สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 310 สหายเก่าคนหนึ่ง
“พวกเราน่ะหรือ ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ แค่เที่ยวเล่นไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น งานประลองใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว มีคนมามากมายเหลือเกิน ในเมืองคึกคักเป็นอย่างยิ่งเลยทีเดียว”
“เจ้าพวกแล้งน้ำใจ ข้าพักฟื้นอยู่ที่นี่ แต่พวกเจ้ากลับเที่ยวเล่นไปทั่วนี่นะ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตำหนิ
เป่ยกงถังหัวเราะ รู้ว่าเธอแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น มิได้เก็บไปใส่ใจ
“ใช่แล้ว ได้ยินว่าพรุ่งนี้โอวหยางก็จะมาถึงแล้วนะ”
“จริงหรือ งานประลองนั่นมิได้จะเริ่มต้นขึ้นแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ยังเหลืออีกสามวัน คาดว่าเจ้าคงจะพลาดมันแล้วล่ะ” เป่ยกงถังพูด
“ไม่มีทาง” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างมั่นใจในตัวเอง
เธอย่อมรู้จักร่างกายของตัวเองดี ถึงแม้ว่าคราวนี้จะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ด้วยการฟื้นฟูตัวเองตามธรรมชาติของกายมารเทพ บวกกับยาวิเศษและน้ำทิพย์วิญญาณ อาการบาดเจ็บของเธอจึงฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว จนตอนนี้เกือบจะหายดีแล้ว เพียงแต่เพื่อร่างกายแล้ว เธอจึงอยากจะพักฟื้นอีกสักสองวัน
“ใช่แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าไก่ฟ้านั่นพาสายรุ้งไปไหน ตั้งแต่ข้าฟื้นขึ้นมาก็ไม่เห็นเจ้านั่นเลย”
“ข้าได้ยินเขาบอกกับท่านอาจารย์ของเจ้าว่าเขาจะพาสายรุ้งกลับตระกูลน่ะ” เป่ยกงถังพูด “แต่ไปไหนนั้นข้าก็ไม่รู้เช่นกัน”
“กลับตระกูลหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์งงงัน “ตระกูลของสายรุ้งอยู่ที่ไหนกัน เนิ่นนานถึงเพียงนี้จึงยังไม่กลับมาอีก”
“ดินแดนอี้หลินไม่มีตระกูลวิหคเพลิง ดังนั้นข้าจึงคิดว่าน่าจะไปที่โลกเบื้องบนกระมัง” เป่ยกงถังคาดเดา “ตอนที่ข้าอยู่บนนั้นเคยได้ยินว่ามีสถานที่หนึ่งที่มีตระกูลวิหคเพลิงอยู่”
“ไปยังเบื้องบนแล้วหรือ…” ซือหม่าโยวเย่ว์กัดน่องไก่อย่างรุนแรงคำหนึ่ง แต่ละคนแห่ไปเบื้องบนกันหมด งามหน้าจริงๆ เลย!
ตกเย็นวันรุ่งขึ้น คนผู้หนึ่งมายังตระกูลซือหม่า เป็นถึงท่านอ๋องแห่งอาณาจักรทักษิณายาตรและสหายรักของซือหม่าโยวเย่ว์ โอวหยางเฟยจึงถูกพาตัวตรงไปยังลานบ้านของซือหม่าโยวเย่ว์
ซือหม่าโยวเย่ว์ที่นอนอยู่บนเตียงเห็นโอวหยางเฟยแล้วยังคงทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ทำให้โอวหยางเฟยอดขมวดคิ้วมิได้
“บาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“บาดเจ็บไม่มากนักหรอก แต่ข้าอยากออกไปแล้วพวกเขาไม่ยอม ทว่าตัวเองกลับวิ่งไปโน่นมานี่ มีเพียงเจ้าที่ดีหน่อย มาถึงแล้วก็มาหาข้าเลย!” ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวลงจากเตียงแล้วไปยังโถงรับแขกด้านนอกกับโอวหยางเฟย
“ท่านอ๋องโอวหยาง เป็นท่านอ๋องแล้วรู้สึกเช่นไรบ้างหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางรินน้ำชาให้เขา
เมื่อเห็นเธอใช้เปลวเพลิงต้มน้ำ โอวหยางเฟยจึงเอ่ยว่า “มิได้บอกว่าเจ้าใช้ปราณวิญญาณไม่ได้หรอกหรือ”
“ใช้ได้ตั้งนานแล้วล่ะ เพียงแต่ว่าตอนนี้ใช้ให้น้อยหน่อยจะดีกว่า แต่ต้มน้ำชาสักถ้วยแค่นี้ข้าทำได้ไม่มีปัญหาหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“เจ้านี่ อยู่ไม่สุขเช่นนี้ตลอดเลย!” โอวหยางเฟยมองซือหม่าโยวเย่ว์อย่างจนใจ “พอข้ามาถึงก็ได้ยินเรื่องของเจ้าเลย ทั้งยังได้ยินว่าตระกูลหลี่ร่วมมือกับตระกูลน่าหลานจะลงมือกับเจ้าด้วย”
“เป็นดังที่คาดเอาไว้เลย” ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้แปลกใจแต่อย่างใด ว่ากันว่าสองตระกูลนี้เป็นสหายเก่าแก่กันอยู่แล้ว
“นอกจากนี้ข้ายังเห็นคนผู้หนึ่งด้วย คนผู้นี้จะต้องทำให้เจ้าตกใจอย่างแน่นอน” โอวหยางเฟยพูด
“ใครกัน”
“น่าหลานหลาน”
“น่าหลานหลานหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองโอวหยางเฟยอย่างประหลาดใจแล้วถามว่า “นางมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นนาง”
“แน่ใจสิ” โอวหยางเฟยพยักหน้าอย่างมั่นใจ “เพราะขอบเขตของอาณาจักรทักษิณายาตรอยู่ไม่ไกลจากตระกูลน่าหลาน ข้าเห็นนางบนเส้นทางที่มาที่นี่ในวันนี้ รู้สึกว่าเหมือนมาก จึงส่งคนไปตรวจสอบดู เจ้าเดาสิว่าผลเป็นเช่นไร”
“เป็นเช่นไรหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กลอกตาใส่เขา พอเจ้าคนผู้นี้แก้ปมปัญหาในใจไปเรียบร้อยก็มิได้เย่อหยิ่งเย็นชาดังเช่นก่อนหน้านี้แล้ว จนถึงกับเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้
“คนผู้นั้นคือน่าหลานหลานจริงๆ นางออกมาจากอาณาจักรตงเฉิน ดังนั้นข้าจึงคิดว่าต้องเป็นน่าหลานหลานผู้นั้นอย่างแน่นอนเลย” โอวหยางเฟยพูด
“นางมิได้อยู่ที่อาณาจักรตงเฉินหรอกหรือ แล้วมาถึงที่นี่ได้อย่างไรกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่เข้าใจ
“ได้ยินว่าตอนที่คนของตระกูลน่าหลานไปยังอาณาจักรตงเฉิน ได้พบกับนางเข้าโดยบังเอิญ บอกว่านางมีกายภาพพิเศษ จึงได้พากลับอาณาจักรอู๋กลางด้วย แล้วยังบอกว่ากระตุ้นร่างกายของนางเสร็จเรียบร้อยแล้วด้วย ตอนนี้พลังยุทธ์พุ่งทะยานเลยทีเดียวล่ะ” โอวหยางเฟยพูด
“นางถูกพาตัวมาตั้งแต่เมื่อใดกัน” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ได้ยินว่าตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน มาก่อนพวกเราปีหนึ่ง” โอวหยางเฟยเอ่ยตอบ
“ก็แปลว่านางมาถึงที่นี่ตั้งแต่ตอนพวกเรายังอยู่ที่เทือกเขาสั่วเฟยย่าแล้วสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เหตุใดตลอดสองปีนี้จึงไม่เคยได้ยินข่าวคราวของนางเลยเล่า”
“เพราะก่อนหน้านี้นางถูกเก็บซ่อนมาตลอดเลยน่ะสิ เพิ่งปล่อยข่าวออกมาเมื่อไม่นานนี้เอง บางทีอาจเป็นเพราะร่างกายของนางถูกกระตุ้นแล้ว ถึงจะปล่อยออกมาได้กระมัง” โอวหยางเฟยคาดเดา
“พรืด…” ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ฟังการอุปมาของโอวหยางเฟยแล้วหัวเราะออกมาในทันที
“ข้าได้ยินมาว่านางเคยลั่นวาจาว่าจะเอาชนะเจ้าให้ได้ เดิมทีคิดว่านางจะมาต่อสู้กับเจ้าในการประลองคราวนี้ แต่ปรากฏว่าเจ้าไม่เข้าร่วมเสียอย่างนั้น” โอวหยางเฟยพูด “ถ้าหากเจ้าเข้าร่วม การประลองคราวนี้จะเป็นบันไดก้าวสำคัญของเจ้าในการสร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือทั่วดินแดนเลยล่ะ”
“ข้าเป็นเพียงลูกเลี้ยงของตระกูลซือหม่าเท่านั้น การเข้าร่วมการประลองเหล่านี้ไม่เหมาะสมนักหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “นอกจากนี้ข้ายังไม่สนใจจะสร้างชื่อเสียงให้เลื่องลือทั่วดินแดนเลยสักนิด ขี้เกียจไปเป็นลิงเป็นค่างให้คนเฝ้ามองน่ะ”
โอวหยางเฟยหัวเราะ เขาเข้าใจอุปนิสัยของเธอดี คำตอบเช่นนี้มิได้อยู่เหนือความคาดหมายเลย
เมื่อนึกถึงคำพูดของพวกอูหลิงอวี่ เธอจึงเอ่ยต่อไปว่า “โลกใบนี้กว้างใหญ่นัก กว้างใหญ่กว่าที่พวกเราจินตนาการเอาไว้อย่างมหาศาล พวกเราเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เหมือนกับเสี้ยวเดียวของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้นเอง”
“โลกกว้างใหญ่ก็จริง แต่พวกเรายังอ่อนวัยกันอยู่ ในภายภาคหน้าจะต้องมีโอกาสได้ออกไปเปิดหูเปิดตาแน่นอน” โอวหยางเฟยพูด
“อื้ม”
“ในเมื่อเจ้าไม่เป็นไร ข้าขอตัวกลับก่อนดีกว่า พวกท่านแม่กำลังรอให้ข้ากลับไปจัดการเรื่องต่างๆ อยู่” โอวหยางเฟยพูด “พวกเจ้ามีเรื่องอะไรค่อยไปหาข้าก็ได้นะ”
“ได้”
เขาเพิ่งมาวันนี้ จะต้องมีธุระมากมายอย่างแน่นอน พอรู้ว่าเธอได้รับบาดเจ็บก็รีบมาหาเธอในทันที แค่นี้เธอก็ดีใจมากแล้ว
สองวันให้หลัง งานประลองได้เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ เฉลิมฉลองไปทั่วทั้งเมือง เพียงแค่งานฉลองก็ใช้เวลาไปหนึ่งวันแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์รอจนงานฉลองจบแล้วจึงออกไป ระหว่างทางก็พบกับพวกลู่หมิงสี่พี่น้อง แล้วพาพวกเขาไปชมการแสดงต่างๆ ด้วยกัน
ก่อนหน้านี้เธอคิดมาตลอดว่างานประลองก็คือการประลองจัดอันดับขุมอำนาจต่างๆ มาถึงตอนนี้เธอจึงได้รู้ว่านี่เป็นเพียงแค่ส่วนเดียวของงานประลองเท่านั้น หากจะพูดให้ถูกต้อง งานประลองจะจัดขึ้นทุกห้าปี ส่วนการจัดอันดับขุมอำนาจนั้นจะจัดขึ้นเพียงครั้งเดียวในรอบยี่สิบปีเท่านั้น
และอันที่จริงแล้วงานประลองเหล่านั้นก็คือการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญทุกแขนงในดินแดนให้มาทำการประลองกันสักครั้งเท่านั้นเอง
เมื่องานเฉลิมฉลองสิ้นสุดลง เจ้าตำหนักวิเศษจึงได้กล่าวกำหนดการในครั้งนี้ ที่เริ่มขึ้นก่อนเป็นอย่างแรกก็คือการประลองจัดอันดับขุมอำนาจ หลังจากนั้นจึงจะเป็นการประลองของผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ
จำนวนผู้เข้าร่วมการประลองของแต่ละตระกูลได้รับการประกาศ โดยมิได้กล่าวถึงใครอย่างเฉพาะเจาะจง แล้วจัดจำนวนรอบการประลองตามนี้
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่มีความสนใจในสิ่งเหล่านี้ จึงได้ไปจากจัตุรัสตามลำพังก่อนที่การประกาศจะสิ้นสุดลง
พอเดินไปถึงข้างนอก เธอก็ได้พบกับเงาร่างอันคุ้นเคย ทั้งสองคนต่างพากันสะดุ้ง
“ไม่พบกันนานเลยนะ” น่าหลานหลานทักทายก่อน ถึงแม้ว่านางจะยิ้มอยู่ แต่รอยยิ้มกลับมิได้แผ่ไปถึงดวงตาเลย ที่นั่นเต็มไปด้วยรังสีอันเยียบเย็น
ซือหม่าโยวเย่ว์ก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกันที่นี่ เหตุใดจึงมีเจ้าเพียงคนเดียวล่ะ มู่หรงอานของเจ้าเล่า”