สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 1 - ตอนที่ 96.4-97.4
บทที่ 96 ยุให้แตกคอกัน? นับว่าเจ้ายอดเยี่ยม! (4)
โดย
Ink Stone_Romance
รอยยิ้มสดใสที่มาจากฉู่สวินหยางตรงหน้า ล้วนตกอยู่ในสายตาของเขา ทว่ารอยยิ้มในดวงตานั้นกลับถูกย้อมไปด้วยความรู้สึกที่ห่างไกลและลุ่มลึก พูดทุกคำอย่างหนักแน่นและชัดเจนว่า “แม้แค่ฝันข้าก็ยังไม่กล้าคิด ภายในค่ายทหารเมืองฉู่ก็คงมีคนของเจ้าอยู่ในนั้นเช่นกัน แผนยุให้แตกคอกันนี่ เห็นผลอย่างรวดเร็วจริงๆ ด้วย…”
ในขณะที่นางพูดก็ตวัดสายตากลับมามองอย่างสง่างาม “หากที่ข้าคาดไว้มิผิด เวลานี้ท่านหญิงอันเล่อคงจะเปลี่ยนเส้นทางกลับจวนไป ‘ปลอบใจ’ ฮองเฮาของพวกเราที่วังโซ่วคังแทนแล้วล่ะสิ? และผลของการปลอบใจก็คือ…หลัวฮองเฮาที่แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยสอดมือไปยุ่งกับราชกิจอย่างรู้หน้าที่บัดนี้คงจะโกรธจนผมตั้ง อารมณ์เปลี่ยนอย่างกับคนละคน!”
ฮ่องเต้ไม่มีแผนจะเปลี่ยนรัชทายาท หากต้องการจะให้ฉู่อี้อันหลุดพ้นจากความโปรดปราน หลัวฮองเฮานั้นถือเป็นใบมีดที่คมที่สุด
ใช้หลัวอี้เป็นฉากหน้า บีบหลัวฮองเฮาให้เป็นสุนัขจนตรอกจำต้องยอมร่วมมือ แผนของฉู่ฉีเหยียนครั้งนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงอยู่เหมือนกัน
แววตาของฉู่ฉีเหยียนสีเข้มขึ้น ไม่พบความเยือกเย็นและโกรธแค้นแต่อย่างใด แต่กลับเห็นประกายในตาของเขาเปลี่ยนเป็นซับซ้อนมากยิ่งขึ้น
สักพักก็ถอนหายใจอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร “สวินหยาง บางครั้งการที่ผู้หญิงฉลาดเกินไปก็ไม่ได้เป็นเรื่องดีแต่อย่างใด! แม้มีบางเรื่องที่เจ้ารู้อยู่แก่ใจ ก็ไม่ควรจะนำออกมาพูด!”
“อย่างนั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางแย้มยิ้ม “ข้าเพียงคิดว่า คนเรานั้นมีวิธีให้เลือกตายอยู่มากมาย แต่ที่ไม่ควรเลยก็คือตายเพราะความโง่ของตน แล้วก็…จุดยืนของเจ้ากับข้าก็ถูกกำหนดไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว พวกเราเป็นศัตรูกันมิใช่หรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนกัดริมฝีปาก ไม่พูดสิ่งใดออกมา
การต่อสู้ของผู้มีอำนาจแต่ไหนแต่ไรก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ยังคงเป็นคำพูดที่ฉู่สวินหยางวิจารณ์ฉู่ฉีฮุยไว้ก่อนหน้า…
รังที่พลิกคว่ำไปแล้วอย่างไรไข่ก็ต้องแตก!
ในเมื่อจุดยืนของทั้งสองฝ่ายถูกกำหนดไว้แล้ว คนสองกลุ่มใหญ่ที่เป็นปรปักษ์กันเช่นนี้ก็ไม่มีวันจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน
ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเหตุใดเขาจึงต้องมารอนางที่นี่ สถานการณ์ระหว่างพวกเขานั้นอยู่ในขั้นที่ว่าแทบจะไม่ต้องพูดถึงแล้ว แต่ว่า…
ในห้องทรงอักษรเมื่อครู่ ฉากที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายต่อต้านกันไปมากลับทำให้ในใจเขารู้สึกกดดันและไม่มีความสุขอย่างแปลกประหลาด
“ช่างเถอะ เจ้าก็ถือซะว่าวันนี้พวกเราไม่เคยเจอกันเถิด!” ท้ายที่สุดฉู่ฉีเหยียนจึงสูดลมหายใจลึกแล้วกล่าว
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาเก็บความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ทว่ากลับมาเสียท่าเผยเสียงถอนหายใจอ่อนแรงในตอนท้าย
ฉู่สวินหยางตกตะลึงไป ในรอยยิ้มที่ปรากฏยังแฝงไว้ด้วยความมึนงงชั่วขณะ
นางก้าวเท้าเดินไปทางด้านหน้า
ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วมองตามหลังนาง แม้ว่าสติของเขาเตือนให้เขาหยุดเพียงเท่านี้ แต่ว่าสุดท้ายกลับอดที่จะกล่าวขึ้นอีกครั้งไม่ได้ “อำนาจไม่ได้เป็นเรื่องสนุกอย่างที่เจ้าคิด โดยเฉพาะตอนที่อยู่ใกล้หูใกล้ตาของฝ่าบาท เจ้าคิดให้ดีๆ ก็แล้วกัน!”
หรือจะหมายถึง เรื่องของฉู่เยว่เหยียนที่นางปั้นขึ้นมา
ช่างคลุมเครือ…
ราวกับกำลังตักเตือน?
ฉู่สวินหยางก็ไม่อยากจะคิดอะไรให้ล้ำลึก
“ในเมื่อข้ากล้าทำ ก็ไม่เกรงกลัวว่าผู้อื่นจะใช้จุดอ่อนนี้มาบีบข้าได้หรอก” ฉู่สวินหยางกล่าวอย่างไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด พูดได้เพียงครึ่งเดียวก็เปลี่ยนท่าที น้ำเสียงดูทุ้มลึก “แน่นอน…ข้าไม่เชื่อว่าจะมีผู้ใดสามารถจับจุดอ่อนของข้าได้!”
ก็เหมือนกับฉู่ฉีเหยียนที่สบโอกาสใช้แผนช่วงที่หลัวอี้กำลังวุ่นวาย ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่มีใครคาดคิดว่าทั้งหมดเป็นแผนของเขา คนแบบพวกเขา ในเมื่อได้ลงเดินบนเส้นทางสายนี้แล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนแต่ทำด้วยความรอบคอบที่สุด ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ข้อบกพร่องเกิดขึ้นเพื่อกลายเป็นจุดอ่อนที่ผู้อื่นนำมาใช้โจมตีตน
ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ด้านหลังเกิดแต่เพียงความเงียบ
ใจของฉู่สวินหยางสั่นสะท้านราวกับคิดอะไรออก ก่อนจะหยุดก้าวเดินหันกลับไปเลิกคิ้วให้กับเขา “เมื่อครู่ในห้องทรงอักษร ไม่สะดวกที่จะพูด มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะยืนยันจากปากของเจ้า!”
ฉู่ฉีเหยียนเดิมทีกำลังเหม่อลอย ไม่ทันได้คิดว่านางจะหันกลับมา จึงมองตามไปอย่างใจลอยโพล่งออกมา “อะไร?”
“ทั่วป๋าไหวอัน…” ฉู่สวินหยางกล่าว ครุ่นคิดพลางค่อยๆ เอ่ยปาก “หากข้าเดาไม่ผิด ที่ท่านอาคาดเดาก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ถูกทั้งหมดใช่หรือไม่?”
ฉู่ฉีเหยียนตกใจอยู่เล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะในลำคอ กล่าวกลับไป “รู้ตั้งแต่ตอนไหน?”
“เมื่อคืนวานคนที่เข้าพิธีคำนับฟ้าดินกับซูหว่านไม่ใช่ทั่วป๋าไหวอันแน่ๆ แต่ว่าเวลาที่เขาเตรียมจะออกจากเมืองก็ไม่ใช่เมื่อวานเช่นกัน!” ฉู่สวินหยางกล่าว “เมื่อครู่ตอนที่อยู่ในห้องทรงอักษร ข้ามาคิดดูดีๆ แล้ว ไม่กี่วันมานี้ล้วนแต่พูดว่าจวนขององค์ชายห้าวุ่นวายอยู่กับการจัดเตรียมพิธีแต่งงาน ทั้งยังมีบางคนพูดว่าพบทั่วป๋าไหวอันออกจากเมืองไปปรากฏตัวที่ร้านหยกและร้านอัญมณีใหญ่เพื่อเลือกซื้อของด้วยตนเอง ทว่าในจวนของเขากลับปิดประตูไม่รับแขกมาตลอด ผู้ที่ได้ติดต่อกับเขาจริงๆ แม้แต่อำมาตย์ที่เขาคลุกคลีครั้งสุดท้ายก็ไม่ได้พูดคุยกันต่อหน้า หากเมื่อวานคนที่ปรากฏตัวในพิธีแต่งงานล้วนเป็นกลยุทธ์หลี่ตายแทนเถา[1]ที่เอามาแทน…ถ้าอย่างนั้นข้าสามารถเดาได้ไหมว่า แท้ที่จริงไม่กี่วันที่ผ่านมา ผู้ที่ไปปรากฏตัวตามสถานที่ต่างๆและเรียกตัวเองว่า ‘องค์ชายห้า’ นั้นก็ไม่ใช่ตัวเขาเอง?”
หากดูจากสถานการณ์ที่เมื่อวานทั่วป๋าอวิ๋นจีอยากจะออกจากเมืองไปอย่างลับๆ เวลานั้นทั่วป๋าไหวอันก็น่าจะออกจากเมืองไปแล้ว ทั่วป๋าอวิ๋นจีกลัวว่าเมื่อเรื่องแดงขึ้น นางก็จะกลายเป็นแพะรับบาปแทน ดังนั้นจึงรีบเร่งตามไปด้วย เพื่อที่จะหนีออกไป ถ้าเป็นอย่างนั้น…
เวลาที่ทั่วป๋าไหวอันหนีไป แน่นอนว่าไม่ใช่ช่วงเย็น
แต่เมื่อคิดไปคิดมา ฉู่สวินหยางก็ยังคงรู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกประหลาด…
ทั่วป๋าไหวอันคงจะรู้ว่า หากว่าเขาหลบหนี ฮ่องเต้ต้องออกคำสั่งไล่ล่าเขาอย่างลับๆ เวลาเพียงหนึ่งวัน สำหรับเขาแล้วนับว่าเสี่ยงเกินไป
ในเมื่อเขาสามารถปลอมตัวคนอื่นมาแทนพิธีแต่งจริงๆ ได้ ถ้าอย่างนั้นเหตุใดจึงไม่ใช่วิธีนี้ล่วงหน้าไปก่อนเล่า? ทั้งตัวเองก็ยังได้มีเวลาจัดการเรื่องที่จะตามมาอีกด้วย
เรื่องนี้ แม้แต่พวกตาเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างฮ่องเต้และรุ่ยชินอ๋องก็ยังมองไม่ออก ทว่าฉู่สวินหยางกลับมองทะลุปรุโปร่ง
ในใจของฉู่ฉีเหยียนสั่นไหว ใช้ท่าทีที่เปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมองดูนาง ไม่ปริปากพูดใดๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!” ฉู่สวินหยางเห็นท่าทีที่ตอบกลับของเขาเช่นนั้นก็สามารถพิสูจน์สิ่งที่นางแคลงใจได้ทันที พยักหน้ากล่าว “ไม่ว่าจะเป็นแผนของเขาหรือเป็นกลอุบายของเจ้า ในเมื่อเจ้ายื่นมือมาช่วยเขา ก็รับรองได้ว่าเรื่องนี้ต้องไร้ข้อผิดพลาด มิเช่นนั้นหากเรื่องเกิดผิดพลาดขึ้นมา ที่เจ้าทำมาก็เสียเปล่าแล้ว ถ้าเช่นนั้น วันที่ฮ่องเต้มีราชโองการสมรสพระราชทาน วันนั้นเขาก็ได้หลบหนีออกจากเมืองไปอย่างลับๆ ภายใต้การปิดบังของเจ้าแล้ว? จากการเดินทางแล้ว เวลานี้…”
ฉู่สวินหยางคำนวณขึ้นมาอย่างทันที หันกลับไปมองยังทิศทางของโม่เป่ยกล่าว “อย่างมากคือสองวัน เขาก็สามารถไปถึงราชสำนักโม่เป่ยได้ ถึงเวลานั้นทหารที่ฝ่าบาทส่งไล่ตามไปไกลเกินพันลี้ นั่นก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
จวนอ๋องหนานเหอถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวดองกับโม่เป่ย แต่ถ้ามองจากเรื่องที่ฉู่ฉีเหยียนช่วยทั่วป๋าไหวอันให้รอดตัวจากเรื่องนี้…
หากภายภาคหน้าทั่วป๋าไหวอันได้ควบคุมโม่เป่ย โม่เป่ยก็เท่ากับเป็นพันธมิตรของจวนอ๋องหนานเหอแล้ว!
ด้านหนึ่งลอบลงมือกับหลัวอี้เพื่อให้หลัวฮองเฮาแทรกแซงการต่อสู้ในราชสำนัก อีกด้านหนึ่งก็ดึงทั่วป๋าไหวอันมาเป็นพวกด้วยการช่วยเหลือ…
ฉู่ฉีเหยียน ฝีมือของเจ้านับว่าร้ายกาจเลยทีเดียว!
ฉู่สวินหยางฉีกยิ้มที่มุมปาก เรื่องราวล้วนรู้ชัดเจนแล้วก็ไม่อยากจะเสียเวลากับเขาอีกต่อไป แย้มยิ้มเล็กน้อยก่อนจะออกเดินอีกครั้ง จากไปด้วยท่าทีสบายๆ
ฉู่ฉีเหยียนยังยืนอยู่ที่เดิมไม่จากไปไหน ราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
เนิ่นนาน รอจนรวบรวมสติกลับมาแล้วจึงค่อยสะบัดเสื้อคลุมอย่างเป็นเอกลักษณ์เดินไปยังด้านหน้า ขณะกำลังเลี้ยวผ่านซุ้มประตูโค้งหนึ่ง ตรงหน้ากลับพบคนที่เข้ามาหาอย่างเร่งรีบด้วยท่าทีเป็นกังวล “ซื่อจื่อ!”
เป็น…
ซูหว่าน!
ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองนางด้วยความหงุดหงิดใจ พยักหน้าด้วยใบหน้าที่เยียบเย็น “พระชายาองค์ชายห้า?”
ใบหน้าซูหว่านค่อยๆเปลี่ยนสี ความเขินอายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นความลำบากใจ
นางมองดูใบหน้าเย็นชาของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า รู้สึกถึงความน้อยใจที่กดอยู่ในใจทั้งหมดต่างก็พรั่งพรูออกมา น้ำตาก็ตีรื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว หมุนวนอยู่ในขอบตานั้น
นางพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ร่วงหล่นอย่างสุดความสามารถ ฝืนเอ่ยปากออกไป “ข้าไม่ใช่พระชายาองค์ชายห้า ซื่อจื่อ เรื่องที่เกิดขึ้นในห้องทรงอักษรเมื่อครู่ท่านก็รู้หมดแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ของข้าและทั่วป๋าไหวอันถือว่าไม่นับ และเดิมทีข้าก็ไม่…”
“พระชายา!” ฉู่ฉีเหยียนไม่รอให้นางพูดจบก็เอ่ยตัดบท ก่อนจะถอยห่างออกไปหนึ่งก้าวเพื่อให้เหลือช่องว่างระหว่างนาง “ท่านและทั่วป๋าไหวอันได้รับราชโองการแต่งงานจากฝ่าบาท ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเกิดความผิดพลาด แต่ท้ายที่สุดก็ต้องให้ฝ่าบาทเป็นผู้ตัดสินใจ ระหว่างนี้ ขอท่านอย่าได้ทำอะไรโดยพลการจะดีกว่า!”
พูดจบก็เดินผ่านด้านข้างนางไป
ซูหว่านตกตะลึง ในใจพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวและหมดหวังอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ลืมไปชั่วขณะว่าตอนนี้อยู่ภายในวัง
หมุนกายคุกเข่าดึงชายเสื้อคลุมเขาไว้อย่างทันที
[1] กลยุทธ์หลี่ตายแทนเถา อุปมาถึง การเสียสละสิ่งเล็กน้อยเพื่อให้ได้มาเพื่อชัยชนะ
บทที่ 97 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่ฉีเหยียนถูกรั้งฝีเท้าเอาไว้ แต่ด้วยมารยาทที่ถูกปลูกฝังมาจะใช้เท้าถีบนางออกไปก็ไม่ได้ เพียงชั่วครู่สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นโกรธ และเอ่ยเสียงเย็นยะเยือกว่า “พระชายา โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของท่านด้วย!”
เวลานี้ซูหว่านได้ละทิ้งความจริงจังและอวดดีของตนเองไปหมดสิ้นแล้ว นางไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เพียงเงยหน้ามองเขาทั้งน้ำตาอาบหน้าและขอร้องว่า “ซื่อจื่อ ช่วยข้าด้วย ถึงยังไงเรื่องก็เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้าช่วยไปขอความเมตตาจากฝ่าบาทแทนข้าหน่อย ข้ารู้ว่าเจ้าต้องทำได้แน่”
ที่นี่เป็นเขตพระราชฐานชั้นใน ทั้งสองคนมายื้อยุดฉุดกระชากกันแบบนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ
ความโกรธในใจของฉู่ฉีเหยียนพุ่งขึ้นมาจนแทบจะกลั้นไว้ไม่อยู่ เขาก้มมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ “ให้ข้าไปขอความเมตตาแทนเจ้ารึ? ถือดีอย่างไร?”
ซูหว่านลุกลี้ลุกลน จนไม่ได้สังเกตนัยน์ตาแสนเย็นชาสักนิด
นางหลบตาอย่างทั้งสับสนและเขินอาย จนไม่สบสายตาฉู่ฉีเหยียนโดยตรง แล้วเอ่ยเสียงอ่อนว่า “ความรู้สึกที่ข้ามีต่อซื่อจื่อ ซื่อจื่อไม่เข้าใจงั้นรึ?”
ฉู่ฉีเหยียนเป็นคนที่ความรู้สึกไวขนาดไหน ซูหว่านมีใจให้เขา เขาเองก็มองออกตั้งนานแล้ว เพียงแต่ต้องรักษามิตรภาพและผลประโยชน์เอาไว้จึงต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้มาตลอด
ครั้งนี้ซูหว่านอับจนหนทางแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงต้องทุ่มสุดตัว
ความโกรธของฉู่ฉีเหยียนปะทุขึ้นมาเมื่อนางรั้งเขาไว้ เวลานี้ต้องมาฟังคำพูดรนหาที่ตายของนางอีก ทันใดนั้นจึงหัวเราะเยาะออกมาว่า “พระชายาองค์ชายห้า ข้ารู้ว่าเพราะเรื่องการแต่งงานของซูซื่อจื่อกับพี่สาวข้า พวกเจ้าตระกูลซูก็แค้นจวนอ๋องหนานเหอมาตลอด ดังนั้นเจ้ามาใช้ลูกไม้แบบนี้อยากให้ข้าตายรึไง?”
ซูหว่านนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ตกตะลึงจนน้ำตาหยุดไหล แล้วรีบเงยหน้ามองเขาอย่างสงสัย และถามอย่างหวาดหวั่นว่า “ซื่อจื่อหมายความว่ายังไง?”
สีหน้าฉู่ฉีเหยียนทั้งเย้ยหยันและเย็นชา เขายืนนิ่งไม่ขยับ เพียงก้มมองหน้านาง “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้แต่งงาน ตามหลักก็ถือว่าเวลานี้เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายโม่เป่ยแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาพูดกับข้าในสถานที่สำคัญอย่างวังหลวงอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้…เจ้าอยากยืมมือฝ่าบาทลงโทษข้าโทษฐานที่ขัดขืนรับสั่งรึ? แล้วเจ้าก็จะแก้แค้นให้พี่ชายเจ้าได้ใช่หรือไม่?”
หัวใจของซูหว่านเต้นช้าลงทันที นางโบกมืออย่างลนลาน สายตาหวาดกลัวสอดส่ายไปทั่วว่า “ไม่ใช่…ไม่ใช่…ข้า…ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย เรื่องพี่ชายข้ากับท่านหญิงอันเล่อเป็นแค่อุบัติเหตุ แต่ไหนแต่ไรมาข้าก็ไม่เคยเกลียดใครเลย และข้า…ข้ายิ่งไม่ทำร้ายเจ้าเด็ดขาด!”
ซูหว่านอธิบายอย่างร้อนรน สายตาทั้งกระวนกระวายใจและโหยหา นางมองฉู่ฉีเหยียนอย่างกระอักกระอ่วน
ฉู่ฉีเหยียนเพียงยิ้มเยาะให้นางอย่างเยือกเย็น
ซูหว่านคิดว่าเขาโมโหเพราะการกระทำของตนเอง จึงรีบหดมือกลับเหมือนโดนน้ำร้อนลวก
ฉู่ฉีเหยียนยกยิ้มมุมปากอย่างเฉยชา และก้มตัวจัดเสื้อผ้าที่นางจับจนยับให้เรียบร้อยอย่างไม่รีบร้อน
ซูหว่านจับชายเสื้อด้านหน้าของตนเองแล้วลุกขึ้นมา พลางเอ่ยอย่างไม่สบายใจและหวาดหวั่นว่า “ขออภัยซื่อจื่อ ข้า…ข้าแค่วุ่นวายใจไปเพียงชั่วครู่ ไม่ได้ต้องการทำร้ายเจ้า เจ้าอย่าเข้าใจผิด!”
ฉู่ฉีเหยียนมองนางอย่างเรียบเฉย แล้วหมุนตัวจากไป
ซูหว่านรีบร้อนจะตามไป อยากยื่นมือไปคว้าแขนเสื้อเขา แต่พอคิดถึงคำพูดของเขาเมื่อครู่ นิ้วมือก็พลันชะงักงันไปแล้วฝืนใจหดมือกลับมา ทำได้เพียงวิ่งออกไปกางแขนขวางหน้าเขาไว้
“ซื่อจื่อ!” นางเอ่ยปาก น้ำตาพลันร่วงอีกในชั่วพริบตา พลางมองฉู่ฉีเหยียนว่า “ถือว่าเห็นแก่ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้าเถอะ ไม่ว่ายังไงครั้งนี้เจ้าก็ต้องช่วยข้า! ท่าทีที่ฝ่าบาทมีต่อทั่วป๋าไหวอันคาดเดาได้ยาก ถ้าพาลมาโกรธข้าด้วย ข้าตายแน่ เจ้าช่วยข้าสักครั้ง ข้า…ข้า…”
นางพูดไปก็พูดจาสะเปะสะปะบ้าง สายตาหลบมองต่ำ แล้วเอ่ยเสียงอ่อนแรงว่า “ข้าจะจดจำบุญคุณของเจ้าในครั้งนี้ไว้ และจะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน!”
แค่ซูหว่านคนเดียวไม่มีทางส่งผลกระทบต่อท่าทีและจุดยืนของคนตระกูลซูได้มากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ที่ฉู่ฉีเหยียนมีแต้มต่อมากกว่าทั่วป๋าไหวอัน ไม่ว่าทั่วป๋าไหวอันกับซูหว่านจะแต่งงานกันจริงหรือไม่ ตราพระชายาขององค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยก็เหมือนประทับอยู่บนตัวนางแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงว่าเขาไม่ได้คิดกับซูหว่านแบบนั้น ต่อให้ซูหว่านจะเป็นหญิงที่งดงามกว่าผู้ใดจริง…
เขาก็คงไม่แส่หาเรื่องให้ตนเองเพื่อผู้หญิงคนนี้โดยไม่จำเป็นหรอก
เดิมฉู่ฉีเหยียนก็หงุดหงิดมากอยู่แล้ว จึงแค่มองนางด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ข้าไม่ต้องการคำขอบคุณจากเจ้า และไม่ต้องการการตอบแทนจากเจ้าด้วย เห็นแก่ที่พวกเราสองตระกูลเคยไปมาหาสู่กัน ข้าบอกเจ้าได้อย่างหนึ่งเลยว่า…เรื่องการแต่งงานของเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่ายังไงฝ่าบาทก็ไม่มีทางถอนรับสั่งแน่นอน อีกอย่าง…พระองค์ก็จะต้อนรับโม่เป่ยอย่างสมเกียรติต่อไป เจ้าก็ทำใจให้สบายทำหน้าที่พระชายาของเจ้าไปเถอะ!”
สีหน้าเขาเย็นชาไร้อารมณ์และไม่มีความล้อเล่นแม้แต่น้อย
ซูหว่านมองเขาอย่างตกตะลึง แค่รู้สึกว่าหน้าของเขายังคงหล่อจนสะกดใจคน แต่ความเย็นชาที่ปล่อยออกมาอย่างน่าประหลาดนั้นกลับทำให้นางรู้สึกตัว
ฉู่ฉีเหยียนไม่มีความอดทนให้นางกวนใจได้อีกต่อไปแล้ว เขาเหลือบมองนางอย่างเฉยเมยแล้วหันตัวจากไปอย่างรวดเร็ว
เขาก้าวเดินจากไปอย่างมั่นคง ไม่มีความอาลัยอาวรณ์และลังเลแม้แต่น้อย
ซูหว่านยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม คิดถึงคำพูดปฏิเสธที่แสนเย็นชาของเขาเมื่อครู่ ในใจราวกับถูกลมหนาวพัดกระแทกจนเป็นรอยแตกร้าว เลือดทั้งกายจับตัวแข็ง ราวกับทั้งหมดแข็งตัวอยู่ในหลอดเลือด
สายตาของนางเลื่อนลอย มองภาพเงาด้านหลังที่หล่อเหลาและสง่าผ่าเผยของคนคนนั้นค่อยๆ ห่างออกไป ทันใดนั้นก็คล้ายกับหมดสิ้นเรี่ยวแรง นางถอยหลังไปสองก้าวอย่างหมดหวัง และไม่ทันระวังจึงเหยียบชายกระโปรงที่ยาวรุ่มร่ามเข้า แต่กลับมีคนช่วยประคองจากด้านข้าง
“ท่านหญิงซูระวังด้วย!” เสียงผู้หญิงนุ่มนวลอ่อนโยน ฟังยังไงก็รู้สึกถึงความห่วงใย
ซูหว่านหันกลับไปมองอย่างไม่รู้ตัว แล้วก็เห็นใบหน้าบอบบางและขาวเล็กน้อยของหลัวอวี่ก่วนยิ้ม
ซูหว่านตกใจ จึงระวังตัวขึ้นมาในพริบตา แล้วผลักมือของนางให้ถอยไปด้านข้างสองก้าว พลางถามสีหน้าขรึมว่า “ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?”
ที่นี่เป็นทางที่ต้องผ่านเพื่อออกจากวัง หลัวอวี่ก่วนมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้ ต้องไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน
สีหน้าหลัวอวี่ก่วนคล้ายกับกระอักกระอ่วน แต่ยังยิ้มอย่างมั่นใจและหวังดีว่า “ข้าขออนุญาตฮองเฮากลับจวน จึงผ่านมาพอดี”
ซูหว่านหน้านิ่งไป สีหน้าท่าทางยิ่งระวังตัวมากขึ้น แล้วโพล่งถามออกไปว่า “งั้นเจ้าก็เห็นเรื่องเมื่อครู่หมดแล้วรึ?”
“ท่านหญิงซู ข้าไม่ได้ตั้งใจ!” หลัวอวี่ก่วนรีบอธิบาย “ข้าแค่ต้องออกจากวังจึงโชคไม่ดีผ่านมาตรงนี้พอดี ไม่ได้ตั้งใจแอบดู เพียงแต่ก่อนหน้านี้เห็นซื่อจื่ออ๋องหนานเหอกับท่านหญิงสวินหยางอยู่ด้วยกัน ท่าทางเหมือนมีเรื่องต้องคุยกันอยู่ด้านหลังตรงนั้นพอดี ข้าไม่กล้ารบกวน รออยู่ครู่หนึ่งถึงได้บังเอิญเจอเจ้าอีก!”
สีหน้านางว้าวุ่นใจ พูดไปก็เหมือนกลัวว่าซูหว่านจะไม่เชื่ออีก จึงก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว ลองจับมือซูหว่านแล้วเอ่ยอย่างไม่ค่อยสบายใจว่า “ข้าไม่ใช่คนขี้นินทาไร้สาระแบบนั้น ท่านหญิงซู หรือเจ้ายังต้องให้ข้าสาบานต่อฟ้าอีกงั้นรึ?”
ซูหว่านอยากจะสะบัดมือนางทิ้งอย่างรังเกียจ แต่ว่าฟังสิ่งที่นางเอ่ยถึงอย่างไม่ได้ตั้งใจท่อนหนึ่งแล้ว ทันใดนั้นก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา แต่ยังต้องอดทนทำเป็นนิ่งไว้ จึงแค่มองและถามนางอย่างสงสัยว่า “เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นซื่อจื่ออ๋องหนานเหออยู่ด้วยกันกับฉู่สวินหยางรึ? พวกเขาทำอะไรด้วยกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้” หลัวอวี่ก่วนตอบ นัยน์ตาทอประกาย แต่กลับทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้ “น่าจะแค่บังเอิญเจอกันพอดีเช่นกัน ตอนนั้นข้าก็ไม่กล้ารบกวน แต่ดูท่าทางสองคนจะคุยกันถูกคอ หยุดคุยกันอยู่ด้านหลังครู่ใหญ่เชียว!”
ซูหว่านมีสีหน้าตกใจ และเข้าสู่ภวังค์ทันที
หลัวอวี่ก่วนรออยู่ชั่วครู่ เห็นนางยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จึงย่อตัวคารวะก่อนว่า “ข้ามีธุระที่บ้าน ต้องรีบกลับไป คงต้องขอตัวก่อน”
ซูหว่านได้สติกลับมา แล้วก็เผยรอยยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว พลางจับมือนางไว้ว่า “พอดีข้าจะออกไปนอกวังเหมือนกัน งั้นไปด้วยกันเถอะ!”
หลัวอวี่ก่วนมองนางอย่างประหลาดใจ และเอ่ยด้วยสีหน้าลังเลว่า “เอ่อ…”
“เมื่อครู่ข้าลืมตัวเสียมารยาทไป เจ้าอย่าถือสาเลย…” ซูหว่านเอ่ย พลางทำเป็นมองไม่เห็นสีหน้านาง แล้วคล้องแขนลากนางให้เดินต่อไปอย่างสนิทสนม
หลัวอวี่ก่วนเห็นนางเหมือนจะไม่ใส่ใจเรื่องก่อนหน้าแล้วก็วางใจตามไปด้วย จึงออกไปนอกวังพร้อมกับนาง
ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะไปตลอดทางเดินที่ออกไปด้านนอก
เวลานี้หลัวอวี่ก่วนคอยติดตามหลัวฮองเฮาจึงพักอยู่ในวัง ครั้งนี้นางต้องออกจากวังชั่วคราว หลัวฮองเฮาก็ยุ่งอยู่แต่กับเรื่องของตนเองจนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องคนอื่น นางจึงให้คนแจ้งกลับไปที่จวนหลัวกั๋วกงก่อนและให้ฮูหยินรองหลัวส่งรถม้ามารับแล้ว
ตอนที่ทั้งสองคนเดินมาถึงประตูวังนั้น รถม้าของตระกูลหลัวยังไม่มา หลัวอวี่ก่วนบอกลาซูหว่านว่า “ท่านหญิงซูไปก่อนเถอะ แม่ข้าบอกว่าอีกครู่จะให้คนมารับข้า!”
บทที่ 97 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (2)
โดย
Ink Stone_Romance
“ตรงนี้อากาศเย็นมากและไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่ ข้าก็ไม่มีธุระพอดี ข้าไปส่งเจ้าด้วยแล้วกัน!” ซูหว่านเอ่ยจบก็เหยียบที่วางเท้าเข้าไปในรถม้าก่อน
หลัวอวี่ก่วนลังเล ราวกับเป็นกังวล
ซูหว่านรออยู่ในรถม้าชั่วครู่ ไม่เห็นนางขึ้นไปก็โผล่ศีรษะออกมายื่นมือให้อีก แล้วยิ้มให้อย่างเป็นมิตรว่า “มาสิ!”
น้ำใจลึกซึ้งช่างยากที่จะปฏิเสธได้ อีกทั้งอากาศช่วงเดือนมกราคมยังหนาวเหน็บขนาดนี้…
หลัวอวี่ก่วนชั่งใจ ก่อนจะกัดฟันขึ้นรถม้าตามไป และเอ่ยด้วยสีหน้าซาบซึ้งว่า “วันนี้คงต้องรบกวนเจ้าแล้วจริงๆ!”
“ไม่เป็นไร ยังไงก็เป็นทางผ่านพอดี!” ซูหว่านยิ้ม นางรินชาสองถ้วย แล้วส่งถ้วยหนึ่งมาใกล้มือนาง พลางอมยิ้มว่า “อากาศหนาว ดื่มชาร้อนให้ร่างกายอุ่นสักหน่อยเถอะ!”
“ขอบใจ!” หลัวอวี่ก่วนประคองถ้วยนั้นไว้ในมือ พลางก้มลงจิบไปสองอึกเงียบๆ คิดแล้วก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ จึงเงยหน้ามองซูหว่านอีกครั้งว่า “ท่านหญิงซู เรื่องที่วังก่อนหน้านี้ขออภัยด้วยจริงๆ เจ้าเชื่อข้า ข้าจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”
“งั้นหรือ?” ซูหว่านยิ้มเล็กน้อย สายตาจับจ้องไปยังชาร้อนถ้วยที่วางอยู่ตรงหน้าตนเอง ไม่รู้ว่าแววตาและสีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกตั้งแต่เมื่อไหร่ นางค่อยๆ เอ่ยว่า “ข้าก็อยากจะเชื่อเจ้า แต่เจ้าคิดว่าทำไมข้าต้องเชื่อเจ้าด้วย?”
หลัวอวี่ก่วนนึกไม่ถึงว่าอยู่ๆ นางจะโกรธขึ้นมา จึงอดที่จะอึ้งไปไม่ได้ “เจ้า…”
ซูหว่านที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเงยหน้าขึ้น มุมปากยกโค้งเป็นรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย เยือกเย็นหาใดเปรียบ
หลัวอวี่ก่วนตกใจ นางขดตัวถอยไปด้านหลังด้วยสีหน้าหวาดหวั่น ทันใดนั้นราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันตัวกระโจนไปเกาะหน้าต่าง แล้วผลักหน้าต่างออกไปดูข้างนอก
“นี่ไม่ใช่ทางไปจวนหลัวกั๋วกงของข้า!” หลัวอวี่ก่วนเอ่ยอย่างตกใจ นางเบิกตาโตและหันไปมองซูหว่านอย่างไม่อยากเชื่อทันที “เจ้าจะพาข้าไปที่ไหน? ซูหว่าน เจ้า…เจ้าปล่อยข้าลงไป!”
นางเอ่ยพลางหันตัวกระโจนไปทางประตู!
“จับตัวนางไว้!” สีหน้าซูหว่านเข้มขึ้น นางตวาดเสียงเย็นเยียบ
สาวใช้สองคนที่นั่งอยู่ตรงมุมรถฉวยโอกาสพุ่งเข้าไป สองคนรวมแรงกันกดตัวหลัวอวี่ก่วนไว้บนพรมหนังแกะหนาที่ปูอยู่ในรถม้า
หลัวอวี่ก่วนถูกสองคนกดเอาไว้ นางหันไปมองซูหว่านอย่างตื่นตระหนกตลอด แล้วเอ่ยเสียงสั่นว่า “เจ้าจะทำอะไร? เจ้ากล้าทำร้ายข้ารึ? ฮองเฮารู้ว่าข้าออกจากวังมา ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับข้าล่ะก็…องครักษ์ที่เฝ้าประตูวังเมื่อครู่ต้องเห็นหมด เจ้าไม่รอดแน่!”
“ข้าเพียงแต่ไปส่งเจ้าด้วยความหวังดีเท่านั้น พวกเขาเห็นแล้วยังไงเล่า?” ซูหว่านกลับไม่หวั่นเกรง และแค่มองนางอย่างเย็นชาว่า “จะโทษก็โทษที่เจ้าดันไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น อย่างที่เจ้าว่ามา เจ้าเป็นคนที่คอยติดตามฮองเฮาอย่างใกล้ชิดเสมอ ถ้าหากวันไหนไว้ใจปากเจ้าไม่ได้ล่ะ…”
นางพูดไปก็ถอนหายใจหนัก แล้วลุกไปยกชาที่หลัวอวี่ก่วนดื่มไปครึ่งหนึ่งบนโต๊ะมาและบีบปากนางจะเทกรอกลงไป
“ชานี้…” หลัวอวี่ก่วนพลันเข้าใจบางอย่างทันที และพยายามฝืนปิดปากเอาไว้
“วางใจเถอะ แค่ใส่ยาสลบไปนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าจะวางยาพิษเจ้าจริงๆ ข้าคงแก้ตัวลำบากเหมือนกัน!” ซูหว่านก็หงุดหงิดเหมือนกัน
คำพูดของฉู่ฉีเหยียนก่อนหน้านี้ไม่ได้เกินจริงไปเลยสักนิด ตอนนั้นนางเองก็จนตรอกถึงได้ลืมไปว่ายังอยู่ในวัง หากปล่อยให้เรื่องนี้ไปถึงหูฮ่องเต้จริง นางกับฉู่ฉีเหยียนได้ซวยแน่
ยังมีหลัวอวี่ก่วนที่น่ากังวลอีก
รู้อยู่แก่ใจว่าชานี้มีปัญหา แล้วหลัวอวี่ก่วนจะยอมดื่มได้ยังไง? แต่อีกฝ่ายคนเยอะย่อมได้เปรียบกว่า นางสลัดไม่หลุดจริงๆ ทว่าในขณะที่ไร้ทางเลือกกลับเอ่ยเสียงดังว่า “ไม่! เจ้าปล่อยข้าไป…ท่านหญิงซู แล้วข้าจะบอกเจ้า…เจ้าไม่อยากรู้ว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงให้เจ้าแต่งงานกับองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ยงั้นหรือ?”
ซูหว่านชะงักงัน หลัวอวี่ก่วนฉวยโอกาสใช้ไหล่กระแทกอย่างแรงให้ถ้วยชาในมือนางคว่ำไป
ซูหว่านพาลโกรธขึ้นมา ตอนที่กำลังหันตัวไปหยิบกาน้ำชาบนโต๊ะ หลัวอวี่ก่วนก็เอ่ยอีกว่า “ฝ่าบาทไม่ได้ตั้งใจให้เจ้าแต่งไปโม่เป่ยตั้งแต่แรก เดิมทีฝ่าบาทจะให้ท่านหญิงสวินหยางแต่งงานต่างหาก!”
ทีแรกซูหว่านแค่คิดว่านางพูดไปเพื่อเอาตัวรอดเท่านั้น แต่ก็รู้สึกว่าพอฟังขึ้นอยู่บ้าง จึงหันกลับมามองอย่างระแวง
“จริงนะ ข้าไม่ได้หลอกเจ้า!” หลัวอวี่ก่วนไม่ได้สนใจอะไรมากแล้ว นางเอ่ยทั้งน้ำตาไหลอาบหน้าว่า “แต่เพราะความเข้าใจผิดในงานเลี้ยงราชสำนัก ฝ่าบาทจึงทรงอยากปลอบใจองค์ชายห้าแห่งโม่เป่ย และยังตั้งพระทัยให้ฮองเฮาช่วยเป็นธุระด้วย กลัวแต่ท่านหญิงสวินหยางจะไม่ตกลง วันที่ 1 ที่สนมมาเข้าเฝ้านั้นฮองเฮายังเคยพระราชทานรางวัลมาให้ตั้งมากมาย เรื่องนี้เจ้าก็รู้ดี”
“เจ้าจะบอกว่าของรางวัลของฮองเฮาใช้เพื่อทำเรื่องนี้ให้สำเร็จหรือ?” ซูหว่านเอ่ยอย่างลังเล และจ้องใบหน้านางระยะประชิดอย่างเย็นชา
“เดิมฮองเฮาก็ไม่ชอบนางอยู่แล้ว หากไม่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้น อยู่ดีๆ จะให้เกียรตินางมากขนาดนั้นทำไมกัน?” หลัวอวี่ก่วนถาม “เจ้าเชื่อข้า เรื่องจริงแท้แน่นอน แต่เพราะหลังจากนั้นคังจวิ้นอ๋องออกหน้าไม่รู้ว่าใช้วิธีไหนถึงโน้มน้าวให้พี่ชายเจ้าออกหน้าได้ ฝ่าบาทถึงได้เปลี่ยนพระทัยในท้ายที่สุด และไม่ได้ประกาศเรื่องท่านหญิงสวินหยางออกไป”
ถึงแม้ซูหว่านจะไม่พอใจกับเรื่องแต่งงาน แต่ยังไม่ถึงกับโทษซูหลินอย่างไร้เหตุผล เพราะว่าคืนนั้นนางหายไปด้วยกันกับทั่วป๋าไหวอันจริง ไม่ช้าก็เร็วเรื่องนี้ก็ต้องเปิดเผยออกมา แต่หลังจากที่ได้รู้ว่าตนเองต้องมารับกรรมแทนฉู่สวินหยางในวินาทีสุดท้าย ความเดือดดาลในใจก็ยังพลุ่งพล่านขึ้นมา
“ถ้าหากเจ้าไม่เชื่อ จะกลับไปถามซูซื่อจื่อก็ได้!” หลัวอวี่ก่วนคิดแต่จะหนีให้พ้น จึงเอ่ยโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้นว่า “เขาต้องรู้เรื่องทั้งหมดแน่ น่าจะกลัวเจ้ารู้สึกน้อยใจถึงได้ไม่บอกเจ้า!”
ซูหว่านอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ และมองนางไม่วางตาอยู่นาน
หลัวอวี่ก่วนมองนางอย่างวิงวอน…
ซูหว่านแทบจะเหมือนคนบ้า นางคิดว่าจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้แล้วจะสามารถใช้ประโยชน์ได้ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ สู้ยอมใช้วิธีอื่นดีกว่า
ซูหว่านยังเงียบไปอีกครู่ใหญ่ สุดท้ายพอได้สติก็มองหลัวอวี่ก่วนอีกรอบ แต่กลับหัวเราะเสียงเย็นยะเยือกออกมา แล้วบีบปากนางอย่างแรง
หลัวอวี่ก่วนหวาดกลัวจนหน้าถอดสี ไม่ต้องรอให้ร้องตะโกน ซูหว่านก็ถือกาน้ำชามาจ่อปากนางแล้วเทลงไปทันที
หลัวอวี่ก่วนดิ้นรนไปก็ไร้ประโยชน์ ซูหว่านเทชาจนหมดแล้วใช้ผ้าอุดปากนางไว้ แล้วสั่งให้สาวใช้มัดนางและทิ้งไว้ในมุมรถม้า
ชากาหนึ่งหกไปเกินครึ่ง แต่ปริมาณที่เหลือก็พอจะทำให้หลัวอวี่ก่วนหลับไปสักพักหนึ่ง
สาวใช้สองคนจัดการเสร็จแล้วต่างก็รู้สึกหวาดกลัว จึงอ้ำๆ อึ้งๆ เอ่ยว่า “ท่านหญิง ยังไงนางก็เป็นคุณหนูของจวนหลัวกั๋วกง จริงๆ จะ…”
“หุบปาก!” ซูหว่านเอ่ยอย่างเดือดดาล นัยน์ตาทอประกายตาเย็นชา
เรื่องมาถึงขั้นนี้ก็ไม่มีทางให้ถอยกลับได้อีกแล้ว ปากของหลัวอวี่ก่วนไว้ใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
ณ ห้องทรงอักษร
ฮ่องเต้พิงพนักบัลลังก์กว้างที่อยู่ด้านหลังด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า แล้วตรัสถามว่า “ว่ามาเถอะ เรื่องที่เมืองฉู่ พวกเจ้ามีความเห็นว่ายังไงบ้าง?”
“สิ่งที่แม่ทัพฮั่วทำไป กระหม่อมว่าเชื่อใจได้พ่ะย่ะค่ะ” ฉู่อี้อันตอบสั้นๆ ได้ใจความ
ฮ่องเต้ไม่ตรัสสิ่งใด แล้วเลื่อนสายตาไปมองฉู่อี้หมินที่ก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ข้างๆ
ฉู่อี้หมินรู้สึกได้ถึงสายตาที่ทอดมองมาของฮ่องเต้ จึงสบสายตาของพระองค์แล้วเอ่ยเสียงนอบน้อมว่า “แม่ทัพฮั่วเข้ากับผู้บัญชาการหลัวไม่ได้ เรื่องนี้กระหม่อมทราบมานานแล้ว แต่ถ้าว่ากันตามสถานการณ์ กระหม่อมก็ไม่คิดว่าแม่ทัพฮั่วจะยอมเสี่ยงตายตั้งเมืองฉู่ที่มีประชาชนและทหารหลายแสนคนเพื่อความแค้นส่วนตัว เรื่องนี้น่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีก ถ้าจะบอกว่าถือโอกาสแสดงเจตนาร้ายที่แท้จริงก็ไม่ถือว่าเกินไปนักพ่ะย่ะค่ะ”
ฮั่วกังมีนิสัยซื่อตรง เรื่องที่ไม่ชอบขี้หน้าหลัวอี้ที่ได้ตำแหน่งมาด้วยเส้นสายของหลัวฮองเฮาก็ไม่ใช่ความลับอะไร แต่สถานการณ์ในการสู้รบสำคัญนัก ก่อนที่จะตรวจสอบต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวจนแน่ชัด ก็ไม่มีใครกล้ารับรองอะไรทั้งนั้น
ฮ่องเต้จับจอนผมด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย และไม่ตรัสสิ่งใดเป็นเวลานาน
ฉู่อี้อันเห็นสีหน้าเขาอ่อนระโหยโรงแรง จึงเอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “เสด็จพ่อ เรื่องเมืองฉู่ปล่อยให้เสด็จอาออกหน้าก็น่าจะต้านไว้ได้ อย่างน้อยที่สุดช่วงนี้ก็ไม่น่าจะมีเหตุร้าย กลับไปเสด็จพ่อค่อยจัดหาคนที่เหมาะสมให้ไปรับช่วงต่อก็ได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้เรื่องที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน…คือโม่เป่ย!”
พอฮ่องเต้ได้ยินก็ลืมตาส่งสายตาให้เขาพูดต่อไปทันที
ฉู่อี้อันเอ่ย “ทั่วป๋าไหวอันออกจากเมืองหลวงโดยพลการ ในเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว จะมาหาผู้รับผิดชอบแค่ที่นี่คงไม่ช่วยอะไร กระหม่อมมีความเห็นว่า คนๆ นั้นต้องมีแผนการเป็นแน่ ในเมื่อเขาไปแล้วจะพาเขากลับมาอีกคงเป็นไปได้ยาก และในเมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนั้นก็ควรจะวางกลยุทธ์ก่อน ลองดูว่าจะจัดการกับปัญหาที่จะตามมายังไง ถึงจะจัดการความสัมพันธ์ของโม่เป่ยได้ดีพ่ะย่ะค่ะ!”
“เขาไปแบบนี้ ต้องรีบไปโม่เป่ยแน่ ส่งคนตามไปทางนั้นต้องเจอแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่อี้หมินกลับยิ้มเย็นอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ดินแดนซีเยว่กว้างใหญ่ไพศาล แค่เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างเขาคนเดียว ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะมีความสามารถมากขนาดหลุดรอดไปจากสายตาของประชาชนและทหารนับล้านคนของเราไปได้! มองข้ามความหวังดีของผู้อื่นเช่นนี้ เพียงแค่เสด็จพ่อมีพระราชโองการลงมา การจะกำจัดโม่เป่ยให้สิ้นซากก็ง่ายนิดเดียว!”
…………………………………
บทที่ 97 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (3)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่อี้อันชำเลืองมองเขา แต่ไม่แสดงความคิดเห็นกับความอวดดีของเขา เพียงแค่คารวะฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะอีกครั้ง “เสด็จพ่อ ตอนนี้สงครามที่เมืองฉู่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เพียงแต่พิจารณาจากผลประโยชน์ในทุกด้านแล้ว เวลานี้ก็ไม่ควรปะทะกับชาวโม่เป่ยซึ่งๆ หน้าอีกพ่ะย่ะค่ะ”
ข่าวการเสียชีวิตของซื่อจื่ออ๋องโม่เป่ยถูกพระชายาที่แต่งงานใหม่กับอ๋องโม่เป่ยคนนั้นปิดเป็นความลับสุดยอด จนถึงตอนนี้ข่าวใหญ่ยังไม่ได้เผยแพร่ออกมา ฉู่อี้หมินไม่รู้รายละเอียดของเรื่องนี้ แต่ฮ่องเต้กับฉู่อี้อันกลับรู้ดี
ถ้าหากฮ่องเต้มั่นใจว่าจะสามารถพาทั่วป๋าไหวอันกลับมาได้ก็แล้วไป ไม่อย่างนั้น…
ไม่ช้าก็เร็วโม่เป่ยก็ต้องตกเป็นของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
วางแผนร้ายมานานขนาดนี้ ถึงขั้นสร้างสถานการณ์อันตรายขึ้นมาและเอาตนเองเข้าไปเสี่ยงอันตรายด้วย แต่ไม่คิดว่าท้ายที่สุดกลับล้มเหลวทั้งที่เกือบจะสำเร็จอยู่แล้วเชียว
แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้องรู้สึกไม่พอใจ แต่กลับทำอะไรไม่ได้
เขากลัดกลุ้มจนไม่ตรัสสิ่งใดอยู่นาน สุดท้ายก็จำเป็นต้องเห็นด้วยกับความคิดเห็นของฉู่อี้อัน จึงถอนหายใจออกมาแล้วตรัสว่า “ช่างเถอะ ก็แค่เด็กเมื่อวานซืน ข้ายังต้องไปสนใจเขาอีกงั้นหรือ? ยังไงก็ไปแล้ว”
“เสด็จพ่อ…” ฉู่อี้หมินไม่อยากจะเชื่อ นัยน์ตาพลันทอประกายกร้าว แล้วก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวเอ่ย “ทั่วป๋าไหวอันจงใจเพิกเฉยต่อพระราชโองการของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อก็ไม่เอาผิดแบบนี้หรือ? เช่นนั้นจะเอาชื่อเสียงของราชสำนักไปไว้ที่ไหน?”
“น้องรอง เรื่องนี้เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” ฉู่อี้อันเอ่ยโดยไม่รอให้ฮ่องเต้ตรัสว่า “เดิมทีทั่วป๋าไหวอันเข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ก็เพื่ออวยพรวันเกิดแทนฮองไทเฮา มีอยู่อย่างหนึ่งที่ทั่วป๋าอวิ๋นจีพูดถูก เขาไม่ใช่นักโทษของราชสำนักเรา เขาอยากไปไหน เขาไม่บอกกล่าวก็แค่เสียมารยาท ไม่ถือว่าทำผิด ถ้าหากพวกเรากัดไม่ปล่อยจะโดนจับจุดอ่อนได้แทน เวลานี้สถานการณ์ที่เมืองฉู่ก็ไม่ชัดเจน อย่าพึ่งสร้างปัญหาใหม่ขึ้นมาจะดีกว่า!”
“แต่ว่า…” ฉู่อี้หมินยังอยากพูดต่อ แต่ฮ่องเต้ยกมือแทรกคำพูดของเขาอย่างหงุดหงิด แล้วตรัสกับหลี่รุ่ยเสียงว่า “ถ่ายทอดราชโองการของข้าออกไป ไม่ต้องคุมตัวหญิงโม่เป่ยคนนั้นและหญิงตระกูลซูไว้แล้ว ถ้าพวกเขาอยากอยู่ต่อก็ให้อยู่ไป หากอยากไปก็ปล่อยให้พวกเขาไป”
ฉู่อี้หมินรู้สึกไม่พอใจ แต่ไม่กล้าแสดงออกไป
ฉู่อี้อันท่าทางครุ่นคิด นัยน์ตาทอประกายวาบ และค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอยในชั่วพริบตา
เมื่อได้ข้อสรุป ฮ่องเต้ก็เหนื่อยแล้ว จึงโบกมือส่งสัญญาณให้ทั้งสองคนออกไป
จนกระทั่งทั้งสองคนออกไปแล้ว ฮ่องเต้ยังคงใช้มือเดียวรองศีรษะเอนพิงบัลลังก์กว้างใหญ่ไม่ขยับเขยื้อนอยู่ครู่ใหญ่ และแค่ตรัสด้วยเสียงอ่อนเพลียว่า “ยังไม่มีข่าวมาจากซื่อหรงหรือ?”
การเคลื่อนทัพโดยไม่ชอบด้วยเหตุผล ทำให้พระราชโองการตามจับทั่วป๋าไหวอันไม่สามารถประกาศใช้ได้ แต่หลังจากได้ข่าวว่าทั่วป๋าไหวอันออกจากเมืองหลวงตั้งแต่เช้า เขาก็ส่งองครักษ์เงาไปล้อมจับอย่างลับๆ แล้ว
ในตำหนักไม่มีบุคคลที่สาม จึงเป็นที่แน่นอนว่าตรัสกับหลี่รุ่ยเสียง หลี่รุ่ยเสียงส่ายหน้า “เวลานี้ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ!”
ฮ่องเต้ใคร่ครวญ หลังจากนั้นจึงนั่งตัวตรง นัยน์ตาคล้ายมีแสงกระพริบริบหรี่ ในที่สุดก็ตรัสเสียงแผ่วว่า “บอกนางว่าไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ช่วงนี้ไม่ต้องกลับมา”
หลี่รุ่ยเสียงกระวนกระวายและตกใจขึ้นมาทันที แต่กลับรักษาสีหน้าเช่นเดิมได้อย่างน่าตกใจ แล้วลองถามว่า “ฝ่าบาทรงหมายถึง…”
“เรื่องมาถึงวันนี้ยังหวังว่าจะปิดบังต่อไปได้อีกหรือ?” ฮ่องเต้ตรัสเสียงเย็นชา “แทนที่จะให้รอเขาลงมือก่อนที่จะตั้งตัวทัน สู้ชิงลงมือก่อนย่อมได้เปรียบมากกว่า ทั้งราชสำนักโม่เป่ยตอนนี้ก็แตกความสามัคคีเหมือนทรายที่แตกกระสานซ่านเซ็น ทำให้พวกเขาวุ่นวายไปพักหนึ่งพลางๆ ก่อนได้ก็ดี!”
หลี่รุ่ยเสียงตกใจอยู่ลึกๆ เขาเข้าใจความคิดของฮ่องเต้แล้ว จึงพยักหน้าอย่างระมัดระวังว่า “พ่ะย่ะค่ะ!”
พูดแล้วก็รีบออกไปถ่ายทอดคำสั่งอย่างไม่รอช้าทันที รอไม่นานเขาก็กลับมา สีหน้าฮ่องเต้ดีขึ้นเล็กน้อย จึงเกาะมือเขาพยุงตัวลุกขึ้นตรัสว่า “ไปเถอะ ไปหาฮองเฮาที่วังโซ่วคังเป็นเพื่อนข้า!”
หลี่รุ่ยเสียงประคองมือเขาออกไป สั่งให้เตรียมรถม้า แล้วทั้งคนกลุ่มก็เคลื่อนขบวนไปวังโซ่วคังอย่างยิ่งใหญ่
เวลานั้นหลัวฮองเฮายังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนเตียงอย่างเหงาหงอย สีหน้าซึมเซาเจือความเย็นชาอยู่เบาบาง
แม่นมเหลียงถือถ้วยยารออยู่ข้างๆ แม้จะเตือนนานแล้วแต่นางก็ยังไม่ยอมดื่ม แม่นมเหลียงก็ไม่กล้าฝืนใจ จึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ฮองเฮาเพคะ ถึงยังไงฮองเฮาก็ไม่ควรทำร้ายตนเองเช่นนี้ หมอหลวงกำชับมาแล้ว ยานี้ฮองเฮาต้องทรงดื่มตอนร้อนๆ นะเพคะ”
ราวกับหลัวฮองเฮาไม่ได้ยินคำพูดของนาง จึงยังคงนิ่งเงียบอยู่อีกชั่วครู่แล้วอยู่ดีๆ ก็ตรัสว่า “เจ้าว่า…ใครเป็นคนทำเรื่องนี้กันแน่?”
แม่นมเหลียงหวาดวิตก เรื่องแบบนี้นางไม่กล้าแสดงความเห็นเหลวไหล จึงอ้ำๆ อึ้งๆ เอ่ยว่า “หม่อมฉันก็ไม่ทราบเพคะ”
หลัวฮองเฮาเหมือนไม่ได้อยากฟังคำตอบของนางตั้งแต่แรก และแค่หัวเราะอย่างเย็นชาตรัสว่า “ข้ายกย่องหลัวอี้ ก็มีคนไม่พอใจ พยายามขวางข้าทุกวิถีทาง!”
“ฮองเฮา!” แม่นมเหลียงตกใจขึ้นมาทันที ยาในมือนางกระฉอกออกมา นางรีบวางลงแล้วกวาดสายตามองอย่างรวดเร็ว ถึงแม้จะรู้ดีว่าในตำหนักนี้ไม่มีคนนอก แต่ก็ยังเหงื่อตกไปทั้งตัว แล้วเข้าไปข้างเตียงของหลัวฮองเฮาอย่างร้อนรน และเอ่ยอย่างกระวนกระวายว่า “เวลานี้ฮองเฮายังไม่ค่อยมีแรง อย่าทรงคิดฟุ้งซ่านอีกเลยเพคะ”
“ข้าพูดผิดไปงั้นรึ?” แต่หลัวฮองเฮากลับไม่สนใจ นางดันตัวลุกขึ้นนั่ง สีหน้าเย้ยหยัน “นอกจากเขาแล้ว ยังมีใครที่เห็นหลัวอี้เจริญก้าวหน้าเป็นไม่ได้ขนาดนี้อีก? ตำแหน่งของตระกูลหลัวยังต้องอาศัยข้าปกป้องเอาไว้ เจ้าพวกคนเนรคุณเลี้ยงไม่เชื่องนี่คิดร้ายกับข้า หากต่อไปปล่อยให้ปีกกล้าขาแข็งจริงๆ จะไม่ถลกหนังข้ากินทั้งเป็นรึ?”
“ฮองเฮา!” แม่นมเหลียงร้อนใจ เหงื่อผุดเต็มหน้าผาก นางวุ่นวายใจจนทำอะไรไม่ถูก “ฮองเฮาอย่าตรัสเช่นนี้เลยเพคะ หากเรื่องใหญ่เช่นนี้หลุดออกไป จวนกั๋วกงคงต้องประสบภัยอันตรายถึงชีวิต ถึงแม้ว่าท่านกั๋วกงจะทำผิดอีก แต่เรื่องนี้…จะมาพัวพันกับจวนกั๋วกงไม่ได้นะเพคะ!”
ลอบสังหารผู้บัญชาการ มีโทษเทียบเท่ากบฏ นั่นคือฆ่าล้างทั้งตระกูล
หลัวฮองเฮาหมกมุ่นมากเกินไป คิดแต่ว่าฮูหยินใหญ่ตระกูลซูกำลังเจตนาตั้งตัวเป็นศัตรูกับนาง แต่ไม่ได้คิดว่าฮ่องเต้เป็นผู้มอบตำแหน่งให้ท่านกั๋วกงกับซื่อจื่อ แค่หลัวอี้คนเดียวต่อให้ตำแหน่งสูงกว่านี้แล้วจะทำอะไรได้?
ถ้าหลัวฮองเฮาเชื่ออะไรแล้ว ใครก็ไปเปลี่ยนใจไม่ได้อีกแล้ว นางโบกมืออย่างเฉยเมยตรัสว่า “เจ้าออกไปก่อน ข้ารู้อยู่แก่ใจดี”
แม่นมเหลียงรู้ว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ จึงมองนางอย่างกังวลเพียงครั้งเดียวแล้วถือถ้วยยาที่เหลือเพียงครึ่งถ้วยออกไป
—————————————————-
ทางนี้ฉู่สวินหยางออกมาจากวังแล้ว นางกลับไปที่วังบูรพาเองก่อน โดยไม่ได้รอทั้งฉู่อี้อันและฉู่ฉีเฟิงออกมา
ฉู่อี้อันนั้นต้องจัดการเรื่องทหารที่เมืองฉู่ แล้วยังต้องจัดการปัญหาที่จะตามมาเรื่องทั่วป๋าไหวอัน ฉู่ฉีเฟิงจึงอยู่ช่วยงานต่อในวัง วันนี้จึงไม่มีเวลาว่างอย่างแน่นอน
ฉู่สวินหยางหลับไปไม่นานก็ตื่นขึ้นมา สีท้องฟ้าด้านนอกเย็นมากแล้ว แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำส่องกระทบช่องหน้าต่าง แสงสีทองละมุนและอบอุ่น บรรยากาศเงียบสงบเป็นพิเศษ
ฉู่สวินหยางพลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง ชิงเถิงที่อยู่ด้านนอกได้ยินเสียง จึงยกน้ำล้างหน้าเข้ามาว่า “ท่านหญิงตื่นแล้วหรือเจ้าคะ? เมื่อครู่ท่านจวิ้นอ๋องพึ่งจะให้เจี่ยงลิ่วส่งข่าวกลับมาบอกว่ายังจัดการธุระไม่เรียบร้อย คืนนี้ท่านกับองค์ชายอาจจะต้องค้างในวังอีกคืน ให้ท่านไม่ต้องรอรับประทานอาหารเจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว” ฉู่สวินหยางตอบ นางลุกขึ้นมาล้างหน้าบ้วนปากแล้วยืดเส้นยืดสายสักหน่อย
ชิงเถิงไปสั่งให้เตรียมอาหารค่ำที่ห้องครัว ไม่นานก็เจอชิงหลัวกลับมาจากข้างนอก
ฉู่สวินหยางเห็นแล้วก็ยิ้มเล็กน้อยว่า “เป็นอะไรไป?”
“ท่านหญิง!” ชิงหลัวสองจิตสองใจ นางลังเลอยู่ชั่วครู่ถึงเอ่ยว่า “เมื่อครู่คนของจวนอ๋องหนานเหอมาส่งข่าว บอกว่าซื่อจื่ออ๋องหนานเหออยากเจอท่านเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ”
“ฉู่ฉีเหยียนหรือ?” ฉู่สวินหยางค่อนข้างประหลาดใจทีเดียว แต่ก็ยิ้มอย่างไม่สนใจทันทีเอ่ย “ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเจอกันในวังไม่ใช่หรือ? เขาจะอยากเจอข้าอีกทำไม?”
“ไม่ทราบเจ้าค่ะ คนที่มาแจ้งรีบมาก!” ชิงหลัวตอบ “บอกแค่ว่าเป็นเรื่องด่วนที่สุด จึงจำเป็นต้องเชิญท่านหญิงไปให้ได้เจ้าค่ะ”
ฉู่สวินหยางยิ้มพลางครุ่นคิด “คนที่มาล่ะ?”
“ไปแล้วเจ้าค่ะ!” ชิงหลัวตอบ นางหยุดไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อว่า “ข้าเห็นเขาทำท่าทางลับๆ ล่อๆ เลยตามเขาไปอยู่พักหนึ่ง แต่หลังจากเลี้ยวไปสามถนน คนนั้นก็เข้าไปในซอยตันแล้วก็หายไปเลยเจ้าค่ะ”
ถ้าหากเป็นคนของฉู่ฉีเหยียน พวกนางเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ถ้าอยากจะนัดเจอนางทำไมต้องทำให้ยุ่งยากแบบนี้ด้วย?
คำตอบของชิงหลัวชัดเจนมากแล้ว…
เรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง!
ฉู่สวินหยางคิดแล้วก็ลุกเดินเข้าไปด้านในว่า “เจ้าไปเตรียมตัวเถอะ เรียกชิงเถิงมาช่วยข้าแต่งตัวด้วย!”
ชิงหลัวขมวดคิ้ว “ท่านหญิงจะไปจริงๆ หรือเจ้าคะ?”
“มีคนมาขอพบด้วยความจริงใจ แต่ไหนแต่ไรมาท่านหญิงของเจ้าก็ยินดีช่วยเหลือคนอื่นให้สมปรารถนา” ฉู่สวินหยางตอบ พลางหันกลับไปยักคิ้วแล้วยิ้มให้นาง ทันใดนั้นก็นึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหยุดไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่ออีกว่า “ก่อนไปเจ้าไปส่งข่าวให้ฉู่ฉีเหยียนที่จวนอ๋องหนานเหอแทนข้าก่อน ปล่อยให้คนอื่นยืมชื่อเขาอย่างไม่มีเหตุผลมาทำร้ายคน คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างเขายังวางตัวเฉยอีก!”
บทที่ 97 โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย (4)
โดย
Ink Stone_Romance
ชิงหลัวเข้าใจแล้วจึงไม่พูดอะไรมาก แล้วพยักหน้าว่า “เจ้าค่ะ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”
เพราะว่าคนที่มาส่งข่าวบอกว่าเป็น ‘คำเชิญลับ’ ดังนั้นฉู่สวินหยางจึงออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกใคร และพาแค่องครักษ์สองคนกับสาวใช้สองคนไปด้วย เดินไปทางหอยลนทีสถานที่ที่อีกฝ่ายกำหนดมา
เวลาพลบค่ำ ท้องฟ้ามืดครึ้ม แม่น้ำไหลเชี่ยวอยู่ไกลๆ เกลียวคลื่นถาโถม พออากาศบริเวณริมแม่น้ำนี้พัดผ่านก็รู้สึกว่าอากาศยิ่งหนาวเหน็บขึ้น
ฉู่สวินหยางรวบคอเสื้อ แล้วสั่งให้ชิงเถิงรออยู่ด้านนอก ส่วนตนเองพาชิงหลัวเข้าไปทางประตูทางเข้าของหอยลนที
เวลานั้นถึงแม้แสงไฟภายในหอจะสว่างไสว แต่บรรยากาศกลับเงียบสงัด
ชิงหลัวเตรียมพร้อมจะจับกระบี่อ่อนที่เอว แต่ถูกฉู่สวินหยางห้ามไว้ พอก้าวผ่านประตูไป เถ้าแก่ที่กำลังดีดลูกคิดเสียงดังอยู่ด้านหลังก็รีบเข้ามาต้อนรับเอ่ย “โอ้ แขกทั้งสองท่านเชิญด้านใน ท่านทั้งสองต้องการสิ่งใดหรือ?”
ฉู่สวินหยางเงยหน้ามองสำรวจทุกที่และไม่เอ่ยสิ่งใด ชิงหลัวจึงตอบแทนว่า “พวกเรามาพบคน!”
“สองสามวันมานี้ร้านปิดฉลองปีใหม่ ข้าก็เพิ่งจะเปิดร้านวันนี้เอง ตอนนี้ไม่มีแขกพอดี!” เถ้าแก่ตอบกลับ
“เช่นนั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางดึงสายตากลับมา แล้วมองเขาอย่างอารมณ์ดีว่า “เช่นนั้นข้าคงมาเร็วไป เถ้าแก่ เจ้าเลือกห้องไหนก็ได้ให้ข้าสักห้อง ข้าจะรอเขาสักหน่อย!”
“ขอรับ!” เถ้าแก่รับคำ แล้วรีบนำทั้งสองคนขึ้นไปชั้นสอง เขาผลักบานประตูที่อยู่ใกล้หัวบันได และขยับตัวเปิดทางให้ฉู่สวินหยาง “เชิญท่านทั้งสองด้านใน!”
ห้องนี้ตกแต่งได้งดงามและสะอาดสะอ้านมาก ของประดับตกแต่งไม่มากนัก มองปราดเดียวก็รู้
ฉู่สวินหยางมองเข้าไปด้านใน แต่กลับไม่ยอมเดินเข้าไปข้างในสักที แล้วหันกลับมายิ้มว่า “ข้าไม่ค่อยชอบตำแหน่งของห้องนี้ อีกเดี๋ยวหากมีแขกคนอื่นมาเดินไปเดินมา คงยากที่จะหลีกเลี่ยงเสียงเอะอะโวยวาย เจ้าเปลี่ยนห้องอื่นให้ข้าเถอะ!”
“ปกติเดือนมกราคมเช่นนี้พอเข้าสู่ยามราตรีก็ไม่ค่อยมีคนแล้วขอรับ” เถ้าแก่เอ่ย พูดไปก็กลัวฉู่สวินหยางจะโต้แย้งอีก จึงรีบบอกว่า “และช่วงฤดูหนาว บริเวณริมแม่น้ำนี้ลมแรง ท่านสองคนใช้ห้องนี้เถอะ หน้าต่างห้องอื่นหันหาทางลม เสียงค่อนข้างหนวกหู”
“งั้นหรือ?” ฉู่สวินหยางยิ้มและยังเงียบไปอีกชั่วครู่ ราวกับกำลังชั่งใจบางสิ่ง หลังจากนั้นถึงจะพยักหน้าเอ่ย “ได้ ในเมื่อเจ้าว่าห้องนี้ดี งั้นก็ห้องนี้แล้วกัน!”
พูดจบก็เดินเรียงหนึ่งเข้าไปในห้องกับชิงหลัว
คล้อยหลังไป เถ้าแก่คนนั้นสีหน้าเหมือนยกภูเขาออกจากอก แล้วรีบวิ่งลงไปชั้นล่าง
ทางด้านฉู่สวินหยางกับชิงหลัวที่เพิ่งเข้าห้องมา ยังไม่ทันทำอะไรก็มีเสียงดังปังมาจากด้านหลัง ประตูห้องถูกคนปิดตายจากทั้งสองฝั่ง
ชิงหลัวจะคว้ากระบี่ที่เอวไว้ระวังภัย แต่เหมือนอีกฝ่ายเตรียมป้องกันนางเคลื่อนไหวแบบนี้เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว จึงชิงโจมตีไปที่ข้อมือของนางก่อนโดยไม่รอให้นางได้กระบี่มาอยู่ในมือ ทำให้นางเคลื่อนไหวไม่ต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันคมดาบที่สว่างราวกับหิมะของดาบยาวสองเล่มจากทางซ้ายและขวาก็จี้ไปที่ซอกคอของสองนายบ่าว
ที่แท้…
มีคนดักซุ่มอยู่หลังประตูนั้นก่อนแล้ว
อีกฝ่ายก็เป็นคนที่ฝึกฝนอย่างเข้มงวดมาตลอด พอควบคุมทั้งสองคนได้อยู่หมัดก็เอื้อมมือไปจับห่อยาสลบที่ซ่อนอยู่ตรงเอวทันที
ในเวลาเดียวกันนั้นเถ้าแก่ที่อยู่ชั้นล่างก็จงใจทำเสียงสูงทักทายว่า “โอ้ แขกท่านนี้ ร้านจะปิดแล้วขอรับ ขออภัย…”
“ข้ามาหาคน!” ฉู่ฉีเหยียนตอบกลับเสียงเย็นเยียบ ระหว่างที่เอ่ยนั้นคล้ายกับมีคนใช้กำลังผลักเถ้าแก่ออกไป เสียงฝีเท้ามุ่งไปที่ชั้นบนอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์พลิกผัน คนสองคนที่ซุ่มอยู่หลังประตูคาดไม่ถึง จึงเผลอลงมือช้าลงไปด้วย
ฉู่สวินหยางกับชิงหลัวสบโอกาส ต่างคนต่างหักศอกกระแทกทั้งสองคนนั้นจนสลบไป แล้วผลักคนไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ไม่ส่งเสียงใดออกไป
เถ้าแก่ที่อยู่ชั้นล่างลุกลี้ลุกลนตามฉู่ฉีเหยียนขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าขวางอย่างชัดเจนนัก จึงกระวนกระวายจนเหงื่อตกไปทั้งตัว
ฉู่ฉีเหยียนเดินมาหยุดอยู่นอกห้องนี้ชั่วครู่ แล้วกวาดสายตาอันเฉียบแหลมมองเถ้าแก่คนนั้น
เถ้าแก่หดคอ แค่รู้สึกว่าสายตาของเขาแหลมคมดุจดั่งมีด จึงหวาดผวาจนไม่กล้าลืมตา แล้วรีบเอ่ยอย่างเกรงใจว่า “ร้านกำลังจะปิดร้านแล้วขอรับ หากท่านอยากรับประทานอาหารเปลี่ยนไปอีกร้านดีกว่า…”
“มีแม่นางคนหนึ่งนัดเจ้านายของข้ามาเจอที่นี่ นางอยู่ไหนล่ะ?” หลี่หลินคว้าคอเสื้อของเขาเอาไว้และตวาดถามก่อน โดยไม่รอให้เขาพูดจบ
หลังจากฉู่สวินหยางเข้ามา รถม้าและองครักษ์ของนางก็ถูกคนบังคับให้ออกไปหมดแล้ว เดิมทีที่ตั้งของที่นี่นั้นไร้ที่ติ ใครจะคิดว่าจะมีคนบุกเข้ามาอย่างกะทันหัน แถมยังเป็นผู้ที่สีหน้าเย็นชาและไม่น่าเข้าใกล้เช่นนี้
ในใจของเถ้าแก่ร้องทุกข์มิรู้วาย อ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะตอบยังไงอยู่นาน
ฉู่ฉีเหยียนเหลือบมอง แล้วหลี่หลินก็ผลักเขาออกไป
ซูหว่านที่แอบอยู่ห้องข้างๆ มานานคิดไม่ถึงว่าฉู่ฉีเหยียนจะมาอย่างกะทันหัน ถึงแม้ไม่อยากสร้างปัญหาใหม่เพิ่ม แต่นางก็นั่งไม่ติดอีกต่อไปแล้ว
ทางด้านนี้หลี่หลินกำลังจะยกขาถีบประตู พลันได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ประตูห้องที่เชื่อมกับห้องข้างๆ ถูกคนเปิดจากด้านใน ซูหว่านออกมาจากข้างในด้วยสีหน้าที่พยายามฝืนยิ้มเอาไว้
นัยน์ตาฉู่ฉีเหยียนทอประกายเย็นยะเยือกเพียงชั่วครู่ แล้วทอดมองนางด้วยสายตาเย็นเยียบ
เขาไม่เอ่ยสิ่งใด ซูหว่านก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรก่อนเหมือนกัน แต่ถูกเขาจ้องระยะประชิดขนาดนี้กลับรู้สึกกลัวไม่น้อย
นางคิดว่าอำพรางได้ดีมากแล้ว แต่ฉู่ฉีเหยียนก็ยังสังเกตเห็นนัยน์ตาแวววาวของนาง
เขาก้าวไปหาแล้วเอ่ยถามก่อนว่า “เจ้าเป็นคนนัดข้าหรือ?”
ซูหว่านนิ่งอึ้งไป…
นางไม่รู้ว่านี่มันเรื่องอะไรกันแน่ แต่เมื่อเจอฉู่ฉีเหยียนแล้ว ถึงอยากจะตบตาคงทำได้ไม่ง่ายนัก ดังนั้นจำเป็นต้องฝืนตอบไปว่า “ใช่! เรื่องในวังก่อนหน้านี้ข้าบุ่มบ่ามไป ดังนั้นจึงตั้งใจอยากจะขอโทษต่อหน้าเจ้า!”
ตอนที่นางพูดไม่ได้ห้ามเถ้าแก่อยู่ตรงนี้ด้วย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า…
คนที่นี่ถูกเปลี่ยนเป็นคนของนางหมดแล้ว
ซูหว่านนัดเขาหรือ? แถมยังใช้ชื่อของฉู่สวินหยางด้วย? ยังไงฉู่ฉีเหยียนก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
หากเวลานี้ยังมองไม่ออกอีก เขาก็ไม่ต้องมาวุ่นวายแล้ว
“ไม่จำเป็น!” ฉู่ฉีเหยียนตอบ เขามองนางอย่างเฉยเมย แล้วหันตัวจากไป
ซูหว่านถูกเขาเมินอีกครั้ง จึงรู้สึกรับไม่ได้ไปชั่วขณะ นางรีบคว้าแขนเสื้อเขาไว้ แล้วเอ่ยเสียงสะอึกสะอื้นว่า “เจ้าไม่อยากเจอข้าขนาดนี้เลยหรือ? จะคุยกับข้าสักหน่อยไม่ได้หรือ?”
องครักษ์ที่ปลอมเป็นเถ้าแก่คนนั้นรู้ตัวดีจึงถอยออกไป
ฉู่ฉีเหยียนมองนางอย่างเย็นชา ความรู้สึกเดียวที่เห็นได้จากสายตาเย็นยะเยือกมีแค่เยาะเย้ยเท่านั้น แล้วเขาก็สะบัดมือนางทิ้งอย่างแรงโดยไม่บอกกล่าวแม้แต่คำเดียว “โปรดระมัดระวังการกระทำและคำพูดของเจ้าด้วย อย่าให้ข้าต้องพูดเรื่องนี้เป็นรอบที่สาม!”
เอ่ยจบก็เดินลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็วและไม่หันกลับมามองอีกเลย
ฉู่สวินหยางเป็นคนนัดเขา เรื่องนี้เชื่อได้อย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นเล่นลูกไม้อะไรกันแน่ แต่เขามีลางสังหรณ์ว่า…
เวลานี้นางก็น่าจะอยู่แถวๆ นี้!
ตอนนี้ในใจฉู่ฉีเหยียนพลันสัมผัสได้ถึงเงื่อนงำบางอย่างอย่างแรงกล้า…
ฉู่สวินหยางอยากยืมมือซูหว่านเล่นลูกไม้อะไร เขากลับไม่ได้สนใจมากนัก แต่ที่น่าประหลาดใจมากคือ…
เขาไม่อยากให้นางเห็นความสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิงระหว่างตนเองกับซูหว่านมาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่ความรู้สึกของซูหว่านเพียงฝ่ายเดียวก็ตาม
ซูหว่านถูกเขาสลัดทิ้งเหมือนหนีเชื้อโรคอีกครั้ง ความโกรธแค้นในใจพลันปะทุขึ้นมาท่วมท้น
เขาไม่ยอมช่วยนางก็แล้วไป แต่จะไม่ให้เหลือแม้แต่ความรู้สึกดีๆ ไว้สักนิดเลยจริงๆ งั้นหรือ? หลบแบบนี้ก็เกรงว่าจะไม่ทันแล้ว จึงคิดแต่จะสะบัดนางทิ้งเหมือนผ้าขี้ริ้วเท่านั้น!
จะให้นางยอมได้ยังไง?
“ฉู่ฉีเหยียน!” นางตามไปยืนอยู่บนหัวบันไดแล้วมองลงไปด้านล่าง พลางเอ่ยเสียงดังจนแทบจะเหมือนกับคลุ้มคลั่งว่า “หากวันนี้เจ้ากล้าเดินออกไปจากที่นี่ก็อย่ามาเสียใจภายหลัง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ วันนี้ข้าจะทำให้ชื่อเสียงเจ้าป่นปี้ให้ได้!”
ฉู่ฉีเหยียนรู้จักนางดี พอได้ยินแล้วก็แค่หัวเราะเยาะ และยังคงไม่หยุดเดิน
เปลวไฟแห่งความโกรธคุโชนในดวงตาของซูหว่าน สายตาจับจ้องภาพเงาด้านหลังของเขาอย่างแน่วแน่ แล้วเอ่ยอย่างเกลียดชังทีละคำว่า “เจ้าไม่กลัวข้าเอาเรื่องที่เจ้ายุยงให้ข้าลงมือจัดการฉู่หลิงซิ่วไปบอกพี่ชายข้าหรือ?”
ฉู่ฉีเหยียนหยุดฝีเท้าในทันใด