สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 11.1
สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 11.1 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (1)
บทที่ 11 หวงจ่างซุนตายแล้ว! (1)
โดย
Ink Stone_Romance
การตัดสินใจของฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาต่างไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนตระกูลจางแม้แต่น้อย เพียงแต่…
เพื่อเป็นการไว้หน้าของฮองเฮาและความหน้าเลือดของพวกเขาแต่ละคนแล้ว ฉู่หลิงอวิ้นจำเป็นต้องตาย!
คนแซ่เจิ้งคิดที่จะจู่โจมเข้าไปแต่กลับถูกคนติดตามของเย่าสุ่ยฉุดรั้งตัวไว้ทำให้นางไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืน
ทั้งหมดดูราวกับว่าเป็นเรื่องที่ถูกจัดฉากไว้ ทันใดนั้นข้างนอกก็มีขันทีคนหนึ่งสีหน้าหวาดกลัววิ่งตุปัดตุเป๋เข้ามาแล้วเขาก็ลื่นล้มลงไปกองบนพื้นน้ำเสียงโศกเศร้าพลางพูด “ฝ่าบาท ฮองเฮา ยะ…แย่แล้ว! หวงจ่างซุน…หวงจ่างซุนเกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”
วันนี้เวลาเช้าตรู่ กระทรวงราชทัณฑ์ส่งคนไปคุ้มกันและนำตัวฉู่ฉีฮุยที่ถูกเนรเทศออกจากเมืองหลวง
ขันทีคนนั้นแสดงสีหน้าตระหนกตกใจและหวาดกลัวสุดขีด เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก
ในสถานที่เกิดเหตุทุกคนต่างตกตะลึง
คนแซ่เจิ้งชำเลืองมองเป็นครั้งคราว รอโอกาสตอนที่เย่าสุ่ยเผลอไผล รีบจู่โจมเข้าไปผลักเหล้าพิษที่อยู่ในมือแม่นมเหลียงพลิกคว่ำตกลงพื้น ฉู่หลิงอวิ้นก็ถูกคนแซ่เจิ้งผลักล้มลงไป นางประคองลำคอสำลักออกมาแทบเป็นแทบตาย
“อวิ้นเอ๋อร์…อวิ้นเอ๋อร์…” คนแซ่เจิ้งขวัญหนีดีฝ่อ อีกทั้งยังไม่กล้าตะโกนร้องโหวกเหวก เพียงแต่กอดอุ้มฉู่หลิงอวิ้นไว้แน่น
“ท่านแม่! ท่านแม่!” ฉู่หลิงอวิ้นน้ำตาไหลพราก ร่างกายอ่อนปวกเปียกซบอยู่ในอ้อมกอดของนาง ใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่คว้าไหล่คนแซ่เจิ้งราวกำลังคว้าฟางเส้นสุดท้าย เล็บมือนางจิกคนแซ่เจิ้งทำให้นางพลอยเจ็บปวดเหงื่อไหลท่วมตัว
เมื่อครู่เหล้าพิษที่อยู่ในมือของแม่นมเหลียงได้หกเข้าไปในปากของนาง เดิมทีพยามยามจะดิ้นรนเอาชีวิตรอดโดยการกระฉอกเหล้าพิษออกมา นางรู้สึกว่าตนเองกลืนเหล้าลงไปนิดเดียว แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้กลืน ทว่าครั้งนี้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ทำให้นางมักรู้สึกว่าลำคอแสบร้อนราวกับถูกเผาไหม้
“ท่านแม่ ข้า…ข้ากลัว!” ฉู่หลิงอวิ้นฉายแววตาหวาดกลัว น้ำเสียงสั่นเครือ ทั้งร่างกายและจิตใจต่างก็สั่นสะท้าน
นี่เป็นครั้งแรกที่นางถูกขู่กระโชกจะฆ่าให้ตาย ความรู้สึกนี้ราวกับยืนอยู่บนเส้นด้ายแห่งความตายที่ไร้สิ้นกำลังจะดิ้นรนต่อสู้…
ช่างน่าหวาดกลัวยิ่งนัก!
พอนึกถึงว่าหากนางดื่มเหล้าพิษจนตัวตายก็รู้สึกขนลุกขนชันไปทั่วตัวราวกับจะบ้าคลั่ง
ฮ่องเต้จ้องมองนางด้วยแววตาเดียดฉันท์ คราวนี้กลับช่วยอะไรนางไม่ได้ กล่าวด้วยใบหน้าเย็นชาถามขันทีคนนั้นว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“ขณะหวงจ่างซุนกำลังจะถูกนำตัวไป ระหว่างทางถูกปองร้ายพ่ะย่ะค่ะ…” ขันทีคนนั้นกราบทูลหมอบต่ำดูไร้เรี่ยวแรง นิ่งชะงักไปนาน สุดท้ายเขาก็กัดฟันพูดเหงื่อไหลพรากน้ำตานอง “ถูกคนร้ายลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ!”
ร่างกายของฮ่องเต้สั่นเทา
สีหน้าคนอื่นๆ ต่างตกตะลึง
ฉู่อี้หมินแสดงออกชัดเจนสูดลมหายใจเข้าลึก ยากจะทนไหวก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวฉุดกระชากขันทีคนนั้นขึ้นมาจ้องสายตาของขันทีพลางถาม “เจ้าว่าอะไรนะ? พูดอีกทีซิ? เกิดอะไรขึ้นกับฉู่ฉีฮุย?”
ฉู่ฉีฮุยเป็นลูกชายคนโต เดิมทีถูกลดฐานะให้เป็นสามัญชนธรรมดา เช่นนี้มิเท่ากับเปล่าประโยชน์หรอกหรือ
แต่ตอนนี้เขาตายแล้ว!
ฉู่อี้หมินไม่สามารถยั้งคิดชั่งใจต่อสถานการณ์เหล่านี้ได้ สายตาเปล่งประกายร้อนรุ่ม
“หวงจ่างซุนตายแล้ว!” ขันทีคนนั้นพูดขึ้นอีก เขาเกรงกลัวขนาดจะร้องไห้ออกมา
สายตาของเขามองผ่านฉู่อี้หมินไปพลางหันไปมองฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ข้างหลัง สีหน้าอมทุกข์ เปิดปากพูดอีกว่า “อยู่บริเวณห่างจากโรงเตี๊ยมไปประมาณยี่สิบลี้ กลุ่มทหารที่รับผิดชอบคุ้มกันหวงจ่างซุนออกจากเมืองก็ถูกฆ่าตายหมดเหมือนกัน ผู้บัญชาการประจำเมืองนั้นได้นำร่างหวงจ่างซุนส่งกลับมาที่นี่แล้วพ่ะย่ะค่ะ…”
ขณะที่ขันทีคนนั้นกำลังเล่าเรื่อง เขาก็หันหน้ามองออกไปยังนอกตำหนักโดยไม่รู้ตัว
ซากศพถูกนำกลับมาแล้วแสดงว่าเขาตายไปแล้วจริงๆ
แม้นว่าไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งกับฉู่ฉีฮุยมากนัก แต่นั่นก็เป็นหลานแท้ๆ ของเขาเอง ฮ่องเต้และหลัวฮองเฮาตกใจเป็นอย่างมาก สีหน้าหม่นหมอง ไม่อาจทราบได้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ฉู่อี้หมินแววตาวูบไหว ก่อนจะถลากายออกไปด้านนอก ไม่นานนักก็ย้อนกลับมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
หลัวฮองเฮามองดูเขา นัยน์ตาไม่อาจบ่งบอกได้ว่ามีความหวังอยู่หรือไม่
ฉู่อี้หมินเพียงแต่ส่ายหน้าให้หลัวฮองเฮาและถอนหายใจพลางพูด “เสด็จพ่อ เสด็จแม่ กระหม่อมขอแสดงความเสียใจด้วยพ่ะย่ะค่ะ เด็กคนนั้น…ได้จากไปแล้ว!”
ฮ่องเต้ที่นิ่งเงียบมาโดยตลอดทันใดนั้นก็หลับตาลง หลังจากนั้นไม่นานขณะที่กำลังจะลืมตาสีหน้าก็ยังไม่มีความรู้สึกที่ผิดแปลกไปจากเดิม เพียงแต่โบกมือพลางกล่าวว่า “พวกเจ้าออกไปเถอะ!”
ฮ่องเต้ไม่เอ่ยถึงประเด็นเรื่องของฉู่หลิงอวิ้น คนแซ่เจิ้งสองแม่ลูกราวกับฝันไปว่าได้รับประทานอภัยโทษ รีบร้อนประคองกันลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
ในใจของฉู่อี้หมินกลับรู้สึกคันไม้คันมือไม่พอใจเป็นอย่างมาก
ฉู่ฉีฮุยถูกลอบสังหาร เรื่องนี้ช่างหน้าพิศวงยิ่งนัก จะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างแน่นอน
คนไร้ค่าที่ถูกถอดถอนยศถาบรรดาศักดิ์เช่นเขา ใครกล้าลงมือฆ่าหมายเอาชีวิตได้ลงคอ?
ไม่ต้องพูดก็เห็นชัดว่า…
มีเพียงคนเดียวที่มีเหตุจูงใจและเหตุผลที่ต้องระวังเขาเช่นนี้ก็คือ…
ฉู่ฉีเฟิงเพียงคนเดียวเท่านั้น!
ฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับฉู่ฉีเฟิง ผ่านมาหลายปีก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง โอกาสที่หาได้ยากและมีค่าเช่นนี้ ปรากฏให้เห็นด้วยตาแล้ว ฮ่องเต้ไม่สามารถนิ่งเฉยจึงพูดเลี่ยงๆ ไม่กี่ประโยคออกไป
หากทำให้ฮ่องเต้ระแวงใจ ฉู่ฉีเฟิงก็คงไม่เป็นที่โปรดปรานอีกต่อไป…
ภายภาคหน้าตำหนักบูรพาก็ไม่เหลือผู้รับตำแหน่งแล้ว ทุกอย่างก็จบสิ้น
“ท่านพ่อ…” ฉู่อี้หมินพินิจคำพูดที่เขาจะพูดออกมา พอกำลังจะอ้าปากพูดก็เหลือบไปเห็นเงาสลัวของคนคนหนึ่งที่อยู่ภายใต้แสงไฟตรงหน้าประตู เป็นฉู่ฉีเหยียนที่กำลังยืนอยู่ตรงนั้น
เขาไม่ได้รับเชิญจากฮ่องเต้แต่เขาเข้ามาโดยพลการ ส่งกระแสจิตไปยังฉู่อี้หมินแต่ไกลเพื่อไม่ให้เขาบุ่มบ่าม
โอกาสดีมาถึงแล้วเหตุใดจึงคิดจะยอมแพ้ ในใจฉู่อี้หมินรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก แต่เพราะถูกรบกวนจึงไม่ทันระวัง ทำให้ฮ่องเต้มองเลยเขาออกไปข้างนอกตำหนักโดยไม่รู้ตัว
“เสด็จปู่!” ฉู่ฉีเหยียนโค้งตัวคำนับแล้วถอยหลังไปหนึ่งก้าว
ฮ่องเต้เพียงแต่มองเขาแวบหนึ่งแล้วถอนหายใจ พระองค์ให้หลี่รุ่ยเสียงพยุงมือเสด็จกลับไป…
ฉู่หลิงอวิ้นเกิดเรื่องเดือดร้อน ฉู่ฉีเหยียนเข้าวังมาดูลาดเลาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็ไม่แปลกใจ
จากนั้นแม่นมเหลียงก็ประคองมือหลัวฮองเฮาแล้วเดินออกจากตำหนักไป
คนแซ่เจิ้งจับตัวฉู่หลิงอวิ้นรออยู่ด้านข้าง เพราะเมื่อครู่คนที่ลงมือกับฉู่หลิงอวิ้นก็คือฮองเฮา ครั้งนี้นางได้เจอกับยายเฒ่าคนนี้ก็รู้สึกเยือกเย็นในใจ เพียงแค่พยายามสงบสติอารมณ์พลางพูดอย่างใจเย็นว่า “เสด็จแม่…”
ผ่านเรื่องราวครั้งนี้ไปหลัวฮองเฮาก็ระแวดระวังฉู่หลิงอวิ้นมากขึ้น เพระนางมองสองแม่ลูกคู่นั้นเย็นชาพลางพูด “ทำตามรับสั่งครั้งก่อน ในส่วนของฮองเต้ พอตกดึกก็ส่งนางกลับไปซะ!”
เมื่อครู่ฮองเฮากำลังโกรธกริ้วก็เกิดความอาฆาตมาดร้าย เพียงแต่ฉู่หลิงอวิ้นลึกๆ เป็นคนที่นางเห็นมาตั้งแต่เล็กจนโต อีกอย่างทั้งสองคนก็เป็นหลานแท้ๆ หากว่านางยังพยายามจะส่งคนไปลอบสังหาร หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะทำให้เสียชื่อเสียง
“เสด็จแม่…” คนแซ่เจิ้งคิดไม่ถึงว่านางยังไม่สามารถวางใจได้ นางรีบเรียกขาน
“จงไปทำตามที่ข้าสั่ง!” หลัวฮองเฮาตัดบทนางอย่างหุนหัน รับสั่งแค่คำเดียวก็หันหลังเสด็จออกไป
“เสด็จ…” คนแซ่เจิ้งไม่อาจทอดทิ้งลูกสาวแท้ๆ ของนางได้ รีบร้อนจะตามไปขอร้อง แต่กลับถูกฉู่อี้หมินรั้งไว้ แล้วตักเตือนอย่างเยือกเย็นว่า “ยังอับอายขายขี้หน้าไม่พอหรืออย่างไร? ไปซะ!”
ขณะที่พูดก็ฉุดกระชากแล้วผลักนางกระเด็นออกไป แล้วฉู่อี้หมินก็กระฟัดกระเฟียดสะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
คนแซ่เจิ้งสีหน้าเปี่ยมด้วยความรีบร้อนจิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่ายรีบรุดไปประคองฉู่หลิงอวิ้น
ฉู่หลิงอวิ้นยังไม่หายหวาดกลัว ยืนตกตะลึงท่วงทีขวัญหายหลุดลอยไป
นางผมเผ้ายุ่งเหยิงตามเนื้อตัวเลอะเหล้าพิษ ใบหน้าท่อนล่างแก้มทั้งสองข้างบวมเป่ง ดูท่าทางคับอกคับใจ
ฉู่ฉีเหยียนเพียงแค่มองนางแวบเดียวแล้วพูดปึ่งชาว่า “กลับไปซะ!”
หลังจากพูดจบก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวหันหลังเดินตรงออกไปยังประตูวัง
————————————–
ตำหนักช่างหมิงเซวียน
ฉู่ฉีเฟิงนั่งพิงโต๊ะทำงานกว้างที่อยู่ข้างหลังเขาเพียงลำพัง แววตาบริสุทธิ์สดใส มองดูราตรีที่อยู่ข้างนอกบานประตูใหญ่ไม่ขยับเขยื้อนราวกับรูปปั้น
ยามนี้เหล่าเสนาอำมาตย์ต่างจัดการสะสางปัญหาที่อยู่ในมือเรียบร้อยแล้วแยกย้ายกันกลับ ฉู่ฉีเฟิงหาข้ออ้างจะหยุดอ่านหนังสือราชการที่เหลือเพียงไม่กี่เล่มไว้ชั่วคราว
ค่ำคืนอันเงียบสงัดไร้เงาผู้คน บ้านหลังนี้ขาดสมาชิกในครอบครัวไปยิ่งดูเคว้งคว้าง มองจากประตูใหญ่เข้าไปในบ้าน ก็เห็นเงาเขานั่งอยู่หลังโต๊ะทำงานยิ่งดูเลือนรางมากยิ่งขึ้น
เจี่ยงลิ่วเดินเข้าไปข้างในพลางเอ่ย “คังจวิ้นอ๋อง…”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ไม่ขยับแล้วค่อยๆ ละสายตาที่มองไกลกลับมาพลางถามว่า “รั้งไว้ได้มั้ย?”
“ขอครับ!” เจี่ยงลิ่วตอบ “คนในสกุลอ๋องหนานเหอออกจากวังแล้ว ท่านหญิงอันเล่อมีคนประคองออกมาน่าจะแค่ตกใจกลัว คงไม่ถึงตายขอรับ!”
“เข้าใจแล้ว!” ฉู่ฉีเฟิงพูดอย่างเฉยชา นั่งหลังตรง หลังจากนั่งได้สักพักก็สะบัดชายกระโปรงลุกขึ้นพูดว่า “ไปเถอะ กลับเมือง!”
“ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วน้อมตัวลงขานรับ เขาปิดประตูแล้วเดินตามฉู่ฉีเฟิงออกไปข้างนอก แต่อารมณ์ความรู้สึกของเขาสองสามวันมานี้ผิดแปลก เขาไม่เพียงสังเกตทุกการกระทำของฉู่ฉีเฟิง ซ้ำยังดูท่าทางระมัดระวังเป็นพิเศษ
ฉู่อี้หมินออกเดินทางไปก่อนล่วงหน้าเพื่อจะได้ไม่พบเจอหญิงนอกคอกฉู่หลิงอวิ้น หลังออกจากวังก็ไม่ได้รอคนแซ่เจิ้งและฉู่หลิงอวิ้น รีบรุดกลับไปยังเมืองหนานเหอคนเดียวก่อน
ตอนที่ฉู่ฉีเหยียนออกมาก็ไม่เห็นกระทั่งเงาของเขา
“ซื่อจื่อ!” หลี่หลินนำตัวทหารคุ้มกันร่างเล็กคนหนึ่งที่มีใบหน้าไม่สะดุดตายืนรออยู่นอกวัง
————————————