สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 12.3
สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 12.3 ความทรงจำในอดีต (3)
บทที่ 12 ความทรงจำในอดีต (3)
โดย
Ink Stone_Romance
ฉู่อี้อันยกกองทัพมาถึง
เขาไปตามหานาง แต่เขากลับค้นพบว่าเส้นทางที่เขาและนางเดินมาได้มาถึงจุดที่ว่างเปล่าและยากจะอธิบาย
“ให้ข้าส่งเจ้าไปดีกว่านะ!” ฉู่อี้อันพูด
“จะไปทางไหนได้อีกเล่า?” นางถามกลับ
หากนางอยากจะไป นางคงหายไปอย่างไร้ร่องรอยเสียนานแล้ว
เซี่ยนจงแม้ว่าจะเป็นทรราช แต่เขากลับโปรดปรานเหลียงซีลูกสาวคนนี้มาก นางยังจะสามารถมีชีวิตรอดอีกหรือ?
อีกอย่าง…
ฉู่เป้ยไม่มีทางละเว้นชีวิตนางแน่นอน
ดังนั้นในค่ำคืนนั้นฉู่อี้อันจึงยืนรอนางอยู่ที่ประตูทางเข้าเมืองสวินหยาง เขาแหงนหน้ามองเงาสลัวของนางภายใต้เปลวไฟของคบเพลิงที่ร้อนระอุ
มองดูเลือดที่ไหลนองจากการต่อสู้ทำให้จินตนาการได้ว่า ขณะที่เงื้อดาบฟันลงไปคงเป็นภาพที่น่าอนาถใจยิ่ง
เขาเจ็บปวดรวดร้าวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตั้งแต่ต้นจนจบสิ่งที่เขาทำได้ก็คือยืนมองดูอย่างไร้เยื่อใย แม้นในใจอยากจะตะโกนเรียกชื่อนางแค่ไหนก็ไม่อาจทำได้
ทันใดนั้นเขาได้หวนคะนึงถึงเมื่อหลายปีก่อน เมื่อตอนที่นางอำลาจะจากไปด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา แท้จริงแล้วตั้งแต่ครานั้นเป็นต้นมานางคาดเดาแล้วว่าระหว่างพวกเขาสองคนจะต้องมีคนใดคนหนึ่งที่มีจุดจบเช่นนี้
บิดาของนางแข็งข้อต่อต้านเขามาโดยตลอด ความขัดแย้งไม่ลงรอยระหว่างตระกูลฉู่และต้าหรงอ๋องเป็นดั่งศัตรูคู่อริกันมาช้านานเข่นฆ่าโรมรันกันไม่หยุดหย่อนผ่อนปรน
ครานั้นฉู่อี้อันหมดหนทางไปต่อเขาต้องยอมแพ้ เรื่องในอดีตทำให้เขาโกรธแค้นนางและหมดอาลัยตายอยาก
แต่ว่าตอนนี้เขายกทัพมาถึงแล้ว กำลังมองหญิงสุดที่รักเต็มใจยอมพลีชีพอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่สุดท้ายเขาก็ไม่อาจช่วยนางได้
นางยอมแพ้แล้วหลบหนีออกมาก็เพื่อ…
เพียงเพื่อหลงเหลือโอกาสรอดชีวิตระหว่างนางและฉู่อี้อัน
พวกเขาทั้งสองถูกความคลุมเครือเหล่านี้ครอบงำรอจนสุดท้ายต้องกวัดแกว่งกระบี่ต่อสู้กัน ฉะนั้นไม่สู้ตัดความสัมพันธ์นี้จากเขาตั้งแต่แรก ตัดความรู้สึกที่เคยงอกงามในใจให้ขาดสะบั้นไปเสียดีกว่า
การตัดสินใจแน่วแน่ของนางนั้น บางทีตอนที่นางหันกลับไป นางคงกำลังรอคอยจุดจบที่ต้องฟาดฟันดาบกันอย่างเหี้ยมโหด นางกับเขาไม่เคยคุยกันเรื่องความรู้สึกของตนเองให้ฝ่ายตรงข้ามฟัง แม้ว่าตอนที่เขาเคยถามตรงๆ นางกลับเรียกเขาด้วยน้ำเสียงไร้ความรู้เย็นชาว่า “ศิษย์พี่!”
นางบอกว่าไม่อยากเริ่มต้นใหม่ก็เพื่อจุดจบที่กำลังจะเกิดขึ้น ทำให้เขาหดหู่ใจวางมือแล้วหันกลับไปตามทางของเขาหรือเปล่า? ว่าสุดท้ายเขาไม่อาจทำให้นางเปิดใจรับได้สำเร็จ
ความรักของเขาถูกลิขิตให้ต้องรักนางจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เขาไม่เคยได้มีโอกาสพูดออกมา แต่ความรู้สึกนั้นดุจกระดาษทรายที่ขัดถูจิตใจของเขา ทุกครั้งที่ข่มตาลงมันเจ็บปวดทิ่มแทงลึกลงไปทั้งหัวใจ
ช้านานมาแล้ว เขาเคยจ้องมองทารกน้อยคนหนึ่งนานสองนาน เด็กคนนั้นตัวเท่าลูกแมวแต่ไม่งอแงเลยสักนิด เวลาผ่านไปไม่กี่เดือนขนตาก็ค่อยๆ ยาวขึ้นเค้าโครงร่างเริ่มเหมือนตอนที่เหลียงซีโตเป็นเด็กสาวสะพรั่ง
เหลียงซีไม่เคยขอร้องเขา และไม่เคยคิดที่จะทำให้เขาลำบากใจ แต่วินาทีที่เขาสั่งคนลงมือสังหารนาง เขาได้ใช้ชีวิตของเขาสาบานว่า…
ในเมื่อเขาไม่อาจปกป้องนางได้ เช่นนั้นเขาจะปกป้องเด็กคนนี้แทนนางก็แล้วกัน!
นี่เป็นสิ่งเดียวที่ชาตินี้เขาสามารถทำให้นางได้
ปีนั้นเซี่ยนจงผู้ไร้ความสามารถซ้ำยังใจคอโหดเหี้ยม ที่ผ่านมาเขาคลั่งไคล้มักมากในกามารมณ์กับบรรดานางใน เขาพบปะเหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ของเหล่าอำมาตย์นับครั้งไม่ถ้วน ไม่ต้องพูดถึงเหลียงซีนางเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในตำหนักไม่ค่อยออกไปไหนนอกจากห้องสมุด นอกนั้นก็ไม่ได้ออกไปในที่สาธารณะพบปะผู้อื่นนัก ปัจจุบันฉู่สวินหยางก็เช่นกัน รูปปากของนางเหมือนกันกับเหลียงซีไม่มีผิด ตอนยังเล็กพวกนางหน้าคล้ายกันอย่างน้อยห้าส่วนช่างบังเอิญเสียนี่กระไร หลังจากฉู่เป้ยเข้ายึดครองเมืองหลวงได้แล้วอย่างแรกที่เขาทำก็คือสังหารยกวัง แล้วนำคนที่ใบหน้าคล้ายคลึงกับเหลียงซีมาฆ่าปิดปากจนหมดสิ้น
หลังจากที่ตีเมืองได้สำเร็จ ให้คนขนย้ายตำราต่างๆ ที่อยู่ในห้องใต้ดินออกมาจากคลังตำราจากห้องหนังสือไปจนหมดไม่เหลือแม้แต่เล่มเดียว สาเหตุเพราะว่าเหลียงซีชื่นชอบการอ่าน ตำราเหล่านี้เมื่อครั้งก่อนนางเคยอ่านผ่านตาจนหมดแล้ว เมื่อเขาอ่านตำราไปนานๆ กลับค่อยๆ รู้สึกว่าฉู่สวินหยางเป็นความทรงจำที่แท้จริงที่เหลียงซีหลงเหลือไว้ให้เขา
เขาจึงมองลูกสาวคนนี้ราวกับสมบัติล้ำค่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเหลียงซี ส่วนตอนนี้…
หากลองคิดทบทวนดูให้ดีความจริงแล้วเขาถือว่าเด็กคนนี้เป็นลูกในไส้ของเขามากกว่า ปกติเขาทำเช่นนี้มาโดยตลอดอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?
แต่ว่าตอนนี้…
การดำรงอยู่ของฉู่สวินหยางเหมือนกับอดีตที่ผ่านมาของเหลียงซี ซึ่งสวนทางกับชีวิตที่สงบมั่นคงของเขาตอนนี้
เรื่องการตายของฉู่ฉีฮุย โชคชะตาเขาเหมือนประวัติศาสตร์ซ้ำรอยทำให้เขาต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากอีกครั้ง
“ลู่หยวน!” ฉู่อี้อันใช้มือคลึงขมับแล้วหันไปทางประตูแล้วตะโกนเรียก
“ไท่จื่อ!” ลู่หยวนผลักประตู เขายืนอยู่ตรงประตูแล้วทำการคารวะ
“ไปเรียกเจิงจีเข้ามา!” ฉู่อี้อันพูด
“ขอรับ!” ลู่หยวนรับคำสั่ง เขาออกไปได้สักพัก พ่อบ้านเจิงก็รีบร้อนกุลีกุจอเข้ามาพบ
“นายท่าน…” พ่อบ้านเจิงสีหน้าอิดโรยจึงไม่อาจอดกลั้นถอนลมหายใจแรง
“คราก่อนเรื่องที่ข้าให้ท่านไปจัดการเป็นอย่างไรบ้าง?” ฉู่อี้อันถาม
ผ่านไปสักพักเจิงจีจึงคิดขึ้นมาได้ว่าเรื่องที่ฉู่อี้อันถาม แล้วก็พยักหน้า “จัดการเสร็จสรรพแล้วขอรับ นายท่านโปรดวางใจ ไม่ขาดตกบกพร่องแน่นอนขอรับ”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” ฉู่อี้อันพยักหน้า พอดีว่าที่นั่นไม่มีใครอื่น เขาจึงฝืนยิ้มพลางพูดว่า “เจ้าคิดว่าข้าทำอะไรผิดหรือเปล่า? หากว่าข้าตั้งใจจะช่วยเหลือฉู่ฉีฮุย เขาคงไม่…”
ประโยคสุดท้ายเขาไม่ได้พูดออกมา
พ่อบ้านเจิงหัวใจรู้สึกอัดอั้นขึ้นมาทันที เขาพูดปลอบใจว่า “ในเมื่อเรื่องนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ท่านอย่าคิดมากไปเลย จริงๆ แล้ว…”
ขณะที่เจิงจีพูดอยู่ก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจว่าอย่างไรดีจึงชะงักไปสักพัก แล้วเบี่ยงเบนประเด็นว่า “เกิดเป็นราชนิกุลล้วนตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ทั้งนั้น นายท่านรีบส่งตัวนายน้อยกลับไปแต่เนิ่นๆ เถิด ไม่ว่าจะดีหรือเลวอย่างน้อยยังหลงเหลือเลือดเนื้อเชื้อไข ข้าน้อยเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว นายท่านอย่าได้เป็นกังวล!”
นายน้อยที่เจิงจีเรียกขานก็คือลูกชายของฉู่ฉีฮุย หลังจากที่ฉู่ฉีฮุยเกิดเรื่อง ภรรยาและลูกของเขาถูกปลดฐานะเป็นสามัญชน แต่กระนั้นฮ่องเต้ก็ยังทรงละเว้นหลงเหลือไว้หนึ่งชีวิต เพราะว่าฝ่าบาทยังเห็นแก่ฉู่อี้อัน ฉะนั้นจึงไม่ได้ตัดสินโทษสองแม่ลูก เพียงแต่เนรเทศฉู่ฉีฮุยไปกานโจว ภรรยาและลูกของเขาถูกละเว้นโทษเพราะว่าฉู่อี้อันออกหน้าแทนทั้งนั้น
ครานั้นฉู่อี้อันเป็นคนเลือกคู่ครองที่มีนามว่าเลิ่งซื่อให้กับฉู่ฉีฮุย นางเป็นลูกสาวของบัณฑิตฮั่นหลินตระกูลเลิ่ง นางทั้งรู้หนังสือมีเหตุผล รู้จักกาลเทศะ แม้ว่าจะมีแม่ยายเหล่ยเช่อเฟยค่อยโขกสับอยู่ตลอด นางก็ยังคงชอบเก็บตัวไม่สุงสิงกับผู้ใด ฉู่ฉีฮุยไม่ชอบใจนิสัยของเลิ่งซื่อนัก ดังนั้นความสัมพันธ์พวกเขาสองสามีภรรยาเป็นเพียงแค่ผิวเผินเท่านั้น
แม้ว่าฉู่ฉีฮุยถูกปลดฐานะเป็นสามัญชน แต่เลิ่งซื่อแต่งเข้าเป็นสะใภ้ถือว่านางเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์ นางไม่อาจสมรสใหม่ได้ นางจึงประสงค์ที่จะไปบำเพ็ญปฏิบัติธรรมที่อาราม
แล้วทอดทิ้งบุตรของนางไว้ ฉู่อี้อันไม่ได้ต้องการให้นายน้อยอยู่ที่วังหลวงอีกต่อไป เขาจึงได้ให้เจิงจีแอบไปจัดการสรรหาตระกูลที่อยู่ห่างไกลออกไปพันลี้ช่วยคุ้มครองให้นายน้อยอยู่รอดปลอดภัยและไปส่งตัวเขาไปอย่างลับๆ แม้กระทั่งรายละเอียดว่าจะให้ไปส่งยังสถานที่แห่งหนใดเขาไม่ได้ถามพ่อบ้านเจิง แสดงว่าเขาไม่ต้องการให้ตามตัวนายน้อยกลับมา
ฉู่อี้อันวางแผนหาทางหนีทีไล่ให้หลานชายของเขามีชีวิตรอดปลอดภัย ความจริงแล้วเขาตั้งใจช่วยวางแผนล่วงหน้าแทนฉู่ฉีฮุยไปแล้ว เพราะเขารู้ว่าฉู่ฉีฮุยจะต้องถูกปลดจากตำแหน่ง แต่ฉู่อี้อันก็ยังคงไม่อาจวางมือนิ่งเฉย เขายังเตรียมการไว้ล่วงหน้า ซึ่งหากเกิดเรื่องก็ให้ฉางเซินเก็บรวบรวมแก้วแหวนเงินทองที่ฉู่ฉีฮุยเคยทุจริตมาได้ฝังลงดินแล้วปกปิดความสัมพันธ์คนที่ฉู่ฉีฮุยคบค้าสมาคมให้หมด เขาเตรียมการไว้อย่างรอบคอบรอเพียงแค่เวลานั้นมาถึง
เพราะเหตุนี้ฉู่อี้อันจึงรู้สึกผิดหวังในตัวฉู่ฉีฮุยมาก เขาจึงไม่อาจก้าวก่ายเรื่องที่ฉู่ฉีฮุยถูกเนรเทศไปกานโจวได้ เพียงแต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดอุบัติเหตุเช่นนี้ขึ้นมากลางคัน
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็เป็นพ่อลูกกัน เจิงจีก็ไม่รู้ว่าจะจะปลอบใจเขาเช่นไรดี ครู่เดียวนายบ่าวคู่นี้ก็เงียบขรึมขึ้นมาทันทีทันใด
ขณะนั้นฉู่อี้อันก็เริ่มเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “หลังจากที่เสด็จลุงไปฉู่โจวแล้ว ข้าให้เจ้าส่งจดหมายไปยังหาจูหย่วนซาน บอกให้เขานำคนที่คบค้าสมาคมกับฉู่ฉีฮุยเรียกกลับคืนมา เจ้าส่งจดหมายฉบับนั้นไปแล้วหรือยัง?”
“ขอรับ ส่งไปนานแล้วขอรับ!” เจิงจีรีบดึงสติกลับมาแล้วพูดว่า “ประมาณสองสามวันนี้คงน่าจะมาถึงขอรับ”
“รอเขากลับมา เรื่องนี้ก็ส่งให้เขาจัดการต่อก็แล้วกัน” ฉู่อี้อันพูด “เรื่องที่ฉีฮุยทิ้งไว้จัดการเรียบร้อยแล้วล่ะสิ!”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว!” เจิงจีรับคำสั่ง เขาครุ่นคิดแล้วถามต่อว่า “นายท่าน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องของหวงจ่างซุน ท่านต้องการให้…”
ฉู่อี้อันแหงนหน้าพลางพูดแทรกว่า “ให้ฉู่ฉีเฟิงกับซินเป่าไปเถอะ!”
เรื่องของฉู่ฉีฮุยจะต้องเกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลเป็นแน่ ส่วนเรื่องนี้อ๋องหนานเหอเป็นคนทำหรือไม่ก็ไม่แน่ เรื่องนี้ไม่เพียงล้ำเส้นเกินกว่าที่ฉู่อี้อันจะรับได้ ยัง…
ฉู่ฉีเฟิงคงไม่คิดอะไรมาก แต่สำหรับฉู่สวินหยางนางคงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน
นิสัยของฉู่สวินหยางเขาเข้าใจดี ดังนั้นให้นางรู้ด้วยตัวเองคงทำให้นางสบายใจมากกว่า
ฉู่อี้อันและเจิงจีไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ต้องจัดการแก้ปัญหา ฉู่อี้อันเพียงแต่มอบหมายงานให้เขาไปจัดการ จากนั้น
ฉู่อี้อันกลับขัดจังหวะตอนที่เจิงจีกำลังจะถาม แล้วเขาก็ก้มหน้าก้มตาสะสางเอกสารราชการต่อ
ฉู่สวินหยางกลับจวนแล้วก็เปลี่ยนชุดออกมา ส่วนชิงเถิงก็รออยู่ในห้องรับแขกพลางพูดว่า “ท่านหญิง!”
“อืม!” ฉู่สวินหยางพยักหน้าพร้อมกับเดินออกไปข้างนอก “ตอนนี้เรื่องไปถึงไหนแล้ว?”
——————————–