สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 88 เกิดเรื่องอีกแล้ว
หมัวซามิได้ปฏิเสธ เพราะเดิมทีที่เขาเต็มใจสอนเธอหลอมยาตั้งแต่แรกก็เพราะมีจุดประสงค์เช่นนี้จริงๆ นั่นแหละ
“ข้ากลับก่อนนะ ข่าวที่คนชิงผลอสรพิษทองคำไปมีวิหคสี่ปีกอยู่ในครอบครองจะต้องแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วแน่นอน เจ้าเก็บตัวในเขาไปก่อนจะเป็นการดีที่สุดแล้วออกไปด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรด้วยพลังยุทธ์ของเจ้าในตอนนี้ คงไม่มีใครสงสัยเจ้าหรอก”
หมัวซาพูดจบก็เข้าไปภายในมณีวิญญาณ แล้วไปอยู่ข้างๆ ต้นผลอสรพิษทองคำ
เจ้าวิญญาณน้อยได้นำต้นผลอสรพิษทองคำลงไปปลูกในกระถางต้นไม้เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะเห็นว่าเพิ่งผ่านการเปลี่ยนดินมาเมื่อครู่ ทว่าผลอสรพิษทองคำกลับไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใดเลย
“ข้าใช้กระถางปลูกมันเป็นพิเศษ” เจ้าวิญญาณน้อยปรากฏตัวขึ้นข้างกายหมัวซาแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้านี่จำเป็นต้องดูดซับแสงจันทร์ในยามราตรีเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังของตัวเอง เช่นนี้จะทำให้นางหยิบยกออกมาได้อย่างสะดวกในภายหน้า”
“อืม เจ้าคิดคำนวณได้รอบคอบดีนะ” หมัวซาพยักหน้า วิญญาณลอยไปนั่งลงใกล้ๆ ต้นผลอสรพิษทองคำ ก่อนจะเริ่มต้นหลับตานั่งสมาธิ
เจ้าวิญญาณน้อยเห็นเช่นนี้จึงหายตัวไปอย่างไร้สุ้มเสียงดังเช่นตอนที่มันมาอย่างเงียบเชียบ
หลังจากที่หมัวซาจากไปแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์ได้ให้เจ้าวิหคน้อยเลือกสถานที่แห่งหนึ่งร่อนลงพื้น หลังจากนั้นจึงเก็บมันเข้าไปไว้ภายในมณีวิญญาณ
หมัวซาพูดไว้ไม่ผิดเลย เรื่องที่เธอขี่วิหคสี่ปีกนั้นแพร่กลับไปถึงเมืองเหยียนอย่างรวดเร็ว ถ้าหากตนยังขี่มันกลับไปอีก เกรงว่าคงนำพาเรื่องยุ่งยากอันไม่จำเป็นมาให้แน่นอน
แต่ถ้าหากเธอปลอมแปลงตัวตน คนระดับปรมาจารย์วิญญาณคนหนึ่งย่อมไม่มีทางดึงดูดความสนใจใครอยู่แล้ว ถึงอย่างไรตอนนี้ก็มาถึงพื้นที่ชั้นกลางแล้ว ไม่เป็นอันตรายมากมายอะไรสำหรับเธอ
เธออุ้มเจ้าคำรามน้อยเอาไว้ในอ้อมแขนก่อนจะเลือกต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง ไม่กี่อึดใจก็ปีนขึ้นไปยังกิ่งก้านสาขาของมันแล้วเลือกกิ่งหนาใหญ่เพื่อนอนพักหนึ่งคืน
ยามที่แสงแห่งอรุณแสงแรกสาดส่องต้องใบหน้า เธอก็ตื่นนอนก่อนจะกระโจนลงมาบนพื้นดินแล้วปรบมือ หลังจากให้เจ้าคำรามน้อยจำแนกทิศทางของพื้นที่รอบนอกแล้วจึงเริ่มออกเดินทาง
หลังจากเดินมาครึ่งวัน เธอก็พบกับบรรดาคนที่กำลังเดินทางออกไปเช่นเดียวกัน ถึงแม้ว่าตอนที่พวกเขาเห็นเธอจะมิได้เชื่อมโยงกับคนที่เห็นเมื่อคืน ทว่ายังคงรู้สึกประหลาดใจที่เธอเดินทางอยู่ในพื้นที่ชั้นกลางเพียงคนเดียวอยู่ดี
ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้ใส่ใจสายตามองประเมินเหล่านั้นเลย เธอมิได้มีความสนใจต่อคนพวกนี้ ทั้งยังคร้านจะชวนพวกเขาสนทนาอีกด้วย
ระหว่างเดินทางเธอได้ติดต่อกับย่ากวงครั้งหนึ่งแล้วพบว่าพวกเขามิได้อยู่ห่างไกลจากกันมากนัก จึงคิดว่าทั้งสองน่าจะออกไปพร้อมกันได้
เจ้าคำรามน้อยหมอบอยู่บนบ่าซือหม่าโยวเย่ว์ตลอดการเดินทาง มิได้เดินด้วยตัวเองเลย แต่เมื่อได้สนทนาพูดคุยกับมันระหว่างทางนั้นทำให้ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าเส้นทางไม่ได้ยาวไกลมากเกินไปนัก
“เจ้านาย ช่วยด้วย!”
ซือหม่าโยวเย่ว์กำลังคุยเรื่องตลกกับเจ้าคำรามน้อยอยู่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องเรียกขอความช่วยเหลือของย่ากวง
“ย่ากวง เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ” เมื่อได้ยินเสียงเรียก ซือหม่าโยวเย่ว์จึงถามขึ้นอย่างกระวนกระวาย
“เจ้านาย มาเร็วเข้า พวกเราไม่ไหวแล้ว ท่านรีบมาเร็วเข้า!”
ย่ากวงพูดจบแล้วก็มิได้ส่งเสียงใดอีก ทำเอาซือหม่าโยวเย่ว์ตกใจจนสะดุ้งตัวลอย แต่เมื่อสัมผัสถึงสายสัมพันธ์ระหว่างมันได้จึงค่อยคลายใจลงบ้างเล็กน้อย
“เจ้าคำรามน้อย” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนเรียก
“เย่ว์เย่ว์ ขึ้นมาเร็วเข้าสิ”
เจ้าคำรามน้อยร่างกายขยายใหญ่พอให้ซือหม่าโยวเย่ว์ขึ้นไปนั่งได้ หลังจากนั้นจึงพาเธอเหินทะยาน
โชคดีที่ระยะห่างระหว่างพวกเขาไม่ไกลมากนัก หลังผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วโมง เธอก็ได้กลิ่นคาวเลือดเข้มข้น รวมทั้งกลิ่นหอมละมุนจางๆ สายหนึ่งที่ปะปนมาในอากาศด้วย
“ไอ้หยา… เย่ว์เย่ว์ ข้าหมดแรงแล้ว” เจ้าคำรามน้อยพูดขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“เจ้าคำรามน้อย เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ” ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสความผิดปกติของเจ้าคำรามน้อยได้จึงเอ่ยถามขึ้น
“เย่ว์เย่ว์ อากาศนี่ออกจะแปลกพิกลอยู่นะ คล้ายกับจะทำให้พลังในร่างข้าเหือดหายไปหมดสิ้นเลย” เจ้าคำรามน้อยหยุดลง สายตาเริ่มเลือนราง
ซือหม่าโยวเย่ว์รับสัมผัสอยู่ครู่หนึ่ง ตำแหน่งอยู่ห่างจากย่ากวงไม่มากแล้ว ถึงขนาดได้ยินเสียงการต่อสู้รางๆ พื้นที่การต่อสู้น่าจะอยู่ข้างหน้าอีกไม่ไกลแล้ว
“เจ้าคำรามน้อย เจ้ากลับไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวข้าจัดการเรื่องนี้ต่อเอง”
ซือหม่าโยวเย่ว์ก้าวลงมาแล้วเก็บตัวเจ้าคำรามน้อยเข้าไปภายในมณีวิญญาณให้เจ้าวิญญาณน้อยดูแลมัน หลังจากนั้นจึงรีบวิ่งตรงไปด้านหน้า ทันใดนั้นเธอก็พบว่าเบื้องหน้ามีเงาร่างคนหลายคนซ่อนตัวอยู่ ดูจากท่าทีของคนเหล่านั้นแล้วน่าจะกำลังลอบสังเกตการณ์เหตุการณ์เบื้องหน้าอยู่
“พี่ใหญ่ คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนพวกนี้จะต้านรับงูเหอฮวานได้นานถึงเพียงนี้”
“ตอนนี้พวกเขาก็ได้แต่อาศัยการต้านทานของเป่ยกงถังผู้นั้นแล้ว ขอเพียงแค่นางล้มลงไปเสีย อีกสามคนที่เหลือก็จบเห่แล้วล่ะ”
“ไม่ว่าอย่างไรคราวนี้พวกเขาก็ตายแน่แล้ว!”
“ฮ่าๆ เป็นเพราะความฉลาดของพี่ใหญ่แท้ๆ ที่คิดล่อลวงให้พวกเขามาอยู่ในอาณาเขตของเจ้างูเหอฮวานนี่”
ชายที่ถูกเรียกว่าพี่ใหญ่ส่งเสียงเฮอะเยียบเย็นแล้วพูดขึ้น “คิดไม่ถึงว่าฝูงหมาป่าเมื่อคราวก่อนจะมิอาจฆ่าพวกเขาให้ตายได้ แต่กลับมาพบเข้าที่นี่ เสียดายแค่ว่าซือหม่าโยวเย่ว์ผู้นั้นมิได้อยู่ที่นี่ด้วย มิฉะนั้นหว่านแหครั้งเดียวก็คงจัดการพวกเขาได้หมด!”
“พี่ใหญ่ ในเมื่อพวกเขาอยู่ที่นี่กันหมดแล้ว ซือหม่าโยวเย่ว์นั่นก็ต้องอยู่แถวๆ นี้แน่ ขอเพียงแค่จัดการกับเจ้าสี่คนนี้ได้ เจ้าคนไร้ค่านั่นก็อยู่ในกำมือของพี่ใหญ่แล้วล่ะ”
ซือหม่าโยวเย่ว์เคลื่อนเข้าไปใกล้พวกเขาอย่างเงียบเชียบ ได้ฟังคำพูดของพวกเขาอย่างชัดเจน จึงลอบหัวเราะเยียบเย็นในใจ เธอคิดอยู่แล้วว่าเรื่องหมาป่าเปลวอัคคีเมื่อคราวก่อนนั้นต้องมีเงื่อนงำ ที่แท้ก็มีคนเล่นตลกจริงๆ เสียด้วย!
ความคิดเธอวูบไหวคราหนึ่ง ขวดหยกใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในอุ้งมือ เธอเปิดฝาขวดออก หลังจากนั้นจึงโยนขวดลงไปกลางวงของคนเหล่านั้น
คนผู้หนึ่งที่กำลังมองดูเป่ยกงถังดิ้นรนต่อสู้อยู่ได้ยินความเคลื่อนไหวจึงหันหน้ามาหมายจะดูว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับพบว่าซือหม่าโยวเย่ว์กำลังยืนมองพวกเขาอยู่ห่างออกไปไม่ไกลด้วยกลิ่นอายเยียบเย็นตลอดร่าง
“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้ามาอยู่หลังพวกข้าตั้งแต่เมื่อใดกัน” คนผู้นั้นร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจ
เมื่อได้ยินเสียงของคนผู้นั้น คนอื่นๆ ก็พากันหันมาด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือคนที่ถูกฝูงหมาป่าไล่ตามสังหารในตอนนั้นนั่นเอง
“ที่แท้เรื่องในตอนนั้นก็เป็นฝีมือของพวกเจ้านี่เอง!” ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่พวกเขา นัยน์ตาเต็มไปด้วยแววอาฆาตอย่างไม่ปิดบัง
กลิ่นอายของเธอทำให้คนเหล่านั้นพรั่นพรึง นี่คือกลิ่นอายที่คนไร้ค่าคนหนึ่งพึงมีอย่างนั้นหรือ
“ซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคิดจะทำอะไรน่ะ”
เมื่อได้ยินเสียงการต่อสู้เบื้องหน้า ซือหม่าโยวเย่ว์จึงมองตรงไปด้านหน้า ก็เห็นเป่ยกงถังถูกหางของงูเหอฮวานฟาดใส่จนลอยกระเด็นเข้าพอดี หัวใจของเธอบีบรัดแน่นแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดจะทำอะไร อีกประเดี๋ยวพวกเจ้าก็จะได้รู้แล้วล่ะ!”
“เจ้าคงยังคิดอยากจะไปช่วยพวกเขาสินะ” พี่ใหญ่ผู้นั้นมองซือหม่าโยวเย่ว์ “เดิมทีคิดเพียงแค่ว่าจะลอบสังหารพวกเจ้าอย่างลับๆ แต่ในเมื่อตอนนี้ถูกเจ้าค้นพบเข้าเสียแล้ว เช่นนั้นก็ส่งเจ้าไปยมโลกตรงๆ เช่นนี้เลยแล้วกัน!”
“เช่นนั้นก็ต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถพอหรือไม่!” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดจบก็วิ่งแทรกผ่านตัวพวกเขาตรงไปยังพื้นที่ว่างเบื้องหน้า
คนเหล่านั้นนึกอยากโจมตีเธอ แต่กลับค้นพบว่าไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่พวกเขามิอาจขยับตัวได้เสียแล้ว
เป่ยกงถังถูกหางงูเหอฮวานฟาดใส่จนลอยกระเด็นออกไปอย่างแรง แล้วร่วงลงไปบนพื้น ทำให้ฝุ่นผงลอยตลบ
“พรวด…”
นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นเลือดในลำคอ จากนั้นโลหิตคำหนึ่งก็กระอักออกมาจากปาก ซึ่งในโลหิตที่พ่นออกมานั้นยังมีเศษเล็กเศษน้อยปะปนออกมาอีกด้วย
“เป่ยกง เจ้ารีบหนีไปเร็วเข้า! ไม่ต้องสนใจพวกเราแล้ว!” เว่ยจือฉีนอนแผ่อยู่บนพื้นพลางตะโกนเสียงดังมาทางเป่ยกงถัง
เป่ยกงถังคิดจะยันตัวขึ้นมาจากพื้น ทว่าสองครั้งที่พยายามไปล้วนล้มเหลว มือข้างหนึ่งของนางยันพื้นเอาไว้ ส่วนอีกข้างกุมหน้าอก พลางมองงูเหอฮวานตรงหน้าด้วยสีหน้าซีดขาวแล้วเอ่ยอย่างอ่อนแอว่า
“ในเมื่อตอนนั้นพวกเจ้าบอกว่าพวกเราเป็นพรรคพวกกลุ่มเดียวกัน เช่นนั้นข้าก็มิอาจปล่อยพวกเจ้าทิ้งเอาไว้ที่นี่โดยไม่สนใจได้หรอก!”
“ช่างเป็นเด็กสาวที่กล้าหาญนัก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่ชอบคนพรรค์นี้เอาเสียเลย!” งูเหอฮวานตวัดหางพลางมองเป่ยกงถัง “คิดไม่ถึงว่าเจ้าคนเดียวจะเกาะแกะข้าได้เนิ่นนานถึงเพียงนี้ ตอนนี้ข้าจะส่งเจ้าไปลงนรก เจ้าวางใจเถิด พอข้าฟาดหางใส่แล้ว เจ้าก็ไม่ต้องสัมผัสความเจ็บปวดของความตายแล้วล่ะ”
พูดจบแล้วมันก็ยกหางขึ้นสูงพลางเล็งสายตาหมายจะฟาดลงบนร่างของเป่ยกงถัง
……………………