ่เธอจึงถ่ายเสียงถามว่า “ศิษย์พี่คือวิญญาณที่กลับชาติมาเกิดของเจ้า ถูกต้องหรือไม่”
ผ่านไปครู่ใหญ่ หมัวซาจึงตอบกลับมาคำหนึ่ง “ใช่”
“จริงๆ ด้วยสิ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ยาวิเศษตรีปราณเป็นยาวิเศษต้องห้ามสำหรับให้คนที่วิญญาณไม่สมบูรณ์ใช้ ท่านอาจารย์บอกว่าเตรียมยาวิเศษชนิดนี้เอาไว้สำหรับศิษย์พี่ แสดงว่าวิญญาณของศิษย์พีนั้นไม่ครบสมบูรณ์ และท่านยังบอกด้วยว่าบนร่างของท่านอาจารย์มีกลิ่นอายวิญญาณที่กลับชาติมาเกิดของท่านอยู่ ดังนั้นศิษย์พี่ก็คืออีกครึ่งหนึ่งของท่านสินะ”
“เจ้าช่างละเอียดรอบคอบยิ่งนัก” หมัวซาพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์นึกถึงเรื่องที่ตนได้ตัวหมัวซามาแล้วยังได้พบกับอูหลิงอวี่เมื่อหลายปีก่อนขึ้นมา จึงคาดเดาว่าตอนนั้นอูหลิงอวี่ตามกลิ่นอายของหมัวซาไปจนถึงเทือกเขาผู่สั่ว แต่น่าเสียดายที่เธอเก็บหมัวซาเอาไว้ภายในมณีวิญญาณ ทำให้ทั้งคู่พลาดจากกันไปหลายปีเช่นนี้
“เช่นนั้น… ต่อจากนี้ท่านคิดจะทำเช่นไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างสงสัย
หมัวซาเงียบงันไป บางทีแม้กระทั่งเขาเองก็ยังคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับวิญญาณที่กลับชาติมาเกิดของตนได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนี้
ผ่านไปครู่ใหญ่ ซือหม่าโยวเย่ว์ถึงจะได้ยินคำตอบของเขา
“การผสานรวม นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำแน่นอนอยู่แล้ว มิฉะนั้นเขาก็จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปมิได้”
“เพราะเหตุใดกัน”
“เพราะเมื่อพลังยุทธ์ของเขาเพิ่มสูงขึ้น วิญญาณก็จะไม่เพียงพอสำหรับรองรับร่างกายของเขาจนทำให้อ่อนแอลงเรื่อยๆ จนกระทั่งแหลกสลายไปในที่สุด” หมัวซาพูด
“แหลกสลายหรือ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตกตะลึงแล้วเอ่ยว่า “ตั้งแต่ท่านตายจนถึงตอนนี้ก็เป็นหมื่นปีได้แล้วกระมัง จะต้องมิใช่การกลับชาติมาเกิดเท่านั้น แล้วตอนนี้จะแหลกสลายไปได้อย่างไรเล่า”
“ไม่มีสิ่งใดเป็นนิรันดร์หรอก” หมัวซาพูด “ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่านั่นเป็นเพียงแค่วิญญาณส่วนน้อยๆ ของข้าเท่านั้น หากไม่กลับชาติมาเกิด พลังของวิญญาณก็จะอ่อนแอลงส่วนหนึ่ง พอถึงตอนที่ตายไปอีกครั้ง พลังวิญญาณก็จะไม่เพียงพอให้กลับชาติมาเกิดอีกแล้ว จึงต้องแหลกสลายไปน่ะสิ”
“แล้วถ้าเป็นวิญญาณที่ครบสมบูรณ์เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ถ้าหากหลังจากที่กลับชาติมาเกิดแล้วระลึกถึงความทรงจำในอดีตได้ วิญญาณที่ครบสมบูรณ์ก็จะบำเพ็ญเคล็ดหลอมวิญญาณได้ใหม่ ทำให้เริ่มต้นทุกสิ่งทุกอย่างใหม่ได้” หมัวซาพูด
“เช่นนั้นถ้าหากคนที่กลับชาติมาเกิดใหม่หลายครั้งมิได้ล้ำเลิศเป็นพิเศษเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ประหลาดใจ ถ้าหากมีคนเช่นเขาอยู่เป็นจำนวนมาก โลกใบนี้จะไม่กลับตาลปัตรไปหมดหรือ!
“ไม่หรอก ต่อให้วิญญาณระลึกถึงความทรงจำในอดีตได้ เขาก็ได้แต่ฝึกพลังยุทธ์ใหม่ตั้งแต่ต้นเท่านั้น แต่พลังวิญญาณของคนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปสักส่วนหนึ่งก็เพียงพอแล้วละ” หมัวซาพูด “ค่อยว่ากันเถิด คนที่ยกระดับพลังยุทธ์มาได้ถึงระดับนี้ ในประวัติศาสตร์คงมีอยู่ไม่กี่คนนักหรอก”
ซือหม่าโยวเย่ว์จนคำพูด นี่เขากำลังชื่นชมตัวเองอยู่ใช่หรือไม่