สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 10.1
สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 10.1 ชื่อเสียงป่นปี้ (1)
บทที่ 10 ชื่อเสียงป่นปี้ (1)
โดย
Ink Stone_Romance
ภายในห้องทรงอักษร
การเผชิญหน้ากันของจวนติ้งเป่ยโหวและจวนอ๋องหนานเหอ
ฮูหยินแซ่จางหยิบผ้าเช็ดหน้าปกปิดดวงตาที่แดงก่ำ ร้องไห้กล่าวทุกข์อย่างน้อยใจมาครึ่งชั่วยามแล้ว
“ฝ่าบาทเพคะ ลูกชายของหม่อมฉันตายอย่างไม่เป็นธรรม ขอฝ่าบาทได้โปรดตัดสินพระทัย คืนความเป็นธรรมให้แก่พวกเราสกุลจางด้วยนะเพคะ!” ฮูหยินแซ่จางกล่าว ร้องไห้จนอ่อนแรงพลางกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง “พวกเราสกุลจางสายตรงเหลือผู้สืบทอดเพียงสองคนเท่านั้น ปีนั้นพ่อสามีมาด่วนจากไปเสียก่อน จึงเหลือเพียงนายใหญ่โหวเพียงคนเดียว ตอนนี้เจี่ยนเอ๋อร์ยังมาถูกคนทำร้ายเช่นนี้ ภายภาคหน้าหากพวกเราสองสามีภรรยาไปสู่ปรโลกแล้วคงไม่มีหน้าไปพบเขาเป็นแน่เพคะ!”
ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ สกุลจางก็เพียงอ้างผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ส่วนตัวของฝ่าบาทเท่านั้น
หลายปีมานี้ เพื่อที่ว่าฮ่องเต้จะไม่สูญเสียชื่อเสียงในด้านการทดแทนบุญคุณ เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับสกุลจาง เขาจึงทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอยู่บ้าง มาวันนี้ก็เริ่มหงุดหงิดใจ ทั้งเวลานี้ฮูหยินจางยังนำเรื่องที่พ่อสามีเคยช่วยเหลือเขามากดดัน เพื่ออยากให้เขาคืนความเป็นธรรมให้จางอวิ๋นเจี่ยน
ฮ่องเต้มีสีหน้าไม่ยินดี ยังคงสดับรับฟังอย่างเงียบๆ ไม่พูดจาอันใด
จางติ่งก้มหัวลงคุกเข่าอยู่ข้างฮูหยินแซ่จาง ตั้งแต่เริ่มก็ไม่ได้ส่งเสียงสักแอะ แท้ที่จริงเขาก็ไม่เห็นด้วยที่จางฮูหยินจะมาเอะอะอย่างนี้ ทว่าเมื่อคิดว่าลูกชายอาจจะถูกฉู่หลิงอวิ้นผู้หญิงอสรพิษคนนั้นทำให้ตาย หัวใจเขาก็เหมือนถูกมีดกรีด ดังนั้นจึงกัดฟันยอมมาให้รู้แล้วรู้รอดไป
ในที่สุดฮ่องเต้ก็เริ่มหน่ายกับเสียงร้องไห้ของฮูหยินแซ่จาง ใช้สายตาเย็นเยียบมองไปที่จางติ่ง “ติ้งเป่ยโหว สิ่งที่ฮูหยินพูดมาทั้งหมดเป็นจริงหรือ? เจ้าก็คิดว่าเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
ในใจของจางติ่งตุ๊มๆ ต่อมๆ เดิมทีก็กำลังเหม่อลอยอยู่ เมื่อฟังจบจึงรีบพยักหน้ารับ “ฝ่าบาท สกุลจางของข้าเดิมทีก็ไม่ได้แข็งแกร่งอันใด มาวันนี้เกิดเหตุร้ายขึ้นเช่นนี้ กระหม่อมก็รู้ว่าฝ่าบาทมีราชกิจมากมาย ไม่ควรจะเอาเรื่องของสกุลจางมาเพิ่มความลำบากให้พระองค์ แต่ว่านี่…”
ในขณะที่เขาพูดก็เผยสีหน้าลำบากใจชั่วครู่ “ฮูหยิน หากนางไม่ได้ข้อสรุป ก็จะไม่ยอมอะไรทั้งนั้น ท่านหญิงอันเล่อเป็นคนของราชวงศ์ กระหม่อมก็มิบังอาจ จึงอยากจะขอให้ฝ่าบาทช่วยตัดสินพระทัยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮูหยินแซ่จางถึงแม้จะมีอำนาจ แต่ก็ไม่ใช่เป็นคนที่ไร้สมอง หากไม่ได้มีอะไรอยู่ในใจ นางก็คงไม่กล้าเอาเรื่องนี้มาโวยวายอย่างแน่นอน
ฮ่องเต้เห็นสองสามีภรรยาคู่นี้ตัดสินใจแน่วแน่อย่างไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ในใจก็เริ่มเกิดความรู้สึกยุ่งยากที่กำลังจะตามมา
หลี่รุ่ยเสียงก้าวไปด้านหน้านวดขมับให้เขา
ผ่านไปสักครู่ เย่าสุ่ยก็เดินเข้ามาจากด้านนอก กล่าวรายงาน “ฝ่าบาท ท่านหญิงอันเล่อมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ ยังมี…”
เวลานี้ฮ่องเต้กำลังหงุดหงิดใจ จึงไม่รอให้นางพูดจบก็โบกมือ “ให้เข้ามา!”
คำพูดของเย่าสุ่ยถูดขัดไว้ในลำคอ เหลือบสายตามองไปยังหลี่รุ่ยเสียง ก่อนจะถอยออกไปอย่างเงียบเชียบ
หลังจากนั้นสักพัก ด้านนอกก็ปรากฏเสียงฝีเท้าดังขึ้น
ฮูหยินแซ่จางที่กำลังร้องไห้ราวจะขาดใจก็เริ่มมีสติขึ้นมา หันศีรษะไปอย่างทันที เมื่อเห็นฉู่หลิงอวิ้นเดินตามเย่าสุ่ยมาด้านหลัง ไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็กระโจนเข้าใส่ ก่อนที่ผู้อื่นจะตระหนักได้ นางก็ตบอีกฝ่ายไปสี่ห้าครั้งแล้ว ทั้งยังกัดฟันด่าด้วยความโมโหไปพลาง “นังสารเลว!”
ที่นี่เป็นห้องทรงอักษรของฮ่องเต้ ใครก็ไม่คาดคิดว่านางจะกล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้งในสถานที่แบบนี้
ฉู่หลิงอวิ้นถูกนางตบจนสับสนมึนงง เพียงแต่รู้สึกปวดแสบที่ใบหน้ายิบๆ ครึ่งค่อนวันสติก็ยังไม่กลับคืนมา จนกระทั่งได้ยินเสียงเย่าสุ่ยร้องเรียกคนขึ้นมาเพื่อช่วยดึงฮูหยินแซ่จางเอาไว้ด้วยความตกใจ “บังอาจ! ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท ยังกล้าลงมือถึงเพียงนี้!”
“นางฆ่าลูกข้าของข้า นังสารเลวคนนี้ เป็นนางที่สังหารลูกข้า!” ฮูหยินแซ่จางที่ถูกคนดึงเอาไว้ยังคงตะโกนร่ำไห้ พยายามจะเข้าไปตบตีฉู่หลิงอวิ้นอีก
คนแซ่เจิ้งเดินเข้ามาด้วยกันกับฉู่หลิงอวิ้น เมื่อครู่ก็ตกใจจนมึนงง ตกตะลึงอยู่นาน จนเวลานี้สติก็ยังไม่กลับคืนมา
ตอนที่ฮูหยินจางโกรธเกรี้ยวอย่างบ้าคลั่ง ด้านหลังกลับมีคนเปล่งน้ำเสียงเยือกเย็นที่น่าเกรงขามขึ้นมาด้วยเสียงดัง “บังอาจ! คนแซ่หลิวเจ้ากล้ายิ่งนัก ต่อพระพักตร์ฝ่าบาท สมควรที่จะไร้มารยาทมุทะลุเช่นนี้หรือ? ในสายตาของเจ้ายังมีฝ่าบาทอยู่หรือไม่ รวมทั้งข้ายังอยู่ในสายตาของเจ้าหรือไม่?”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ก็ตะลึงไป เมื่อมองไปตามเสียง จึงพบว่าหลัวฮองเฮาก็ตามมาเช่นกัน
นางอยู่ในอาการป่วย มองดูแล้วคล้ายยังอ่อนแรง เวลานี้กลับหน้านิ่วคิ้วขมวดกล่าวไปที่ฮูหยินแซ่จางด้วยความโมโห
ฮูหยินแซ่จางถึงแม้จะโมโหแต่ก็ไม่ถึงกับอยากจะเอาชีวิตไปทิ้ง เมื่ออาศัยด้วยเหตุผลของตน บวกกับความโกรธที่พุ่งขึ้นหน้าจึงพลั้งลงมือไป เวลานี้เห็นหลัวฮองเฮาโมโห เหงื่อจึงซึมทั่วร่างไปชั่วขณะ คุกเข่าลงอย่างลุกลนด้วยใบหน้าที่ซีดเผือด “กระหม่อมผิดไปแล้วเพคะฮองเฮา กระหม่อม…กระหม่อมเพียงแต่โมโหขึ้นมาชั่วขณะ…”
“อะไรคือโมโหขึ้นมาชั่วขณะ ข้าเห็นได้ชัดว่าเจ้าคิดไม่ซื่อ ไม่เห็นข้าและฝ่าบาทอยู่ในสายตา!” หลัวฮองเฮากล่าวด้วยความโกรธ ชี้นิ้วที่สั่นไหวไปทางนาง “ต่อหน้าข้าเจ้ายังกล้าลงมือกับหลานสาวข้าอย่างนั้นรึ? บังอาจยิ่งนัก!”
ในขณะที่นางพูด ก็ใช้สายตาดุดันกวาดไปทางจางติ่งที่รีบเข้ามาดึงฮูหยินแซ่จางที่ด้านหลัง “สกุลจางของพวกเจ้าช่างยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน หากไม่รู้ก็คิดว่าทั่วทั้งใต้หล้าคงต้องทำตามสกุลจางของพวกเจ้า!”
คำพูดนี้เมื่ออกมานับว่าเรื่องร้ายแรงขึ้นแล้ว
ทั้งจางติ่งและฮูหยินพลันเข่าอ่อนโดยพลันคุกเข่าลงมาทันที
“ขอฝ่าบาทฮองเฮาโปรดเมตตา!” จางติ่งรีบหมุนกายก้มหัวไปยังฮ่องเต้ที่นั่งด้านหลังด้วยความอลหม่าน “ภรรยาของกระหม่อมไม่รู้จักสูงต่ำ ไม่ทำตามกฎระเบียบ กระหม่อมไร้ความสามารถที่จะสอนสั่ง กระหม่อมยินดีรับโทษ แต่ขอฝ่าบาทได้โปรดเมตตา ไม่เอาความกับนางที่มีความรู้ต่ำกว่าด้วย!”
ระหว่างที่พูดเขาก็ลอบดึงตัวฮูหยินแซ่จางครั้งหนึ่ง
ฮูหยินแซ่จางถูกพุ่งเป้ามาจึงมึนไปชั่วครู่ ครั้งที่แล้ว นางเข้ามาอาละวาดในวังเพื่อกดดันให้ฮ่องเต้พระราชทานสมรสฉู่หลิงอวิ้นให้แก่ลูกชาย เวลานั้นฮ่องเต้เพียงด่าไม่กี่ประโยคก็ตอบรับแล้ว จากครั้งนั้นเป็นต้นมาความกล้าของนางก็มีมากขึ้น ครั้งนี้จึงกล้าเหิมเกริมขนาดนี้ ขณะนี้ถูกหลัวฮองเฮาทุบหัวอย่างแรงจึงค่อยดึงสติกลับมา…
ฮ่องเต้ก็ยังคงเป็นฮ่องเต้ เพียงอาศัยการกระทำจากนางเมื่อครู่ ฮ่องเต้สั่งให้ลากนางออกไปตัดหัวก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
“เป็นกระหม่อมที่ไร้มารยาท…กระหม่อมสมควรตาย…กระหม่อมสมควรตาย ขอฝ่าบาทโปรดลงโทษเพคะ!” ในใจของฮูหยินแซ่จางหวาดกลัวจึงหมอบคลานโขกหัวกับพื้นอยู่อย่างนั้น ผ่านไปสักครู่หน้าผากก็กลายเป็นสีม่วงช้ำ
ทางด้านของคนแซ่เจิ้งที่เห็นลูกสาวถูกตบจนแก้มบวม น้ำตาก็ร่วงลงทันที ในใจรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก กล่าวด้วยเสียงเบา “เป็นอย่างไรบ้าง? เจ็บหรือไม่? เจ้าอดทนไว้ก่อนนะ เดี๋ยวแม่จะตามหมอมาดูให้เจ้า”
ฉู่หลิงอวิ้นก็ยังคงอึ้งงุนงงอยู่ วันนี้นางรู้สึกว่าเป็นวันที่นางพบกับเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต จู่ๆ ก็ถูกคนสกุลจางโจมตีกระหน่ำตบ ราวกับทั้งชีวิตนี้ได้รับความอัปยศอดสูพร้อมกันภายในวันเดียว
เวลานี้เส้นผมที่ยุ่งเหยิง นางก็ไม่มีกะจิตกะใจจัดแต่งแล้ว เพียงแต่ใช้ดวงตาที่คลอเคล้าด้วยน้ำตามองไปทางฮ่องเต้ที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทรงอักษร ก่อนจะคุกเข่านั่งลงไป “หลานคารวะเสด็จปู่ ไม่ทราบว่าเสด็จปู่ตามหลานมาอย่างเร่งร้อนมีรับสั่งอันใดหรือเพคะ?”
“เจ้ายังเสแสร้งอยู่อีกหรือ?” ฮูหยินแซ่จางทนไม่ได้จึงเอ็ดออกไป แต่เมื่อจะเปิดปากออกไปอีกครั้งก็ถูกจางติ่งดึงไว้ นางจึงหยุดปากเอาไว้ น้ำตาที่เอ่ออยู่ก็ไหลลงมาทันที กล่าวกับฝ่าบาทที่อยู่หลังโต๊ะทรงอักษร “ฝ่าบาท ท่านหญิงอันเล่อและคนของนางสังหารลูกชายของข้า นางฆ่าลูกชายของข้า! ขอฝ่าบาทได้โปรดตัดสินพระทัย คืนความเป็นธรรมให้แก่พวกเราสกุลจางด้วยเพคะ!”
ฉู่หลิงอวิ้นยังไม่ทันได้กล่าวอะไรคนแซ่เจิ้งก็รู้สึกไม่ยินดีขึ้นมาแล้ว นางก้าวไปด้านหน้า คุกเข่ากล่าวกับฮ่องเต้
“ฝ่าบาท จางอวิ้นเจี่ยนผู้นั้นพลัดตกน้ำ เรื่องนี้หากจะพูดแล้วซื่อจื่อติ้งเป่ยโหวก็เห็นกับตาตัวเองอยู่เหมือนกัน คนสกุลจางกลับพูดจามั่วซั่วไม่คำนึงถึงความจริง สาดน้ำสกปรกมายังอวิ้นเอ๋อร์ ฝ่าบาท ได้โปรดตัดสินแทนอวิ้นเอ๋อร์ด้วยเพคะ!”
“ตัดสิน? เจ้ายังกล้าพูดว่าตัดสินงั้นรึ?” ฮูหยินแซ่จางอดไม่ได้ที่จะโมโหขึ้นมา
ฮ่องเต้มองทั้งสองคนโต้เถียงกัน ใบหน้าจึงเผยสีดำราวกับเขม่าก้นหม้อตั้งนานแล้ว
ท่าทีของหลัวฮองเฮาเห็นได้ชัดว่ากำลังช่วยฉู่หลิงอวิ้นด้านนั้นอยู่ เขาจึงส่งเสียงขึ้นจมูกกล่าวไป “คนแซ่หลิว หากจะกล่าวหาก็ต้องมีหลักฐาน ในเมื่อเจ้ามั่นใจว่าฉู่หลิงอวิ้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของจางอวิ๋นเจี่ยน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องนำหลักฐานมาแสดงให้คนเชื่อให้ได้ มิเช่นนั้น…โทษกล่าวร้ายแก่ราชวงศ์อย่างไรเจ้าก็หนีไม่พ้น!”
จากความคิดของนาง ฉู่หลิงอวิ้นตอนแรกที่แต่งให้กับจางอวิ๋นเจี่ยนก็ไม่ได้มีท่าทีเต็มใจ ทั้งในความคิดของคนปกติ…
การที่ฉู่หลิงอวิ้นจะสังหารจางอวิ๋นเจี่ยนสำหรับนางแล้วก็ไม่มีผลดีสักนิด
หลัวฮองเฮาไม่เชื่อ ไม่สมเหตุสมผลเลยแม้แต่น้อย
“กระหม่อมมีหลักฐานแน่นอน!” แววตาของฮูหยินแซ่จางสั่นสะท้าน รีบร้อนเช็ดน้ำตากล่าว “ขอฝ่าบาทและฮองเฮาอนุญาตให้กระหม่อมพาตัวพยานเข้ามาด้วยเพคะ”
หลัวฮองเฮามองไปทางฮ่องเต้ที่อยู่หลังโต๊ะทรงอักษร ฮ่องเต้นั้นเบนตาไปทางอื่นอย่างหงุดหงิดใจ
ความคิดของเขาและหลัวฮองเฮาขัดแย้งกัน…
พูดว่าฉู่หลิงอวิ้นทำอะไรเขาย่อมเชื่อ แน่นอนว่า ก่อนที่หลักฐานจริงๆ จะออกมาก็ยังไม่ขจัดความเป็นไปได้ที่นางจะถูกคนวางแผนใส่ร้ายออก
หลัวฮองเฮาพยักหน้าเล็กน้อย
แม่นมเหลียงรับปากก่อนจะออกไป ผ่านไปไม่นานก็นำบ่าวและสาวใช้สกุลจางเข้ามา
ทุกคนล้วนแต่ก้มหน้าหลบตา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจมองไปที่ใต้อิฐทองตรงที่นั่งของฮ่องเต้…
——————————