สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 298 ผู้คนตื่นตระหนก
ฝูงสัตว์อสูรเทพเข้ามาใกล้เขาภาพมังกรแล้ว คนจำนวนไม่น้อยเห็นพวกเขาวิ่งผ่านริมทะเลสาบมุ่งหน้ามายังหมู่บ้านภาพมังกร ในขณะที่ทุกคนกำลังคิดว่าคนตระกูลซือหม่าจะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขาอยู่นั้นเอง รัศมีสีขาวก็สว่างวาบขึ้นมาจากริมทะเลสาบเล็ก ราวกับจะทำให้ทั่วท้องฟ้ายามราตรีสว่างไสว
“นั่นมันอะไรกันน่ะ!” มีคนร้องอุทานขึ้น
“นั่นมัน…ค่ายกลป้องกัน!”
“ค่ายกลป้องกันโอบล้อมพวกเขาเอาไว้แล้ว!”
“ริมทะเลสาบมีค่ายกลป้องกันได้อย่างไร”
“โง่น่า… ริมทะเลสาบมีค่ายกลป้องกันตั้งแต่เมื่อไหร่เล่า! นั่นมันค่ายกลป้องกันที่คนตระกูลซือหม่าสร้างเอง!”
“พวกเขาเป็นแค่คนวัยเยาว์กลุ่มหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ แล้วจะสร้างค่ายกลป้องกันได้อย่างไร!”
“อา… ในบรรดาพวกเขาจะต้องมีปรมาจารย์ค่ายกลอยู่อย่างแน่นอน มิฉะนั้นคงไม่มีทางสร้างค่ายกลได้หรอก!”
“เฮอะ… เจ้าเพิ่งจะรู้หรือ พี่โยวหลินก็เป็นปรมาจารย์ค่ายกลอย่างไรเล่า!” หั่วจือเจียวพูดอย่างลำพองใจ
ในขณะนี้บนใบหน้าของนางไม่มีความกังวลใจอยู่อีกต่อไป มีค่ายกลป้องกันทั้งที พวกเขาย่อมผ่านภัยพิบัติในครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัยแน่นอน!
“ไม่ใช่หรอก ข้ารู้จักค่ายกลของโยวหลิน เขาไม่อาจสร้างค่ายกลป้องกันที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้แน่” หั่วจือเหยียนมองดูรัศมีของค่ายกลป้องกันอันระยิบระยับจับตาเบื้องล่างพลางเอ่ยขึ้น
“ท่านบอกว่าพี่โยวหลินมิได้เป็นคนสร้างมันอย่างนั้นหรือ นอกจากเขาแล้วยังมีใครเป็นปรมาจารย์ค่ายกลอีกบ้างเล่า” หั่วจือเจียวไม่เชื่อ
“เมื่อสองปีก่อนข้าเคยเห็นเขาสร้างค่ายกล ด้อยกว่านี้มากมายนัก” หั่วจือเหยียนพูด
“เขาจะต้องก้าวหน้าอย่างรวดเร็วตลอดสองปีนี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นนอกจากเขาแล้วจะมีใครในบรรดารุ่นเยาว์ของตระกูลซือหม่าที่มีความสามารถอันสูงส่งเช่นนี้อีกเล่า!”
“อาจจะมีก็ได้” หั่วจือเหยียนมิได้โต้เถียงอีกต่อไป หากแต่มองดูค่ายกลป้องกันเบื้องล่าง
“ปกติแล้วการจลาจลสัตว์อสูรวิเศษจะดำเนินไปตลอดทั้งคืน ค่ายกลป้องกันนี้ดูจะส่งผลแค่ชั่วครู่ มิได้ยั่งยืนยาวนาน ถ้าหากต้านทานมิได้ตลอดทั้งคืน พวกเขาก็อาจจะจบชีวิตลงได้นะ!” อู๋เฟิงเอ่ยอย่างเย็นชา
“ถูกต้อง ไม่แน่ว่าอีกประเดี๋ยวค่ายกลก็จะไร้ประโยชน์แล้วล่ะ!”
“ค่ายกลที่คนวัยเยาว์ผู้หนึ่งสร้างขึ้น จะต้องไม่ได้ผลอะไรมากมายนักหรอก” มีคนอายุมากหน่อยพูดขึ้น
ทุกคนในที่นั้นต่างมั่นใจว่าค่ายกลที่ริมทะเลสาบเล็กจะต้องถูกทำลายอย่างรวดเร็วแน่นอน ทว่ารัศมีนั้นกลับมิได้จางหายไปเลยตลอดทั้งคืน จนกระทั่งยามรุ่งสางที่สัตว์อสูรวิเศษทั้งหมดล่าถอยไป
ที่ริมทะเลสาบเล็ก ตอนแรกพวกซือหม่าโยวหยางกระวนกระวายกันเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาเรียกสัตว์อสูรเทพของตนออกมาให้เตรียมพร้อมรับการโจมตี มีเพียงแค่พวกซือหม่าโยวเย่ว์เท่านั้นที่ยังคงหลอมวัตถุต่อไปอย่างสงบ ไม่กังวลเลยแม้แต่น้อยว่าค่ายกลจะถูกสัตว์อสูรวิเศษทำลาย
พอถึงครึ่งคืนหลัง ทุกคนจึงค่อยวางใจลง เพราะค่ายกลนี้ยังคงแข็งแรงอยู่แม้ว่าจะอยู่ภายใต้การโจมตีของสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้ ถึงขนาดที่ไม่มีความสั่นสะเทือนเลยแม้แต่น้อย
“โยวเย่ว์ ค่ายกลของเจ้าร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้อย่างไรกัน!” ซือหม่าโยวหยางเดินเข้ามาถาม
เตาอบของเจ้าอ้วนชวีมาถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว ไม่ต้องให้ซือหม่าโยวเย่ว์มาคอยสั่งการอยู่ข้างๆ ว่าจะให้ทำอย่างไร
“ค่ายกลนี้เป็นค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าสร้างได้ในตอนนี้ มีประโยชน์ในการป้องกันการโจมตีของพลังวิญญาณได้ในระดับหนึ่ง ไม่ใช่ว่าการโจมตีของสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นไม่แข็งแกร่งหรอกนะ เพียงแต่พลังไม่มากพอเท่านั้น จึงถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายลงไปในพื้นดินจนหมด ขอเพียงแค่มิใช่สัตว์อสูรเทพระดับสูงกว่าขั้นห้า ก็มิอาจทำร้ายมันได้มากเท่าไหร่นักหรอก” เธอพูดอธิบาย
“เหตุใดค่ายกลนี้จึงฟังดูคุ้นหูเหลือเกิน” ซือหม่าโยวหยางพูด
“นี่คือค่ายกลป้องกันของตระกูล ตอนนี้ค่ายกลป้องกันของจวนซือหม่าก็คืออันนี้นี่แหละ” ซือหม่าโยวหลินที่อยู่ข้างๆ เอ่ยขึ้น
“บ้าไปแล้ว!” ซือหม่าโยวหยางเบิกตาโพลง “นี่คือค่ายกลป้องกันของตระกูลอย่างนั้นหรือ เจ้าทำได้ถึงขนาดนี้แล้วหรือ!”
“ท่านปู่หลินสอนข้าน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ตกตะลึงอยู่บ้าง ตอนที่ซือหม่าหลินสอนค่ายกลนี้ให้กับตนก็มิได้บอกว่านี่คือค่ายกลป้องกันของตระกูล บอกแต่เพียงว่าเป็นค่ายกลใหญ่ที่มีพลังป้องกันอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้น “แต่ตอนนี้ข้าก็สร้างได้แค่ค่ายกลแบบนี้เท่านั้น หากอาณาบริเวณใหญ่เกินไปก็คงได้ผลน้อย”
“แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้วล่ะ!” ซือหม่าโยวหยางมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างชื่นชมพลางเอ่ยว่า “โยวเย่ว์ เจ้าเป็นบุคคลต้นแบบของข้าเลยนะ!”
“ต้นแบบอะไรกันเล่า ต่อไปเจ้าห้ามพูดคำนี้กับข้าอีกนะ” ซือหม่าโยวเย่พูดจบแล้วดูเจ้าอ้วนชวีหลอมวัตถุต่อไป
เมื่อเห็นเจ้าอ้วนชวีหลั่งเหงื่อเต็มหน้า เธอก็อดทอดถอนใจมิได้ มิน่าเล่านักหลอมวัตถุจึงหายากกว่านักหลอมยาเสียอีก หากไม่มีความแข็งแกร่งพอย่อมมิอาจทำงานนี้ได้เลย!
ด้านนอกค่ายกล สัตว์อสูรวิเศษโจมตีค่ายกลอย่างบ้าคลั่ง แต่พวกซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่ข้างในกลับไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อมองไปก็เห็นว่าค่ายกลยังคงตั้งอยู่ที่ริมทะเลสาบ
“เอาละ การปฏิวัติสัตว์อสูรสิ้นสุดลงแล้ว” ซือหม่าโยวเล่อพูด
ถึงแม้จะเชื่อมั่นในความสามารถของซือหม่าโยวเย่ว์ แต่พวกเขาก็ยังคงระแวดระวัง เมื่อใดที่ค่ายกลถูกทำลาย พวกเขาก็จะได้ตอบสนองได้อย่างทันท่วงที
ซือหม่าโยวเย่ว์ปิดค่ายกล ผู้คนที่ยืนอยู่บนเขาภาพมังกรถึงได้เห็นเหตุการณ์ภายในนั้น
“นั่นกำลังหลอมวัตถุอยู่หรือ”
ผู้คนบนยอดเขาเห็นเจ้าอ้วนชวีหลอมวัตถุอย่างไม่รีบร้อน แต่ละคนจึงเบิกตาโต
“ตรงนั้นยังกินอาหารกันอยู่อีกด้วย!”
เว่ยจือฉีและพวกซือหม่าโยวหมิงกำลังนั่งล้อมวงกินอาหารเช้ากันอยู่ ท่าทีสงบเช่นนั้นดูเหมือนคนที่ถูกสัตว์อสูรเทพล้อมโจมตีตลอดคืนเสียที่ไหนกัน
“คนตระกูลซือหม่าช่างผ่อนคลายกันเสียจริง!” มีคนอุทาน
“เฮอะ ข้าก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าค่ายกลของพี่โยวหลินไม่มีปัญหาแน่!” หั่วจือเจียวพูดพลางมองไปทางพวกหลี่มู่
“ค่ายกลของโยวหลินก้าวหน้าขึ้นกว่าก่อนหน้านี้อย่างมหาศาลเลยจริงๆ” บิดาของหั่วจือเหยียนพูด
“ใช่แล้ว อนาคตบนเส้นทางค่ายกลของเจ้าเด็กโยวหลินผู้นี้จะต้องยาวไกลอย่างแน่นอน”
“ถูกต้อง ในภายหน้าตระกูลซือหม่าจะต้องมีปรมาจารย์ค่ายกลเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน!”
“ซือหม่าหลินมีหลานชายเช่นนี้ช่างโชคดีเสียจริง!”
คนตระกูลหั่วชื่นชมซือหม่าโยวหลินไม่ขาดปาก คนรุ่นเยาว์ก็ชื่นชมเขากันเป็นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งคนอื่นๆ บนเขาภาพมังกรก็พากันชื่นชมไปด้วย
มีเพียงแค่เหยียนลู่เท่านั้นที่รู้ว่าค่ายกลนี้มิใช่ฝีมือซือหม่าโยวหลิน หากแต่เป็นซือหม่าโยวเย่ว์ผู้ที่มีพรสวรรค์เหนือผู้ใดทางด้านการหลอมยาวิเศษด้วย
ในตอนแรกนางมิได้เห็นค่ายกลของซือหม่าโยวเย่ว์เข้าตาแต่อย่างใดเลย ถึงอย่างไรเธอก็อายุน้อยกว่าทุกคน และเธอยังประสบความสำเร็จทางด้านการหลอมยาเป็นอย่างยิ่งอีกด้วย จึงรู้สึกว่าเธอน่าจะทุ่มเทเวลาและพลังงานไปกับการหลอมยาจนหมดแล้ว
แต่นางคิดไม่ถึงว่าค่ายกลป้องกันของซือหม่าโยวเย่ว์นั้นจะเทียบเคียงได้กับค่ายกลป้องกันของเขาภาพมังกรเลยทีเดียว!
เมื่อคืนนี้นางเฝ้าระวังสถานการณ์ด้านล่างอยู่ตลอด นางค้นพบว่าค่ายกลป้องกันของเขาภาพมังกรสั่นไหวอยู่หลายครั้ง แต่ค่ายกลป้องกันของซือหม่าโยวเย่ว์กลับเปล่งประกายเจิดจรัสอยู่ตลอดเวลา
แล้วนี่จะไม่ทำให้นางตื่นตะลึงได้อย่างไรกัน!
“มิน่าเล่า พวกเขาถึงได้บอกว่าเขาเป็นตัวประหลาด เป็นปีศาจไปเสียแล้ว…”
ที่ริมทะเลสาบเล็ก เจ้าอ้วนชวีหลอมเตาอบเสร็จแล้วมอบให้กับซือหม่าโยวเย่ว์พลางเอ่ยว่า “เจ้าลองดูสิว่าใช้ได้หรือไม่”
ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเจ้าอ้วนชวีที่ยุ่งอยู่ตลอดหนึ่งบ่ายกับอีกหนึ่งคืนแล้วหยิบผลไม้ทิพย์จำนวนหนึ่งให้เขาพลางเอ่ยว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้เลย แต่ตอนนี้เพิ่งได้รู้ว่าที่แท้แล้วการหลอมวัตถุนั้นยากเย็นถึงเพียงนี้”
“เจ้าลองดูสิว่าใช้ได้หรือไม่” เจ้าอ้วนชวีเองก็เพิ่งเคยหลอมของสิ่งนี้เป็นครั้งแรก จึงไม่แน่ใจว่าจะใช้การได้หรือไม่
ซือหม่าโยวเย่ว์เก็บเตาอบเข้าไปภายในแหวนเก็บวัตถุแล้วเอ่ยว่า “ไว้ค่อยลองดูทีหลังแล้วกัน ตอนนี้ข้าจะไปเก็บค่ายกลก่อน พวกเราจะได้ไปเมืองวิเศษกัน”
เธอไปเก็บศิลากลของค่ายกล จึงพบว่าศิลากลจำนวนไม่น้อยเกิดรอยแตกขึ้น จึงส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “ยังดีที่สัตว์อสูรวิเศษเหล่านี้ล่าถอยกันไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นค่ายกลนี้ก็คงต้านทานได้อีกไม่เท่าไหร่แล้วล่ะ”
เธอเก็บศิลากลทั้งหมดลงไป ส่วนคนตระกูลซือหม่าก็เก็บกระโจมจนเสร็จเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ขณะนี้เอง คนกลุ่มหนึ่งก็เดินลงมาจากหมู่บ้านภาพมังกร แล้วมุ่งหน้ามาที่ริมทะเลสาบเล็ก