สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 299 การทดสอบของตระกูลหั่ว
พวกซือหม่าโยวหยางเห็นคนที่เดินมาแล้วตาเปล่งประกายวาบ แต่ก็ยังพาคนไปทักทาย
“คารวะท่านปู่หั่วและผู้อาวุโสทุกท่าน” เขาพูด
ท่านปู่ของหั่วเจิ้งซิ่งและหั่วจือเหยียน ประมุขตระกูลหั่วคนปัจจุบัน เขายื่นมือมาพยุงพลางเอ่ยว่า “โยวหยาง เมื่อคืนพวกเจ้าได้รับบาดเจ็บกันบ้างหรือไม่”
“ท่านปู่หั่ว พวกเราสบายดี ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร” ซือหม่าโยวหยางตอบพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ
“เมื่อคืนตอนที่พวกเรารู้เรื่อง ค่ายกลป้องกันหมู่บ้านก็เปิดทำงานไปแล้ว ถึงแม้พวกเราจะเป็นจ้าววิญญาณก็มิอาจผ่านเข้าออกค่ายกลป้องกันได้ตามใจชอบ จึงมิได้ดูแลพวกเจ้า พวกเจ้าก็อย่าถือสาเลยนะ” หั่วเจิ้งซิ่งพูด
“ขอบคุณท่านปู่หั่วที่ใส่ใจ ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงพวกเราเสียแล้ว พวกเราอยู่ภายในค่ายกลอย่างปลอดภัยดียิ่ง” ซือหม่าโยวหยางตอบอย่างมีมารยาท
“พวกเจ้าเก็บค่ายกลนั่นไปแล้วหรือ”
“ใช่แล้ว เพราะอีกประเดี๋ยวพวกเราก็จะไปเมืองวิเศษกันแล้วล่ะ จึงจงใจเก็บค่ายกลป้องกันไป”
“โยวหลิน ค่ายกลของเจ้าก้าวหน้าไปไม่น้อยเลย คราวนี้ถึงกับสร้างค่ายกลป้องกันที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ได้ อนาคตนั้นมิอาจประเมินได้เลย”
ซือหม่าโยวหลินสีหน้าแปลกประหลาดอยู่บ้าง เขาเอ่ยว่า “ข้ามิได้เป็นผู้สร้างค่ายกลนี้หรอกนะ”
“มิใช่เจ้าหรอกหรือ เช่นนั้นใครกันเล่า” คนตระกูลหั่วกวาดตามองคนตระกูลซือหม่าอย่างตกใจ อยากจะเห็นว่าค่ายกลของใครที่เหนือกว่าซือหม่าโยวหลินเสียอีก
“โยวเย่ว์น่ะ” ซือหม่าโยวหลินพูด
“ซือหม่าโยวเย่ว์คือท่านไหนหรือ”
ซือหม่าโยวเย่ว์ยืนอยู่ด้านหลังของกลุ่มคน เดิมทีกำลังชื่นชมอยู่ว่าปกติเจ้าซือหม่าโยวหยางผู้นี้ดูไม่เป็นจริงเป็นจังอะไรเลย แต่ตอนนี้เมื่อเจรจากับคนตระกูลหั่วแล้วกลับดูท่าทีใช้ได้เลยทีเดียวทันใดนั้นก็ได้ยินพวกเขาพูดชื่อตน จึงพึมพำเสียงต่ำสองสามประโยค
แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ยังลุกขึ้นยืนแล้วคารวะหั่วเจิ้งซิ่งพลางเอ่ยว่า “ผู้เยาว์คารวะท่านหั่วเจิ้งซิ่ง”
“เจ้าเองหรือคือซือหม่าโยวเย่ว์ ค่ายกลนั่นเป็นผลงานของเจ้าหรือ” หั่วเจิ้งซิ่งมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงนึกขึ้นมาได้ว่าก่อนหน้านี้ได้รู้เรื่องที่ซือหม่าโยวเย่ว์ก่อความวุ่นวายในตระกูลซือหม่ามา
“เป็นข้าเอง” ซือหม่าโยวเย่ว์รับคำ
“นึกไม่ถึงว่าพรสวรรค์ของเจ้าจะร้ายกาจถึงเพียงนี้ ยังเยาว์วัยแต่ก็ประสบความสำเร็จถึงขนาดนี้แล้ว” หั่วเจิ้งซิ่งเห็นซือหม่าโยวเย่ว์มิได้วางท่าทีหยิ่งยโส จึงพยักหน้ายอมรับ
หั่วจือเหยียนและหั่วจือเจียวมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างตกตะลึง ค่ายกลของเธอร้ายกาจยิ่งกว่าของซือหม่าโยวหลินเสียอีก เธอเป็นตัวประหลาดอะไรกันนี่
มิน่าเล่า เธอจึงอยู่ร่วมกันกับนักหลอมยา นักหลอมวัตถุ และนักฝึกสัตว์อสูรเหล่านั้นได้
“ได้ยินมาว่ารอบกายเจ้ายังมีสหายอยู่อีกหลายคน ซึ่งเป็นนักหลอมยา นักหลอมวัตถุ นักฝึกสัตว์อสูรกันทั้งสิ้น พวกเขายังอยู่กับเจ้าหรือไม่” หั่วเจิ้งซิ่งถามด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
ซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจเล็กน้อย เมื่อสองปีก่อนพวกเธอฉีกหน้าคุณหนูตระกูลหั่วที่หอเซวียนหยวน ตาแก่ผู้นี้คงมิได้มาหาพวกตนเพื่อคิดบัญชีหรอกกระมัง
เมื่อเห็นเธอสีหน้าไม่ดี หั่วเจิ้งซิ่งจึงหัวเราะเสียงดังลั่นแล้วเอ่ยว่า “พวกเราก็แค่อยากเห็นกลุ่มผู้มีพรสวรรค์วัยเยาว์เท่านั้นเอง มิได้มีเจตนาอื่นใดเลย”
ซือหม่าโยวเย่ว์จ้องมองหั่วเจิ้งซิ่งอย่างเต็มสองตาก็รู้สึกว่าเขาดูไม่เหมือนพวกผู้ใหญ่ที่ชอบรังแกผู้น้อยพรรค์นั้น จึงพยักหน้าแล้วมองไปด้านหลังพลางเอ่ยว่า ”จือฉี เป่ยกง เจ้าอ้วน พวกเจ้าก็มาทักทายท่านปู่หั่วด้วยสิ”
พวกเว่ยจือฉีทั้งสามคนเดินเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “คารวะท่านปู่หั่ว”
“เป็นผู้มีพรสวรรค์กันหมดเลยจริงๆ เสียด้วยสิ” หั่วเจิ้งซิ่งเอ่ยชม “เหตุใดจึงขาดไปคนหนึ่งเล่า”
“ตอนนี้โอวหยางยังไม่มาน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบ
“เขาแยกจากพวกเจ้าไปเสียแล้วหรือ” มีคนตระกูลหั่วถามขึ้น
“ไม่ใช่ ตอนนี้เขายังจัดการธุระอยู่ที่อาณาจักรทักษิณายาตรน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ระหว่างทางมาที่นี่ก็ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรทักษิณายาตร ราชวงศ์ใช้แซ่โอวหยางพอดี สหายผู้นั้นของพวกเจ้าคือองค์รัชทายาทองค์ก่อนที่เพิ่งกลับมาอย่างนั้นหรือ” หั่วเจิ้งซิ่งนึกขึ้นได้จึงเอ่ยขึ้น
ซือหม่าโยวเย่ว์อยากจะด่าว่ารู้ทั้งรู้ยังมาถามทำไมอีก แต่ปากก็ยังตอบรับอย่างเคารพว่า “ขอรับ”
เธอพูดพลางเหลือบมองซือหม่าโยวหยางปราดหนึ่ง ซึ่งเขาก็เข้าใจความหมายของเธอได้ในทันที จึงเอ่ยว่า “ท่านปู่หั่ว พวกเรากำลังคิดจะไปที่เมืองวิเศษกันอยู่พอดี พวกท่านอยากไปด้วยกันหรือไม่”
“ดีเลย พวกเราก็กำลังคิดจะไปที่นั่นอยู่ ไปพร้อมกันเลยก็ดีนะ” หั่วเจิ้งซิ่งพูด
ที่พวกตนมาก็เพราะอยากจะไปเมืองวิเศษพร้อมกันกับพวกเขา เนื่องจากระยะทางในช่วงหลังไกลกว่าระยะทางในช่วงแรกอยู่พอสมควร นอกจากนี้ยังอันตรายมากกว่าอีกด้วย ตระกูลหั่วและตระกูลซือหม่าก็นับได้ว่าเป็นมิตรต่อกัน จึงอยากร่วมทางไปด้วยกัน
ตระกูลหั่วนำตัวสัตว์อสูรเทพและสัตว์อสูรบินได้ออกมา คนตระกูลซือหม่าจึงขึ้นไปด้วยกัน ออกเดินทางในตอนเช้า ยามพลบค่ำจึงไปถึงเมืองวิเศษ
เมื่อมาถึงเมืองวิเศษแล้วคนตระกูลหั่วและคนตระกูลซือหม่าจึงแยกย้ายกันกลับไปยังจวนของตัวเอง
ท้องฟ้าเหนือเมืองวิเศษไม่อนุญาตให้เหาะเหินเดินอากาศ ดังนั้นทุกคนจึงเรียกสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาออกมา วิ่งอย่างสุดฝีเท้านานครึ่งชั่วยามจึงมาถึงจวนตระกูลซือหม่า
“คุณชายและคุณหนูทุกท่าน ในที่สุดพวกท่านก็มาถึงกันเสียที” พ่อบ้านของจวนตระกูลซือหม่าเห็นพวกซือหม่าโยวหยางจึงเข้าไปทำความเคารพ “ได้ยินว่าพวกท่านพักอยู่นอกหมู่บ้านภาพมังกรมาตลอดหลายวันนี้ มิได้เกิดเรื่องอันใดใช่หรือไม่”
“ท่านอาเหริน พวกเราไม่เป็นไร” นี่คือพ่อบ้านที่ตระกูลซือหม่าจัดหามา พวกซือหม่าโยวหยางจึงรู้จักเขากันหมดแล้ว
“ห้องหับจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ทุกท่านพักผ่อนก่อนเถิดนะ พรุ่งนี้ค่อยไปเที่ยวเล่นในเมืองกันก็ได้ อีกสองวันพวกนายท่านก็จะมากันแล้ว” ซือหม่าเหรินพูด
“ได้เลย รบกวนท่านอาเหรินด้วย” ซือหม่าโยวหยางพูด หลังจากนั้นจึงพูดกับสมาชิกตระกูลซือหม่าว่า “คืนนี้ทุกคนพักผ่อนกันก่อน พรุ่งนี้หากอยากออกไปเที่ยวเล่นก็ไปด้วยกันได้”
“ท่านอาเหริน เหตุใดคนที่อายุต่ำกว่ายี่สิบปีจึงมิอาจเข้ามาในเมืองวิเศษได้เล่า” มีสมาชิกตระกูลซือหม่าถามขึ้น
ก็เพราะเหตุผลนี้เอง พวกเขาจึงไม่เคยมาที่นี่กันเลย ส่วนพวกที่อายุครบยี่สิบปีแล้วก็ไม่มีเวลา จึงยังไม่มีโอกาสมาที่นี่
“นี่คือกฎที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ครั้งอดีต พวกเราเองก็ไม่ทราบเหตุผลเช่นกัน” ท่านอาเหรินนำทางไปพร้อมพูดกับพวกเขา
“หากผู้คนภายนอกอายุไม่ถึงยี่สิบปีก็จะเข้ามาไม่ได้ แล้วพวกที่เติบใหญ่อยู่ที่นี่มาแต่เดิมเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างใคร่รู้
“แหะๆ เรื่องนี้พวกเราก็ไม่ทราบเช่นกัน” ท่านอาเหรินอมยิ้มพูด
“หรือจะมีการกีดกันช่วงวัยด้วย!” เจ้าอ้วนชวีพึมพำ
พวกเขาพักผ่อนอยู่ที่ตระกูลซือหม่าหนึ่งคืน วันรุ่งขึ้นทุกคนจึงทยอยกันออกไป แม้กระทั่งสี่พี่น้องซือหม่าโยวหมิงก็ยังมาหาซือหม่าโยวเย่ว์กันแต่เช้า แล้วพาเธอกับพวกเจ้าอ้วนชวีออกไปด้วยกัน
เมืองวิเศษและเมืองอื่นๆ ก็ดูมิได้แตกต่างกันมากนัก แบ่งออกเป็นเขตเหนือใต้ออกตกและเขตกลาง พื้นที่เขตกลางเป็นถนนแห่งการค้าขาย ส่วนอีกสี่อาณาเขตนั้นเป็นพื้นที่พักอาศัย ซึ่งแต่ละตระกูลนั้นล้วนมีประวัติความเป็นมาและการพัฒนาอยู่ที่นี่ด้วย
มีเพียงแค่สมาคมต่างๆ อย่างสมาพันธ์นักหลอมยาแห่งดินแดน หรือสมาพันธ์นักหลอมวัตถุแห่งดินแดน และตำหนักผู้วิเศษเท่านั้นจึงจะตั้งอยู่ในเขตศูนย์กลางได้
“ที่นี่ช่างใหญ่โตเสียจริง!” พวกซือหม่าโยวเย่ว์นั่งอยู่บนรถเทียมสัตว์อสูรที่ซือหม่าเหรินเตรียมเอาไว้ กำลังขับผ่านบริเวณศูนย์กลางเมือง
“ได้ยินมาว่าเมืองวิเศษมีการค้าขายสิ่งล้ำค่ามากมาย ผู้คนไม่น้อยได้พวกวัตถุวิญญาณต่างๆ มาจากเทือกเขาหมื่นอสูร หรือสิ่งของบางอย่างที่มิอาจปรากฏสู่โลกภายนอกได้ ล้วนนำมาขายที่นี่ได้ทั้งสิ้น” ซือหม่าโยวหรานเล่าเรื่องที่ตนได้ยินมาให้ฟัง
“หา… เพราะเหตุใดกันเล่า” เจ้าอ้วนชวีเบิกตาโพลง “เช่นนั้นที่นี่ก็มิได้เท่ากับเป็นสวรรค์ของบรรดาโจรขโมยเลยหรือ ของที่ชิงมาได้จากข้างนอก ก็นำมาขายที่นี่ได้หมดเลยน่ะสิ”