สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 44 การจากลาและจูบแรก
ตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์อาบน้ำกลับมาก็เห็นท่าทางที่อูหลิงอวี่เอนพิงต้นไม้พลางยกมุมปากยิ้มน้อยๆ
“เจ้าอาบเสร็จแล้วหรือ” แสงสว่างเบื้องหน้าถูกเงาร่างบังเอาไว้ อูหลิงอวี่จึงลืมตาขึ้นเอ่ยถาม
“อืม” ซือหม่าโยวเย่ว์เอ่ยตอบเบาๆ แล้วพูดว่า “ท่านคงมิได้แอบดูกระมัง”
“เจ้ามีอะไรน่าดูกันเล่า” อูหลิงอวี่พูด
“หึๆ” เธอออกจะหุ่นดีมิใช่หรือ แต่ก็แค่ไม่ได้เผยออกมาเท่านั้นเอง
“แล้วตอนนี้จะทำอะไรต่อ” อูหลิงอวี่ถาม
“หิวแล้ว หาอะไรกินดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
อูหลิงอวี่เบ้ปากเล็กน้อย กินอีกแล้วหรือ
ซือหม่าโยวเย่ว์ไม่ได้สนใจการตอบสนองของเขาแล้วมาที่ริมฝั่ง ก่อนจะหยิบเอางูที่เพิ่งฆ่าไปออกมาแล้วใช้กริชตัดแบ่งเป็นส่วนๆ หลังจากนั้นก็เก็บส่วนที่เหลือเข้าไป เหลือเอาไว้ส่วนหนึ่งแล้วใช้น้ำในแม่น้ำล้างจนสะอาด
“เจ้าคิดจะกินสิ่งนี้อย่างนั้นหรือ” อูหลิงอวี่เดินเข้ามาก็เห็นซือหม่าโยวเย่ว์กำลังง่วนอยู่กับเนื้องูจึงขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นปม
ซือหม่าโยวเย่ว์เหลือบมองเขาปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “ถ้าท่านไม่ชอบ จะไม่กินก็ได้นะ ถึงอย่างไรแม้ท่านจะไม่กินอะไรเลยก็ไม่มีทางรู้สึกหิวอยู่แล้วนี่”
อูหลิงอวี่ถูกเธอสกัดเช่นนี้จึงได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่เอ่ยคำพูดอีก
ซือหม่าโยวเย่ว์ล้างเนื้องูจนสะอาดแล้วหยิบหม้อใบหนึ่งออกมา ก่อนจะใส่เครื่องปรุงรสต่างๆ ลงไป แล้ววางน้ำแกงเนื้องูลงบนกองไฟ หลังจากนั้นเธอก็นำส่วนที่เหลือมาเสียบแท่งเหล็กย่าง
เพียงครู่เดียวกลิ่นหอมของเนื้อย่างก็โชยมา เธอจึงค่อยโรยเครื่องปรุงรสที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้วลงไปบนนั้นก่อนจะย่างต่อไปอีกครู่หนึ่งแล้ววางลงในจานด้านข้าง
พอเธอย่างเนื้องูทั้งหมดเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยจัดจานวางลงบนโต๊ะ
“ท่านจะกินไหม” ดีร้ายอย่างไรตอนนี้เขาก็เป็นนายจ้าง เธอจึงถามสักหน่อยพอเป็นพิธี
อูหลิงอวี่ดูเหมือนจะมีความลำบากใจกับเนื้องูอยู่บ้าง แม้จะลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่เขาก็ยังมาตรงหน้าโต๊ะแล้วหยิบเอาเนื้องูย่างขึ้นมากิน
เมื่อกินเนื้องูย่างไป น้ำแกงงูก็เริ่มเคี่ยวจนได้ที่แล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์จึงตักน้ำแกงสองชามให้กับทั้งสองคน รสชาติสดอร่อยทำให้อูหลิงอวี่ทำลายกฎของการไม่กินเนื้องูอีกครั้ง
“ดูเหมือนเจ้าจะทำอาหารเก่งใช้ได้เลยทีเดียวนะ” อูหลิงอวี่กินน้ำแกงในชามจนหมดแล้วจึงถามขึ้น
“ท่านก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ข้าไม่อาจบำเพ็ญได้” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ดังนั้นข้าก็เลยได้แต่กินข้าวมาโดยตลอด หลังจากนั้นก็เลยทำอาหารได้น่ะ”
“จวนแม่ทัพไม่มีพ่อครัวหรอกหรือ”
“พ่อครัวทั่วไปทำอาหารได้อร่อยเท่าข้าอย่างนั้นหรือ”
“…ก็ไม่”
“เช่นนั้นก็ไม่ต้องมี นอกจากนี้ข้ายังชื่นชอบเวลาได้ลงมือทำแต่ละขั้นตอนเป็นอย่างมากอีกด้วย”
กินข้าวหมดแล้วเธอก็เก็บข้าวของขึ้นมาแล้วเสาะหาสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่ตามลำพังในภูเขาเพื่อทำการฝึกฝนต่อไป
ตอนกลางคืนพวกเขาก็ไม่ได้กลับไปยังถ้ำภูเขาในแก่งหิน แต่หาถ้ำภูเขาแห่งหนึ่งในบริเวณรอบนอกพักผ่อนแทน ถึงอย่างไรที่เธอกลับไปเมื่อวานนี้ก็เป็นเพราะอูหลิงอวี่อยู่ที่นั่น วันนี้เขามากับตนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องกลับไปอีก
ในระยะเวลาครึ่งเดือนให้หลัง พวกเขาก็มิได้กลับไปที่แก่งหินเลย ซือหม่าโยวเย่ว์ก็แทบจะใช้เวลาท่ามกลางการต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษอยู่ตลอดเวลา ส่วนอูหลิงอวี่ก็ร่วมกับเธอด้วยเป็นบางครั้ง หรือบางทีก็กักตัวเองเพื่อฝึกฝนอยู่ในถ้ำ
ตลอดระยะเวลาครึ่งเดือน ซือหม่าโยวเย่ว์ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังยุทธ์ของอูหลิงอวี่นั้นฟื้นฟูขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีบางเวลาที่กลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอรู้สึกตกใจเลยทีเดียว
แต่ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากมายเพียงใด ขอเพียงแค่ตอนที่เธอกำลังต่อสู้อยู่ ใครก็ห้ามสอดมือเข้ามายุ่ง
แต่ดูคล้ายว่าเจ้าคนผู้นั้นก็ไม่คิดที่จะสอดมือยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว
ครึ่งเดือนให้หลัง กิเลนเพลิงก็กลับมาแล้วหาตัวอูหลิงอวี่ในถ้ำใต้ภูเขาไม่พบ แต่หาตัวพวกเขาพบที่บริเวณรอบนอกผ่านสายสัมพันธ์พันธสัญญา
ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังต่อสู้กับสัตว์อสูรวิเศษตนหนึ่งอยู่ การมาถึงของกิเลนเพลิงทำให้สัตว์อสูรวิเศษตนนั้นหมดสติไปในทันใด
“เย่ว์เย่ว์ นั่นคือสัตว์อสูรจำแลง” เจ้าคำรามน้อยเอ่ยเตือนจากในมณีวิญญาณ
“สัตว์อสูรจำแลงอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์มองกิเลนเพลิงแล้วเอ่ยอย่างตื่นตกใจ
กิเลนเพลิงมองซือหม่าโยวเย่ว์ปราดหนึ่ง ทันใดนั้นเธอก็ถูกแรงกดดันอันไร้รูปร่างของเขากดดันเสียจนหายใจไม่ออกอยู่บ้าง
นั่นคือสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเขาอย่างนั้นหรือ เขาไม่เพียงแต่มีพลังยุทธ์แข็งแกร่งอย่างยิ่งเท่านั้น แต่สัตว์อสูรผูกพันธสัญญาก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ตกลงตัวตนที่แท้จริงของเขาคือใครกัน
“เย่ว์เย่ว์ ข้ารู้แล้วว่าเขาเป็นใคร” เจ้าคำรามน้อยพูด
“เจ้ารู้หรือ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยพบเขามาก่อนอย่างนั้นหรือ แล้วทำไมไม่บอกก่อนตั้งแต่เนิ่นๆ เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์ถามอย่างประหลาดใจ
“ข้าเคยพบเขามาก่อนที่ไหนกันเล่า! ถ้าหากเคยพบข้าก็คงจะนึกขึ้นมาได้ก่อนหน้านี้แล้วล่ะ” เจ้าคำรามน้อยพูด “ข้าจำสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของเขาได้แล้ว”
“สัตว์อสูรจำแลงนั่นน่ะหรือ เจ้ารู้จักด้วยหรือ”
“นับว่าใช่ก็แล้วกัน” เจ้าคำรามน้อยพูด “นั่นคือกิเลนเพลิง”
“กิเลนเพลิงหรือ นั่นมิใช่สัตว์อสูรเทพโบราณที่มีอยู่แค่ในตำนานหรอกหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์นึกขึ้นมาได้ว่าในตำราที่เคยอ่านก่อนหน้านี้พูดถึงสัตว์อสูรเทพโบราณจำนวนหนึ่งเอาไว้ด้วย ชนิดหนึ่งในนั้นก็คือกิเลนเพลิงนั่นเอง
“ก็ใช่น่ะสิ เป็นสัตว์อสูรเทพโบราณเหมือนกันกับข้านี่แหละ” เจ้าคำรามน้อยพูด “นอกจากนี้ตอนนี้บนแผ่นดินยังมีปรากฏตัวขึ้นมาเช่นนั้นอีกตนหนึ่ง คนที่ทำพันธสัญญากับเขาคือผู้วิเศษแห่งตำหนักผู้วิเศษ ตอนนี้กิเลนเพลิงปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว เช่นนั้นอูหลิงอวี่ก็ต้องเป็นผู้วิเศษแห่งตำหนักผู้วิเศษไม่ผิดแน่”
“ตำหนักผู้วิเศษเป็นขุมอำนาจเช่นไรหรือ ฟังดูแล้วเหมือนเป็นสถานที่อันเที่ยงธรรมแห่งหนึ่งเลยทีเดียว” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ตำหนักผู้วิเศษคือขุมอำนาจที่ปกครองโลกแห่งนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ล้วนมีตำหนักย่อยของตำหนักผู้วิเศษอยู่ทั้งสิ้น ประมุขใหญ่แห่งตำหนักผู้วิเศษก็คือจ้าววิเศษ ซึ่งนั่นก็เท่ากับเป็นเทพผู้ปกครองโลกใบนี้นั่นเอง” เจ้าคำรามน้อยพูดอธิบาย
“ก็หมายความว่าตัวตนที่แท้จริงของเจ้าคนผู้นี้สูงส่งอย่างยิ่งเลยอย่างนั้นหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบคางพลางมองดูกิเลนเพลิงและอูหลิงอวี่
“ตำหนักผู้วิเศษปรากฏตัวต่อธารกำนัลด้วยรูปลักษณ์อันน่าศรัทธา ได้ยินว่าผู้วิเศษผู้นี้เป็นบุรุษที่น่าศรัทธาอย่างที่สุด ไม่ว่าจะไปแห่งหนใดล้วนได้รับความเคารพนับถือทั้งสิ้น” เจ้าคำรามน้อยพูด
“น่าศรัทธาหรือ เหตุใดข้าจึงมองไม่ออกเลยเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้าสัมผัสได้แต่กลิ่นอายชั่วร้ายตลอดร่างของเขาเท่านั้น”
ที่อีกด้านหนึ่ง อูหลิงอวี่กำลังพูดคุยอยู่กับกิเลนเพลิง
“เจ้านาย ข้าหาของสิ่งนั้นไม่พบเลย” กิเลนเพลิงพูด “ข้าเสาะหาทั่วทั้งเทือกเขาผู่สั่วแล้วก็ยังสัมผัสกลิ่นอายของมันไม่ได้เลย”
“หรือว่าข้ารับสัมผัสผิดไปเองกันนะ” อูหลิงอวี่พูด
“เจ้านาย ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรกันดี” กิเลนเพลิงถาม
“ในเมื่อไม่มี ก็ได้แต่กลับขึ้นข้างบนก่อนแล้วล่ะ วันนี้เพิ่งจะได้รับคำสั่งเรียกตัวกลับของท่านเจ้าตำหนัก ให้ทุกคนกลับไปให้หมด” อูหลิงอวี่พูด
“มีเรื่องอันใดหรือไม่”
“ไม่รู้สิ บางทีตาเฒ่าผู้นั้นอาจจะพบผู้ที่สงสัยว่าเป็นหญิงสาวในคำทำนายเข้าอีกแล้วกระมัง” อูหลิงอวี่พูด “พวกเรากลับไปดูกันสักหน่อยก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”
“ได้ขอรับ”
พอทั้งสองสนทนากันเสร็จแล้ว กิเลนเพลิงก็กลับไปยังมิติพันธสัญญา อูหลิงอวี่มองไปทางซือหม่าโยวเย่ว์แล้วส่งสัญญาณไปทางเธอ
ซือหม่าโยวเย่ว์เข้ามาตรงหน้าอูหลิงอวี่ด้วยความคิดตามคติที่ว่านายจ้างเป็นใหญ่
“พวกเราจะไปแล้วนะ” อูหลิงอวี่พูดอย่างตรงไปตรงมา
“สิ้นสุดแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์กะพริบตาแล้วมองอูหลิงอวี่อย่างตื่นเต้น
อูหลิงอวี่มองดูท่าทางตื่นเต้นของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก นางไม่อยากอยู่ร่วมกับตนมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ
“เจ้าดีใจมากอย่างนั้นหรือ”
“ก็ใช่น่ะสิ! ถึงแม้ว่าการฝึกฝนอยู่ที่นี่จะให้ผลลัพธ์อันยอดเยี่ยม แต่ข้ายังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ อ๊ะ…” ซือหม่าโยวเย่ว์ยังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดหนึ่งเสียแล้ว
“มีเรื่องอันใดที่สำคัญกว่าการอยู่เป็นเพื่อนข้าอีกหรือ” อูหลิงอวี่มองซือหม่าโยวเย่ว์ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย นัยน์ตามีเพลิงโทสะวูบไหว
“ท่านเป็นบ้าอะไรขึ้นมา” ซือหม่าโยวเย่ว์มองอูหลิงอวี่ที่ไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงขึ้นมาอย่างฉับพลัน สองมือผลักบนหน้าอกเขา “ปล่อยข้านะ!”
“เป็นบ้าอย่างนั้นหรือ บางทีข้าอาจจะเป็นบ้าจริงๆ ก็ได้นะ”
อูหลิงอวี่พูดจบแล้วก็ออกแรงรวบแขนของซือหม่าโยวเย่ว์เอาไว้แล้วโอบตัวนางเข้ามา จากนั้นเขาก็โน้มตัวลงจุมพิตบนริมฝีปากนางท่ามกลางสายตาตื่นตระหนกสุดขีดของนาง…
………………………
Related