สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 80 ทำลายแผนการใหญ่
“นี่ คราวนี้พวกเราจับตัวสัตว์อสูรวิเศษมาได้มากแค่ไหนแล้วหรือ” บุรุษเคราดกยาวถึงช่วงเอวหนาคนหนึ่งเดินออกมาจากกระโจมพลางถามคนสองคนที่นั่งอยู่ตรงกลางค่ายพักแรม
“หัวหน้า พวกเราจับสัตว์อสูรวิเศษได้เกือบยี่สิบตนแล้วขอรับ สองตนในนั้นยังเป็นสัตว์อสูรทิพย์พูดได้อีกด้วย!” ชายสองคนยืนขึ้นพูด
“หา มีเกือบยี่สิบตนแล้วหรือ” บุรุษเคราดกหนาผู้นั้นพูดอย่างตื่นเต้น “คราวนี้พวกเราจะรวยกันแล้ว ฮ่าๆๆ!”
“หัวหน้า วิธีการของท่านช่างยอดเยี่ยมเสียจริง คนพวกนั้นพากันไปชิงสิ่งล้ำค่ากันหมด แต่พวกเรากลับคอยดักจับสัตว์อสูรวิเศษกันอยู่ที่นี่”
“สัตว์อสูรวิเศษล้วนถูกสิ่งล้ำค่าดึงดูดไป ส่วนพวกที่ผ่านทางมาล้วนถูกยาล่อหลอกที่พวกเราโปรยเอาไว้ทำให้สูญเสียพลังการต่อสู้ไปแล้วถูกพวกเราจับกุมเอาไว้ได้ ถ้าหากขายสัตว์อสูรวิเศษพวกนี้ให้กับบรรดาร้านค้าเหล่านั้น คราวนี้พวกเราต้องรวยเละแน่!”
สองคนนั้นถามหาความดีความชอบจากหัวหน้าของตน ทว่าหัวหน้าผู้นั้นกลับถลึงตาใส่พวกเขาแล้วพูดว่า “ขายให้กับบรรดาร้านค้าเหล่านั้นอะไรกัน ช่างโง่เง่านัก พวกเราจะขายพวกมันให้กับสมาคมนักฝึกสัตว์อสูรต่างหากเล่า!”
“หา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรอย่างนั้นหรือ”
“เฮอะ เจ้าพวกโง่ดักดานทั้งสอง! ข้าคุยกับปรมาจารย์เก๋อเรียบร้อยแล้ว หากพวกเราขายสัตว์อสูรวิเศษให้กับพวกเขา สมาคมนักฝึกสัตว์อสูรก็จะฝึกสัตว์อสูรวิเศษห้าตนให้กับพวกเราโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย” บุรุษเคราดกหนาพูด
“จริงหรือ โอ้ สัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกให้เชื่องแล้วห้าตนเชียวนะ!” สองคนนั้นร้องอย่างตื่นเต้นขึ้นมา
“เจ้าสองคนเบาเสียงลงหน่อยสิ ถ้าหากผู้อื่นล่วงรู้เข้า ระวังข้าจะทำให้ขาพวกเจ้าพิการเสีย!” บุรุษเคราดกหนาพูดเสียงดุ
“หึๆ ขอเพียงแค่มีสัตว์อสูรวิเศษที่ฝึกจนเชื่องก็ทำพันธสัญญาได้แล้ว ความตื่นเต้นของพวกเขานั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ” บุรุษวัยกลางคนในอาภรณ์เขียวผู้หนึ่งออกมาจากกระโจมแล้วพูดยิ้มๆ
“ปรมาจารย์มู่ ท่านออกมาทำไมหรือขอรับ” บุรุษเคราดกหนามองบุรุษอาภรณ์เขียวพลางเอ่ยขึ้น
“ข้าออกมาดูสัตว์อสูรวิเศษที่เพิ่งจับได้เมื่อครู่สักหน่อยน่ะ” ปรมาจารย์มู่พูด
“สองตนนี้ล้วนเป็นตัวที่เพิ่งจับได้เมื่อครู่ขอรับ” ชายคนหนึ่งยกกรงที่ใส่เจ้าคำรามน้อยและนกน้อยตัวนั้นเข้ามาพลางพูดขึ้น
บุรุษเคราดกหนามองเจ้าคำรามน้อยและเจ้านกน้อยพลางขมวดคิ้วพูดว่า “เหตุใดคราวนี้จึงจับได้เพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษเยี่ยงนี้สองตนเท่านั้นเองเล่า พวกมันใช่สัตว์อสูรวิเศษหรือไม่!”
“หัวหน้าห่าว ท่านอย่าเพิ่งโมโหไป ถึงแม้จะไม่เคยพบเห็นสัตว์อสูรวิเศษสองตนนี้มาก่อน…” ปรมาจารย์มู่พูดพลางเบิกตากว้างมองเจ้านกน้อยแล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นยินดีว่า “นี่คือวิหคสี่ปีกหรือ เป็น… เป็นวิหคสี่ปีกจริงๆ ด้วย!”
ปรมาจารย์มู่เข้ามายังข้างกรงแล้วมองเจ้านกน้อยที่ไร้ชีวิตชีวาภายในกรงอย่างตื่นเต้น คิดจะเอื้อมมือไปสัมผัสมัน แต่ดูคล้ายว่าจะมีความลังเลใจอยู่บ้าง สุดท้ายก็กระโดดโลดเต้นไปรอบกรง
“ปรมาจารย์มู่ เจ้าวิหคสี่ปีกนี่คือสัตว์อสูรวิเศษอะไรกันหรือ” เมื่อเห็นท่าทีของปรมาจารย์มู่ หัวหน้าห่าวกับลูกน้องของเขาต่างก็พากันมองเขาอย่างสงสัย
“อะแฮ่ม” ปรมาจารย์มู่พูดพลางแกล้งวางท่าสงบนิ่ง “ข้าเองก็เคยเห็นวิหคสี่ปีกนี่เพียงแค่ในตำราเท่านั้น มันเป็นเพียงแค่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง เอ๊ะ แล้วเจ้าตัวที่ดูเหมือนกระต่ายนี่มันสัตว์อสูรวิเศษอันใดกัน เหตุใดแม้กระทั่งข้าก็ยังไม่รู้จักเลยเล่า”
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของปรมาจารย์มู่เลย บอกว่าเคยเห็นเพียงแค่ในตำราเท่านั้น แล้วจะเป็นสัตว์อสูรวิเศษธรรมดาทั่วไปได้อย่างไรกัน แต่เขาพูดเช่นนี้พวกเขาก็มิได้พูดอะไร ทว่าหัวหน้าห่าวกลับลอบส่งสายตาว่าเมื่อถึงเวลาขาย จะต้องเรียกราคาเจ้านกน้อยตนนี้ให้สูงหน่อยอย่างแน่นอน
“ปรมาจารย์มู่ ข้าดูแล้วเหมือนจะมิใช่สัตว์อสูรวิเศษแต่อย่างใด คงเป็นกระต่ายตัวหนึ่งนั่นแหละ” ลูกน้องคนหนึ่งพูด
“ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนกระต่ายเช่นกัน” มีคนพูดอย่างเห็นด้วย
“นี่จะเป็นกระต่ายตนหนึ่งไปได้อย่างไรเล่า!” ปรมาจารย์มู่ส่ายหน้าพูด “สามารถอยู่กับวิหคสี่ปีกได้ ก็จะต้องมิใช่สัตว์อสูรวิเศษธรรมดาๆ อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้มันอยู่ในสภาพร่างจำแลง รอให้ข้าได้เห็นร่างจริงของมันแล้วอาจจะรู้จักก็ได้นะ”
ขณะนี้เอง คนอื่นๆ อีกสิบกว่าคนก็เดินออกมาจากในป่า ทั้งยังพูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง
“หัวหน้า ท่านดูสิ พวกเราจับสัตว์อสูรทิพย์ได้อีกตนหนึ่งแล้วนะ!” ชายหนุ่มวัยเยาว์ผู้หนึ่งยกกรงอันหนึ่งเดินกลับเข้ามา สิ่งที่ถูกขังอยู่ในกรงคือสัตว์อสูรทิพย์เสือดำขั้นหนี่ง
“หัวหน้า ยาที่ท่านมอบให้พวกเราช่างมีประโยชน์เหลือเกิน เมื่อครู่เจ้านี่ยังดุร้ายยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าพอดมยานั่นเข้าไปก็กลายเป็นร่างจำแลงจนมีรูปลักษณ์เช่นนี้ ยอมให้พวกเราจับตัวมาได้”
“ฮ่าๆ ปรมาจารย์มู่ ดูท่าคราวนี้พวกเราจะได้ผลตอบแทนคุ้มค่ายิ่งนัก!” หัวหน้าห่าวหัวเราะเสียงดัง
ดูคล้ายว่าจะจับสัตว์อสูรทิพย์ได้อีกตนแล้ว ปรมาจารย์มู่ยิ้มเสียจนหน้าบานราวกับดอกเบญจมาศแล้วเอ่ยว่า “ไม่เลว ไม่เลวเลยนะ”
“หัวหน้า พวกเราพบเจ้าตัวเล็กนี่เข้าระหว่างทาง” คนเหล่านั้นดันตัวคนผู้หนึ่งขึ้นมาจากด้านหลัง พวกซือหม่าโยวเย่ว์มองดู คนที่ถูกมัดตัวเอาไว้คือคนที่พวกเขารู้จักคุ้นเคย
“ชิงอู๋หยา เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน” เจ้าอ้วนชวีพูด
“ห่าวโหย่วไฉ เจ้าถึงกับละเมิดข้อตกลงระหว่างมนุษย์ ใช้ยาล่าสังหารสัตว์อสูรวิเศษจำนวนมาก!” ชิงอู๋หยาถลึงตาใส่ห่าวโหย่วไฉพลางเอ่ยอย่างเดือดดาล
“อ้าว นี่มิใช่หัวหน้ากลุ่มชิงซานหรอกหรือ เจ้าไม่คอยรับภารกิจกระจอกๆ อยู่ที่เมืองเหยียนล่ะ วิ่งเข้ามาทำอะไรที่พื้นที่ชั้นในนี่เล่า” เห็นได้ชัดว่าห่าวโหย่วไฉรู้จักกับชิงอู๋หยา นอกจากนี้ดูจากน้ำเสียงที่เขาพูดแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทหารรับจ้างทั้งสองกลุ่มดูจะไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่นัก
“สมควรตาย พวกเขาบังอาจทำเช่นนี้กับสัตว์อสูรวิเศษได้!” เว่ยจือฉีได้ยินคำพูดของชิงอู๋หยาแล้วก็โมโหจนแทบจะพุ่งตัวเข้าไปในทันที แต่ถูกซือหม่าโยวเย่ว์ดึงตัวเอาไว้ก่อน
“ตอนนี้พวกเขาอยู่กันเยอะแยะ ทั้งยังมิอาจเรียกตัวสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของพวกเราออกมาได้ในตอนนี้ด้วย ก็ได้แต่อาศัยพวกเรากันเองนี่แหละ จะสู้กับพวกเขาอย่างไรดี นอกจากนี้พลังยุทธ์ของพวกเขาก็ยังแข็งแกร่งกว่าพวกเราอยู่มากอีกด้วย!”
“แต่ว่า…”
“จือฉี เจ้าอย่าเพิ่งตื่นตระหนกไปเลยนะ โยวเย่ว์พูดเช่นนี้ จะต้องคิดวิธีแก้ไขได้แน่ เจ้าคำรามน้อยยังอยู่ในเงื้อมมือพวกเขาอยู่นะ” เจ้าอ้วนชวีพูดปลอบประโลม
“จือฉี เหตุใดเจ้าจึงเดือดดาลเช่นนี้เล่า” โอวหยางเฟยมองเว่ยจือฉี ในใจเกิดความสงสัยอยู่ไม่น้อย
ก่อนหน้านี้เห็นเจ้านี่สุภาพอ่อนโยน แต่ตอนนี้กลับเดือดดาลถึงเพียงนี้เสียอย่างนั้น
“ใช่แล้ว จือฉี เหตุใดเจ้าจึงเดือดดาลเช่นนี้เล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“ข้าเป็นนักฝึกสัตว์อสูร สัตว์อสูรวิเศษทุกตัวล้วนเป็นสหายของข้าทั้งสิ้น ใช้ยาล่อหลอกมาล่อลวงดักจับสัตว์อสูรวิเศษ คนเช่นนี้คือศัตรูของทั้งโลกนักฝึกสัตว์อสูร!” เว่ยจือฉีพูด
เขาถูกคนในครอบครัวปลูกฝังความคิดมาตั้งแต่เล็กว่าสัตว์อสูรวิเศษคือเพื่อน มีเพียงคนที่เลี้ยงดูสัตว์อสูรวิเศษเท่านั้นจึงจะสามารถฝึกสัตว์อสูรวิเศษระดับสูงให้เชื่องได้
นอกจากนี้เว่ยจือฉียังสื่อสารกับสัตว์อสูรวิเศษมาตั้งแต่เด็ก จึงเคยชินกับการให้สัตว์อสูรวิเศษเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตตนไปเสียแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินว่าพวกเขาใช้วิธีการเช่นนี้ในการจับสัตว์อสูรวิเศษเกือบยี่สิบตัว เขาจึงเดือดดาลไม่น้อยเลยทีเดียว
“โยวเย่ว์ ตอนนี้พวกเราจะทำเช่นไรกันดี” เป่ยกงถังเอ่ยปากถามอย่างหาได้ยากยิ่ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้นางคุ้นชินกับคนกลุ่มนี้แล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าคำรามน้อยที่อยู่ในกรงแล้วพูดว่า “พวกเขามีจำนวนคนมาก ตอนนี้พวกเรามิใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา ประเด็นหลักในตอนนี้คือต้องหาให้ได้ว่ายาที่พวกเขาใช้คือยาอะไร ในเมื่อนั่นคือยาล่อหลอกชนิดหนึ่งที่ใช้ในอากาศ ยาถอนพิษก็ต้องสามารถแพร่กระจายไปในอากาศได้เช่นเดียวกัน ขอเพียงแค่ถอนพิษยาล่อหลอกได้ ด้วยอุปนิสัยของสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นแล้วก็ต้องมิใช่เรื่องดีสำหรับเจ้าพวกนั้นแน่นอน”
“แต่อยู่ห่างไกลกันถึงเพียงนี้ พวกเราก็คงไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่พวกเขาใช้คือยาอะไร” เจ้าอ้วนชวีพูด
“มีสิ!” เว่ยจือฉีพูด “มีหญ้าชนิดหนึ่งชื่อว่าหญ้าม่วงขม หญ้าชนิดนี้สามารถทำให้สัตว์อสูรวิเศษหงุดหงิดขึ้นมาได้ เพิ่มการไหลเวียนโลหิตของสัตว์อสูรวิเศษ สามารถเรียกได้ว่าเป็นยาถอนพิษของยาล่อหลอก ทั้งหมดทั้งมวล ขอเพียงแค่หาหญ้าม่วงขมมาได้ ไม่ว่าพวกเขาจะใช้ยาล่อหลอกชนิดได้ก็ล้วนได้ผลทั้งสิ้น”
“แต่ตอนนี้จะไปหาหญ้าม่วงขมมาจากไหนกันเล่า” โอวหยางเฟยขมวดคิ้ว
………………