สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 86 ขุดรากถอนโคน
เป่ยกงถังมองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วพูดว่า “เจ้าจะไปเองหรือ”
“เจ้าก็เห็นสถานการณ์เบื้องล่างแล้วนี่ ถ้าหากพวกเราลงไปกันหมด เกรงว่าคงจะไม่พอให้คนกับคมเขี้ยวเล็บของสัตว์อสูรเหล่านี้ขย้ำหรอก” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “ข้ามีวิธีแฝงตัวไปที่นั่น แต่ไร้หนทางพาพวกเจ้าไปด้วย จือฉี โอวหยาง เจ้าอ้วน พวกเจ้าสามคนต้องทำหน้าที่ผู้พิทักษ์บุปผาให้ดี พอโปรยยาผงนี้ลงบนร่างของคนตระกูลน่าหลานเรียบร้อยแล้วให้รีบถอยกลับทันที อีกสองวันให้หลังพวกเราไปพบกันที่เมืองเหยียน”
“พวกเราจะปล่อยเจ้าไปคนเดียวได้อย่างไรกัน!” เป่ยกงถังไม่ยอมรับขวดยามา
“ข้ายังจัดการธุระของตัวเองไม่เสร็จ ย่อมไม่มีทางเอาชีวิตของตัวเองไปเล่นตลกอยู่แล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ยัดขวดยาใส่มือเป่ยกงถังแล้วพูดว่า “เชื่อข้าสิ ข้าจะช่วยเจ้านำผลอสรพิษทองคำกลับมาเอง!”
พูดจบแล้วเธอก็รีบพุ่งออกจากพุ่มไม้แล้วมุ่งหน้าวิ่งลงภูเขาไป
“พวกเราก็ไปกันดีกว่า” โอวหยางเฟยพูด “เขามิใช่คนที่จะคุยโวโอ้อวด ในเมื่อเขาบอกว่าเขามีวิธี ย่อมต้องเป็นความจริงแน่นอน บางทีหากพวกเราไปด้วย อาจจะเป็นตัวถ่วงเขาเปล่าๆ นะ”
พวกเว่ยจือฉีและเจ้าอ้วนชวีมิได้ตอบโต้คำพูดของโอวหยางเฟย เพราะสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง พวกเขารู้สึกมาตลอดว่าตนเองเป็นคนที่โดดเด่นในบรรดาคนรุ่นราวคราวเดียวกัน ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีวันที่พวกเขากลายเป็นตัวถ่วงของผู้อื่นไปเสียได้
เป่ยกงถังเห็นซือหม่าโยวเย่ว์วิ่งไปถึงด้านล่างของภูเขา แล้วกระโจนเข้าไปท่ามกลางฝูงสัตว์อสูรวิเศษอย่างไม่เห็นเงา จึงอดเป็นกังวลขึ้นมาในใจมิได้
ความรู้สึกเป็นห่วงผู้อื่นนี้มิได้ปรากฏขึ้นมาเนิ่นนานเท่าใดแล้ว
นางกำขวดหยกในมือแน่น เก็บความกังวลในใจตัวเองเอาไว้แล้วพูดว่า “พวกเจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ ข้าจะไปโปรยสิ่งนี้บนร่างคนตระกูลน่าหลานเอง”
พูดจบแล้วนางก็เตรียมจะจากไป แต่ถูกโอวหยางเฟยขัดขวางเอาไว้
“พวกเราไปด้วยกันเถิด”
เป่ยกงถังมองสายตาแน่วแน่ของโอวหยางเฟยแล้วจึงพยักหน้า
“พวกเราไม่ต้องโปรยสิ่งนี้บนร่างของน่าหลานเหอ บริเวณค่ายพักแรมของตระกูลน่าหลานจะต้องมีคนอยู่เป็นแน่ พวกเราไปโปรยใส่ในกระโจมของพวกเขาแล้วจากไปกันเถิด” เว่ยจือฉีพูด “ตอนนี้ที่นี่อลหม่านวุ่นวายเหลือเกิน รีบจากไปโดยเร็วจะดีกว่า”
“อืม ไปกัน!”
“ช้าก่อน” เจ้าอ้วนชวีหยุดทุกคนเอาไว้ ก่อนจะหยิบหน้ากากสี่อันออกมาจากภายในแหวนเก็บวัตถุยื่นส่งให้กับทุกคนแล้วเอ่ยว่า “เพื่อปกปิดตัวตน พวกเราสวมหน้ากากเอาไว้ดีกว่านะ”
“เจ้าอ้วน เจ้ามีหน้ากากได้อย่างไรกัน” เว่ยจือฉีถาม
“โยวเย่ว์ให้ข้าไว้น่ะสิ” เจ้าอ้วนชวีสวมหน้ากากแล้วออกเดินนำไป
พวกโอวหยางเฟยทั้งสามคนมองหน้ากากในมือโดยไม่เอ่ยวาจา ซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นี้เตรียมหน้ากากเอาไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมทำเรื่องชั่วหรือไร
“พวกเราก็ไปกันเถิด”
ทั้งสามคนสวมหน้ากากแล้วเดินตามเจ้าอ้วนชวีมุ่งหน้าไปยังกระโจมตระกูลน่าหลาน
เพราะไม่รู้ว่าภายในค่ายพักแรมยังมีคนอยู่มากน้อยเพียงใด พอพวกเป่ยกงถังโปรยผงยาทั่วกระโจมเสร็จจึงรีบออกมาโดยมิได้เห็นว่าที่แท้แล้วภายในกระโจมมีใครอยู่กันแน่
น่าหลานหลานที่อยู่นอกกระโจมมองดูเหตุการณ์เบื้องล่างอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ตกใจจนหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ วิ่งโซซัดโซเซกลับมายังกระโจม นางที่มีความหวาดกลัวเอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจมิได้สังเกตว่าภายในกระโจมมีกลิ่นหอมจางๆ สายหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
พอพวกเว่ยจือฉีลงมือเรียบร้อยแล้วก็เริ่มวิ่งมุ่งหน้าไปยังอีกฟากหนึ่งของภูเขา วิ่งมาได้ไม่ไกลสักเท่าใดก็เห็นย่ากวงกำลังรอพวกเขาอยู่ข้างหน้า
“เจ้านายบอกให้ข้ามาพาพวกท่านกลับไป” ย่ากวงปรากฏกายขึ้นแล้วพูดกับพวกเว่ยจือฉี
ตอนนี้บริเวณรอบนอกก็มีความวุ่นวายอยู่เช่นกัน ถ้าหากเผชิญกับสัตว์อสูรวิเศษที่คลุ้มคลั่ง ย่ากวงที่มีพลังระดับสัตว์อสูรทิพย์ก็ยังแข็งแกร่งกว่าอยู่เล็กน้อย
พวกเว่ยจือฉีก็ปีนขึ้นหลังของย่ากวงโดยไม่อิดออด ให้มันแบกพวกเขาวิ่งมุ่งหน้าออกไปยังพื้นที่รอบนอก
เป่ยกงถังนั่งอยู่คนท้ายสุด นางหันหน้ากลับไปมองหุบเขาที่เอิบอาบไปด้วยประกายการต่อสู้จนสว่างวาบแล้วหรี่ตาลง
ขณะที่ซือหม่าโยวเย่ว์ออกมาจากก้อนหินใหญ่ก็หยิบเอาหน้ากากอันหนึ่งขึ้นมาสวม หลังจากนั้นก็วิ่งมุ่งหน้าลงเขาไป
ในขณะที่เธอเข้าไปท่ามกลางฝูงสัตว์อสูร กลิ่นอายบนร่างเธอก็แปรเปลี่ยนไปในทันใด กลิ่นอายตลอดร่างคล้ายกับหายวับไปเฉยๆ ถึงแม้ว่าจะเดินเฉียดผ่านข้างกายคนและสัตว์อสูรวิเศษเหล่านั้นก็มิได้ดึงดูดความสนใจของพวกเขาเลย ดังนั้นเธอจึงผ่านฝูงสัตว์อสูรไปได้อย่างรวดเร็วจนมาถึงด้านล่างของหน้าผา เธอกระโจนครั้งหนึ่งก็เหินลอยมาถึงข้างๆ ต้นผลอสรพิษทองคำแล้ว
“โอ้… คิดไม่ถึงว่าพอมีท่านแล้วข้าจะได้สัมผัสความรู้สึกของการโบยบินกับเขาด้วย” หลังจากซือหม่าโยวเย่ว์ร่อนลงกับพื้นแล้วจึงรำพึงกับหมัวซา
หมัวซาไม่ได้ตอบเธอแต่กลับพูดว่า “ตอนที่เจ้าสัมผัสผลอสรพิษทองคำ พลังที่ข้าใส่ไว้บนตัวเจ้าก็จะหายไป ถึงเวลานั้นเจ้าก็ได้แต่อาศัยตัวเจ้าเองในการชิงผลอสรพิษทองคำลงมาแล้วนะ นอกจากนี้ยังต้องรวดเร็วด้วย ถ้าหากถูกคนหรือสัตว์อสูรวิเศษเบื้องล่างค้นพบเข้า ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คงไม่ต้องให้ข้าพูดแล้วล่ะนะ”
“ข้าเข้าใจ” ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้า
ยอดฝีมือทั้งมนุษย์และสัตว์อสูรวิเศษที่อยู่เบื้องล่างมากมายถึงเพียงนั้น ถ้าหากอาศัยจังหวะลงมือตอนที่ตนเด็ดผลอสรพิษทองคำ หากตนไม่ตายก็ต้องเฉียดประตูนรกแน่นอน
“หากเตรียมตัวเรียบร้อยแล้ว ข้าจะดึงพลังกลับมาล่ะนะ” หมัวซาพูดจบ ซือหม่าโยวเย่ว์ก็รู้สึกว่าพลังที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายตนเมื่อครู่ขุมนั้นหายไป ความรู้สึกเบาสบายเช่นนั้นก็หายไปด้วยเช่นเดียวกัน
เธอหยิบพลั่วที่ยามปกติใช้ขุดวัชพืชภายในมณีวิญญาณออกมา แล้วย่อตัวลงใต้ต้นผลอสรพิษทองคำก่อนจะเริ่มลงมือขุดอย่างระมัดระวัง
ต้นผลอสรพิษทองคำนี้มีความสูงเพียงห้าสิบกว่าเซนติเมตรเท่านั้น แต่กิ่งก้านด้านล่างนั้นกลับมิได้เล็กไปด้วย เพื่อลดการทำร้ายต้นผลอสรพิษทองคำ เธอจึงพยายามขุดรากทั้งหมดขึ้นมาด้วย ในขณะที่เธอกำลังจะทำเสร็จสิ้นสมบูรณ์นั้นเอง เสียงคำรามอย่างเดือดดาลก็ดังลอยมาจากกลางท้องฟ้า
“โฮก…”
วานรที่กำลังต่อกรอยู่กับซือหม่าเลี่ยรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังแตะต้องผลอสรพิษทองคำ มันที่กำลังครองความได้เปรียบจึงล้มเลิกการตามติดโจมตีซือหม่าเลี่ยแล้วหมุนตัวมุ่งโจมตีไปทางซือหม่าโยวเย่ว์แทน
ซือหม่าเลี่ยต่อกรกับเจ้าวานรไปหลายยกจึงคิดจะจากไป แต่เจ้าวานรกลับไม่ให้โอกาสเขาได้หนี ตอนนี้เมื่อเห็นเจ้าวานรผละจากไป ซือหม่าเลี่ยจึงอาศัยจังหวะใช้วิชาตัวเบาเหาะมายังยอดเขาด้านข้าง หมายจะคอยดูว่าที่แท้แล้วเป็นใครกันแน่ที่หลบหลีกสายตาของผู้คนและสัตว์อสูรวิเศษมากมายถึงเพียงนี้จนมาถึงข้างต้นผลอสรพิษทองคำได้
คนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นเหตุการณ์บนหน้าผาเช่นเดียวกัน จึงพากันมองไปยังต้นผลอสรพิษทองคำ ก็เห็นคนสวมหน้ากากกับเสื้อคลุมตัวใหญ่คนหนึ่งกำลังย่อตัวขุดต้นผลอสรพิษทองคำอยู่ที่นั่น
“นั่นมันใครกันน่ะ”
ทุกคนล้วนนึกไม่ออกเลยว่าหลายวันมานี้มีคนลักษณะเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น แม้จะพินิจดูอย่างละเอียดก็ยังมองตัวตนของเธอไม่ออก
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกได้ว่าเจ้าวานรโจมตีมาทางตน เธอมองเห็นว่ายังมีรากเส้นสุดท้ายอยู่ในดิน จึงกลั้นใจกระชากต้นผลอสรพิษทองคำขึ้นมาแล้วโยนเข้าไปภายในมณีวิญญาณ
ในขณะที่ต้นผลอสรพิษทองคำหายวับไปนั้นเอง พลังของหมัวซาก็พรั่งพรูเข้ามาในร่างกายเธออีกครั้ง ยังไม่ทันเตรียมตัวเสร็จดี เจ้าวานรก็วิ่งเข้ามาเสียแล้ว ได้แต่ทนรับหมัดของมันเอาไว้
“ฟิ้ว…” ซือหม่าโยวเย่ว์ถูกเจ้าวานรชกจนลอยกระเด็น โลหิตสาดกระเซ็นกลางท้องฟ้า ในท้ายที่สุดก็พลิกกายเหาะเหินไปกลางอากาศ
ในขณะนี้เองทุกคนจึงเห็นรูปลักษณ์ของเธอได้อย่างชัดเจน เงาร่างนั้นบอบบางอยู่เล็กน้อย แต่กลับมิอาจบดบังกลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเธอได้เลย
“จ้าว…จ้าววิญญาณหรือ” ซือหม่าเลี่ยพูดอย่างไม่แน่ใจ
“ท่านประมุขตระกูล ดินแดนอี้หลินมีจ้าววิญญาณปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อใดกันขอรับ”
“ไม่ นั่นมิใช่จ้าววิญญาณ กลิ่นอายของเขาเบาบางยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่ามิใช่พลังยุทธ์ที่แท้จริง”
“…”
“เจ้ามนุษย์บังอาจ ถึงกลับกล้ามาช่วงชิงผลอสรพิษทองคำของข้า!” เจ้าวานรเห็นว่าแม้กระทั่งต้นผลอสรพิษทองคำก็ยังถูกขุดขึ้นมาเสียแล้ว จึงเดือดดาลไม่น้อย นอกจากนี้เมื่อครู่ยังรับหมัดของมันเข้าไปเต็มๆ แต่กลับไม่ตาย ทำให้มันทวีความเดือดดาลมากยิ่งขึ้นไปอีก มันดีดตัวขึ้น กำปั้นมหึมาโจมตีเข้าใส่ซือหม่าโยวเย่ว์อีกครั้ง
…………………