สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 295 การประชุมเมืองวิเศษ
อีกสองวันต่อมา เทือกเขาหมื่นอสูรก็พบกับสภาวะสรรพสัตว์สันโดษ ไม่ว่าจะเป็นยามกลางวันหรือกลางคืน ไม่ต้องพูดถึงครึ่งหนึ่งของสัตว์อสูรวิเศษ แม้กระทั่งสัตว์ทั่วไปก็ยังไร้เงา บนท้องฟ้าไม่มีนกแม้แต่ตัวเดียว
ภายในเมืองวิเศษ คนของขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่งนั่งล้อมวงอยู่ด้วยกัน พวกเขากำลังปรึกษากันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงสองวันนี้ ทุกคนในที่นี้ล้วนมีบทบาทที่หากเดินออกไปแล้วจะต้องทำให้ทั่วทั้งดินแดนอี้หลินสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
และอูหลิงอวี่ก็อยู่ในที่นี้ด้วย เมื่ออยู่ร่วมกันแล้วดูไม่เข้ากับกลุ่มผู้สูงวัยในที่นี้อยู่บ้าง
ถึงแม้ว่าเขาจะอ่อนวัยเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีใครกล้าดูแคลนเขา เพราะทุกคนรู้ว่าเขามาจากโลกเบื้องบน เป็นผู้วิเศษแห่งตำหนักผู้วิเศษของโลกเบื้องบน สถานะสูงส่ง พลังยุทธ์ไม่ธรรมดา
“สองวันมานี้ไม่เห็นแม้แต่เงาของสัตว์อสูรวิเศษเลย การจลาจลในคราวนี้ก็คงผ่านพ้นไปเช่นนี้แล้วกระมัง” ชายวัยกลางคนเอ่ยปากพูด
เมื่อดูจากสิ่งที่เขาสวมใส่ ก็คือหนึ่งในรองประธานสมาคมนักหลอมยานั่นเอง
รองประธานสมาคมนักหลอมวัตถุคนหนึ่งพูดอย่างสงสัยว่า “สองวันก่อนหน้านี้เกิดกลิ่นอายที่ชวนให้ผู้คนตกใจขุมหนึ่งขึ้นมายังทิศทางของเขาภาพมังกร คงจะเกิดจากสัตว์ร้ายที่ถูกสะกดเอาไว้ใต้นั้น หรือว่าการที่สัตว์อสูรวิเศษล่าถอยไปจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เล่า ประธานสมาคมอู๋ พวกท่านเข้าใจสัตว์อสูรวิเศษดีกว่าพวกเรา พวกท่านคิดว่าการจลาจลในคราวนี้ผ่านพ้นไปแล้วหรือยัง”
ประธานสมาคมอู๋ผู้นั้นก็คือรองประธานสมาคมคนแรกของสมาคมนักฝึกสัตว์อสูร เมื่อได้ยินคำถามจึงเอ่ยอย่างไม่แน่ใจว่า “ข้าคิดว่าน่าจะผ่านพ้นไปแล้วละ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทางนั้นเมื่อสองวันก่อน แต่มันส่งผลกระทบต่อการจลาจลในคราวนี้ จึงได้กำจัดภยันตรายของเมืองวิเศษไปก่อนวันเวลาอันควร”
“ร้อยปีมานี้ระยะห่างระหว่างการจลาจลแต่ละครั้งถี่กระชั้นเข้ามาเรื่อยๆ และการจลาจลก็ดำเนินไปอย่างยาวนานขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ไม่รู้ว่าเมืองวิเศษจะต้านทานไปได้อีกนานเท่าใด เฮ้อ…”
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราก็ต้องปกป้องที่นี่เอาไว้ให้ดี เพราะเรื่องนี้เกี่ยวโยงถึงความปลอดภัยของชีวิตนับล้านเลยนะ” เจ้าตำหนักวิเศษพูดอย่างใจกว้างเปี่ยมคุณธรรม
อูหลิงอวี่นั่งอยู่บนที่นั่งของตนโดยไม่เอ่ยวาจา ความจริงเขาไม่อยากเข้าร่วมการประชุมพรรค์นี้อยู่แล้ว แต่พอซือหม่าโยวเย่ว์รู้เข้าก็ให้เขามาดูว่าพอจะได้ข่าวสารวงในอะไรมาบ้างหรือไม่
“ในเมื่อการจลาจลสัตว์อสูรวิเศษสิ้นสุดลงแล้ว ก็เปิดค่ายกลใหญ่คุ้มกันเมืองได้แล้วสินะ”
“ถึงเวลาเปิดได้แล้วละ อีกไม่กี่วันก็จะถึงงานชุมนุมแล้ว ตระกูลพวกนั้นคงจะทยอยเข้ามากันแล้ว”
“ได้ยินมาว่ามีคนรุ่นเยาว์ของตระกูลสองแห่งมาถึงเขาภาพมังกรนานแล้วด้วยมิใช่หรือ”
“เป็นคนตระกูลน่าหลานกับคนตระกูลซือหม่า”
“ได้ยินว่าตระกูลหั่วก็มาแล้วเช่นกัน แต่มีรุ่นชรานำมาด้วย”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เก็บค่ายกลใหญ่คุ้มกันเมืองเลยดีกว่า”
“ข้าเห็นด้วย”
“สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็เห็นด้วย”
“สมาคมนักหลอมยาเห็นด้วย”
“ข้าไม่มีความเห็น”
เมื่อผ่านความเห็นชอบอันเป็นเอกฉันท์ของทุกคน หลังจากการประชุมสิ้นสุด จึงปิดค่ายกลใหญ่คุ้มกันเมืองลง
“งานชุมนุมในครั้งนี้จะเป็นการตัดสินสถานะของขุมอำนาจใหญ่แต่ละแห่ง ได้ยินมาว่าคราวนี้มีผู้มีพรสวรรค์หนุ่มสาวปรากฏตัวขึ้นมากมาย พอถึงตอนนั้นพวกเราคงจะได้ดูกันอย่างเต็มอิ่มเลยทีเดียว” มีคนหยิบยกประเด็นนี้ขึ้นมาพูด
“ข้าได้ยินว่าตระกูลซือหม่ามีผู้มีพรสวรรค์ทางด้านการหลอมยาปรากฏขึ้นมาคนหนึ่ง อายุยี่สิบสองปีก็เป็นนักหลอมยาขั้นสี่แล้ว มีพรสวรรค์ดียิ่งกว่าเด็กของสมาคมนักหลอมยาเหล่านั้นเสียอีก”
“ข้าก็ได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเด็กผู้นั้นจะมิได้เป็นเพียงขั้นสี่เท่านั้นหรอกนะ เขากับหลี่มู่แข่งขันกันยกหนึ่ง เขาชนะอย่างขาดลอย หลี่มู่เป็นขั้นสี่แล้วมิใช่หรือ ข้าคาดว่าเขาน่าจะเป็นขั้นห้า”
“นักหลอมยาขั้นห้าวัยยี่สิบสองปีอย่างนั้นหรือ พรสวรรค์สูงส่งยิ่งกว่าเจ้าเด็กตระกูลหานเสียอีก!”
“ไม่เพียงเท่านั้นนะ ข้ายังได้ยินมาอีกว่าหลี่มู่พาคนไปหมายจะช่วยตระกูลน่าหลานสืบค้นความจริง ผลปรากฏว่าถูกเขาเอาชนะอีก เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่ รองประธานสมาคมเฉียน”
รองประธานสมาคมเฉียนก็คือรองประธานสมาคมที่เอ่ยปากพูดเป็นคนแรกผู้นั้นนั่นเอง ขณะนี้สีหน้าของเขาไม่น่าดูเอาเสียเลย เรื่องนี้ทำให้สมาคมนักหลอมยาขายหน้าอย่างใหญ่หลวง ตอนนี้ยังถูกคนหยิบยกขึ้นมาพูดต่อหน้าธารกำนัลอีก ทำให้เขาโมโหเป็นอย่างยิ่ง!
“เรื่องนี้ รอพวกเขากลับมาก่อนแล้วข้าจะถามให้แน่ชัดเอง” เขาพูดอย่างไม่น่าฟังนัก
อูหลิงอวี่เหลือบตามองรองประธานสมาคมเฉียนแล้วพูดอย่างเรียบเรื่อยว่า “ข้าติดตามท่านอาจารย์ออกไปเมื่อหลายวันก่อน ได้ผ่านเขาภาพมังกรพอดี ข้าได้ยินคนพวกนั้นพูดกันว่าตอนนั้นหลี่มู่พาคนไปหาเรื่องตระกูลซือหม่า หมายจะให้คนตระกูลน่าหลานได้หยั่งเชิงพลังยุทธ์ของตระกูลซือหม่า บอกว่าหากชนะสามคนต่อเนื่องกันแล้วพวกเขาจะจากไป แต่เพิ่งถูกตระกูลซือหม่าเอาชนะไปเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น คนของสมาคมนักหลอมยาก็กลับคำ บอกว่าจะเปลี่ยนเป็นแข่งหลอมยาแทน”
พอเขาพูดคำนี้ออกไป ทุกคนก็มองรองประธานสมาคมเฉียนด้วยสีหน้าเจือรอยยิ้มหยันพลางเอ่ยถามว่า “เป็นเช่นนี้จริงหรือ ปกติหลี่มู่ดูเป็นคนซื่อสัตย์อย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าจะทำเรื่อง…เรื่องพรรค์นี้ออกมาได้”
คนที่เอ่ยวาจานี้อยากจะพูดว่าหน้าไม่อาย แต่เห็นแก่หน้าสมาคมนักหลอมยา จึงกลืนสามพยางค์นี้กลับลงคอไป
“เรื่องพวกนี้เป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น เรื่องจริงเป็นเช่นไร รอพวกเขากลับมาก่อนเดี๋ยวก็รู้เองนั่นแหละ” รองประธานสมาคมเฉียนรู้สึกว่าใบหน้าชราของตนแตกยับเยินแล้ว เขาก่นด่าหลี่มู่ในใจชุดใหญ่ และมิได้เกิดความรู้สึกอันดีต่อคนตระกูลซือหม่าแต่อย่างใดเลย
ถึงแม้ว่าแต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยมองตระกูลซือหม่าในแง่ดีอยู่แล้ว
ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่มีทัศนคติที่ดีต่อคนที่พูดเหล่านั้นเลย วันนี้ท่านประธานสมาคมไม่มา ให้เขามาเข้าร่วมการประชุมครั้งนี้แทน แต่กลับถูกพวกเขาเอามาเล่นเป็นตัวตลก ทำเอาหัวใจเขาบีบรัดแน่น
เขากำหมัดแน่น ความเคียดแค้นก่อตัวขึ้นในใจ
หลังจากการประชุมสิ้นสุดลง ค่ายกลใหญ่คุ้มกันเมืองของเมืองวิเศษก็ปิดลง พวกซือหม่าโยวเย่ว์ได้รับข่าวในทันที จึงตัดสินใจจะออกเดินทางไปยังเมืองวิเศษในวันรุ่งขึ้น
ผ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกได้ถึงอันตราย จึงพากันออกไปจากเขาภาพมังกร ดังนั้นตอนที่คนตระกูลหั่วมาถึง พวกเขาจึงโชคดีได้ที่พักในโรงเตี๊ยม
“เจ้าบอกว่าพวกพี่โยวหลินก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ” หั่วจือเจียวมองสาวใช้ของตนพลางพูดอย่างตื่นเต้น
“คุณหนู พวกเขาบอกว่าคนตระกูลซือหม่ามาถึงที่นี่ได้หลายวันแล้ว คุณชายโยวหลินจะต้องเป็นหนึ่งในนั้นแน่นอนเจ้าค่ะ” เสี่ยวเถาจื่อพูด
“จริงหรือ ข้าจะไปหาเขา!” หั่วจือเจียวลุกขึ้นหมายจะวิ่งออกไป
“คุณหนู ช้าก่อนเจ้าค่ะ ได้ยินว่าพวกเขามิได้อยู่ในหมู่บ้านนะเจ้าคะ” เสี่ยวเถาจื่อพูด
“มิได้อยู่ในหมู่บ้านแล้วอยู่ที่ไหนกันเล่า”
“ได้ยินว่าตอนที่พวกเขามาถึงนั้นไม่มีที่พักว่างเลย พวกเขาจึงไปตั้งค่ายพักที่ริมทะเลสาบเล็กเจ้าค่ะ”
“ข้าจะไปหาเขา!” หั่วจือเจียวยกชายกระโปรงวิ่งออกไปข้างนอก เมื่อเปิดประตูก็ปะทะเข้ากับคนด้านนอก
“เหตุใดจึงเลินเล่อเช่นนี้เล่า” หั่วจือเหยียนมองน้องสาวของตนพลางแกล้งดุด่า
“ท่านพี่ พวกพี่โยวหลินเขาอยู่ที่นี่ ข้าจะไปพบพวกเขาน่ะสิ” หั่วจือเจียวพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ช้าก่อน” หั่วจือเหยียนหยุดหั่วจือเจียวเอาไว้แล้วเอ่ยว่า “ข้าก็จะไปหาเขาอยู่เหมือนกัน พวกเราไปพร้อมกันเลยดีกว่า”
“ได้ ท่านรีบหน่อยสิท่านพี่”
ตอนที่หั่วจือเจียวและหั่วจือเหยียนมาถึงริมทะเลสาบเล็ก พอมองไปก็เห็นซือหม่าโยวหลินและซือหม่าโยวเย่ว์กำลังสนทนากันอยู่ริมทะเลสาบ ไม่รู้ว่าสองคนคุยอะไรกัน ซือหม่าโยวหลินถึงได้แสดงสีหน้าพรั่นพรึง
ส่วนเจ้าอ้วนชวีกับเว่ยจือฉี และคนตระกูลซือหม่าคนอื่นๆ ต่างกำลังตกปลากันอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก นกหลากสีตัวหนึ่งกำลังบินไปมาอยู่เหนือศีรษะทุกคน
เมื่อเห็นซือหม่าโยวเย่ว์ หั่วจือเจียวก็รู้สึกไม่สบายตัวอยู่บ้าง ตอนอยู่ที่เมืองอันหยาง นางถูกพวกซือหม่าโยวเย่ว์ฉีกหน้าเสียยับเยิน เมื่อเห็นว่าข้างกายเธอมีสัตว์อสูรเหนือเทพอยู่ นางก็ตกใจไม่น้อย รู้สึกว่าเมื่อตนอยู่ต่อหน้าเธอแล้วเหมือนเป็นตัวตลกที่ได้แต่กระโดดโลดเต้นไปมาตัวหนึ่งเท่านั้น
แต่เมื่อเห็นคนที่ตนชอบอยู่ตรงนั้น นางก็ยังปลุกความกล้าขึ้นมาแล้วเดินเข้าไป