สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 14.4
สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 14.4 ท่านหญิงใหญ่บ้าไปแล้วหรือ? (4)
บทที่ 14 ท่านหญิงใหญ่บ้าไปแล้วหรือ? (4)
โดย
Ink Stone_Romance
เดิมทีฉู่เยว่เหยากำลังตะโกนด่าทอเสียงแหบแห้ง ตอนแรกที่เห็นฉู่สวินหยางปรากฏตัวอย่างกะทันหัน นางยังคิดว่าตนเองดูผิดไป จนกระทั่งสงบสติอารมณ์ลงได้ก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ นางประคองตัวจะถลาเข้ามา “นางหญิงชั่ว เจ้ายังกล้ามาอีก ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าทำร้ายข้า ข้าจะฆ่าเจ้า!”
นางลุกขึ้นมา ทว่ากลับเดินได้ไม่ถึงหนึ่งก้าวด้วยซ้ำก็ล้มลงไปอีก
ฮูหยินเจิ้งแก้แค้นนางด้วยการไม่เชิญหมอมารักษา สองวันนี้อาการบาดเจ็บที่หัวเข่าทรุดลง ฉู่เยว่เหยาสูญเสียความรู้สึกไปเกือบหมดทั้งขา นางยืนได้ไม่มั่นคงแม้แต่น้อย
แม่นมหูเดาใจฉู่สวินหยางไม่ออก สีหน้ายิ่งไม่สบายใจมากขึ้น
ฉู่สวินหยางชำเลืองมองนางว่า “แม่นมออกไปรอข้าข้างนอกสักครู่ได้หรือไม่ ข้าอยากคุยกับพี่หญิงใหญ่สองต่อสองสักหน่อย!”
“เอ่อ…” แม่นมหูลังเลไปชั่วครู่ แต่พอคิดว่าเข้ามาได้ครู่หนึ่ง ฉู่สวินหยางก็ได้ยินไปหมดแล้วทั้งที่ควรได้ยินและไม่ควรได้ยิน ก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องพยายามปกปิดทั้งที่จะดูมีพิรุธยิ่งกว่าเดิมอีกต่อไป นางค่อยๆ พยักหน้าว่า “ได้เจ้าค่ะ ข้าอยู่ข้างนอก ท่านหญิงมีธุระอะไรก็เรียกได้”
ฉู่สวินหยางพยักหน้า แล้วมองส่งนางออกไป
สิ่งของที่จัดวางอยู่ในห้องทั้งหมดส่วนใหญ่ถูกฉู่เยว่เหยาทำแตกเละจนกระจายเต็มพื้นไปหมดแล้ว กระทั่งที่ยืนยังไม่มี แม้แต่นางเองก็นั่งอยู่ท่ามกลางเศษแผ่นกระเบื้อง ตอนที่ล้มลงไปเมื่อครู่ไม่ทันระวังบาดข้อมือเป็นแผลจนเลือดไหลทะลักออกมาข้างนอกแล้ว
“เจ้ามาทำอะไร? ที่เจ้าทำร้ายข้ายังไม่พอหรือ?” ฉู่เยว่เหยาจับขาที่บาดเจ็บอยู่ สายตาโหดเหี้ยมจ้องฉู่สวินหยางเขม็ง ราวกับอยากจะแทงตัวนางให้พรุนเป็นรูถึงจะยอมรามือ
ฉู่สวินหยางยืนอยู่ที่ประตูและไม่ได้อยากเข้าไป เพียงแค่มองนางอย่างนิ่งเงียบ
“เจ้าก็อย่าใช้สายตาเหมือนกับเป็นผู้เคราะห์ร้ายแบบนั้นมาซักถามอะไรจากข้าเลย ระหว่างเราสองคนไม่จำเป็น แค่ตาต่อตาฟันต่อฟัน ดูว่าใครจะฝีมือดีกว่าก็พอแล้ว ตอนที่เจ้าอยากจะยัดเยียดโทษให้พี่ชายข้าด้วยการให้คนกระจายข่าวลือไปทั่ว ทำไมไม่คิดว่าคำพูดที่เจ้าใส่ร้ายป้ายสีเพียงประโยคเดียวนั้นก็อาจจะบีบคั้นคนจนตายได้เหมือนกัน? เวลานี้ข้าก็ตอบโต้เจ้าแค่ผิวเผินเท่านั้น อย่างน้อย…ข้ายังไม่ต้องการชีวิตเจ้า!”
“แต่แรกก็เป็นเขา นอกจากเขาแล้วใครยังจะกล้าลงมือกับพี่ชายข้าอย่างโหดเหี้ยมแบบนั้น?” ฉู่เยว่เหยาเอ่ยเสียงดัง สีหน้าคล้ายจะบิดเบี้ยวจนดูดุร้าย “ข้าจะเรียกร้องความยุติธรรมให้พี่ชายแล้วผิดตรงไหน? หากไม่ใช่ว่าท่านพ่อลำเอียงไม่ยอมเข้าข้างพี่ชายข้า ข้าจะมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร? ฉู่สวินหยาง นางสารเลว เจ้ายังยืนตรงหน้าข้าได้อย่างหน้าไม่อายอีก ทำร้ายเราสองพี่น้องจนเป็นแบบนี้ เจ้ามีความสุขหรือ? เจ้าพอใจรึยัง? ตั้งแต่นี้ไปก็ไม่มีใครขวางทางเจ้ากับฉู่ฉีเฟิงได้อีกแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้าเคยบอกแล้วว่าเจ้าอย่าใช้สีหน้าผู้เคราะห์ร้ายแบบนั้นมาประณามใครก็ตาม!” เสียงฉู่สวินหยางก็เย็นลงเช่นกัน นางโน้มตัวเก็บเศษกระเบื้องใกล้เท้าตนเองขึ้นมาดูแล้วดูอีก พลางเอ่ยน้ำเสียงเย็นยะเยือกว่า “เจ้าว่าท่านพ่อโปรดปรานข้า ข้าเห็นด้วย แต่สำหรับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีแล้ว เจ้าอย่าได้ใช้สายตาเห็นแก่ตัวและใจแคบของเจ้ามาตัดสินความถูกผิดของท่านพ่อ เจ้าจงทบทวนตัวเจ้าเองดูดีๆ ตลอดหลายปีมานี้ท่านปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไรบ้าง? และปฏิบัติตนต่อฉู่เยว่เหยียนอย่างไนบ้าง? และปฏิบัติต่อฉู่ฉีฮุยอย่างไรบ้าง? พวกเจ้าคนไหนที่ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนมากมายที่คอยประคับประคองให้เติบโต เจ้าคิดว่าเหลยเช่อเฟยเป็นคนปกป้องพวกเจ้า ทำไมไม่คิดว่าหากไม่ใช่ว่าท่านพ่อรู้เห็นเป็นใจ นางมีสิทธิอะไรถึงได้อยู่เหนือกว่าคนอื่นในวังบูรพาขั้นหนึ่ง? จนถึงขั้นทำให้พวกเจ้าพี่น้องสามารถปรากฏตัวอย่างโดดเด่นท่ามกลางพี่สาวและน้องสาวคนอื่นได้เช่นกัน? เจ้าถึงกับบอกว่าท่านพ่อลำเอียงรักท่านพี่มากกว่า? อะไรที่เรียกว่าลำเอียง? ชาวต่างชาติถวายม้าพันธุ์ดีสองตัวมาเป็นเครื่องบรรณาการก็ส่งไปให้ฉู่ฉีฮุยที่อายุมากกว่าได้เลือกก่อนนี่เรียกว่าลำเอียงหรือ? ตอนที่เขาแต่งงานบอกว่าลานบ้านของเรือนยลคีรีกว้างไม่พอ ท่านพ่อก็ยอมให้ท่านพี่ย้ายไปอยู่เรือนจิ่นโม่ทันที แล้วจัดเรือนข้างๆ ให้ว่างแล้วก็บูรณะซ่อมแซมเชื่อมให้ทะลุถึงกันนี่เรียกลำเอียงหรือ? ปีก่อนท่านพ่อได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาทให้ไปราชการที่แคว้นฉู่ ท่านพ่อก็คิดจะพาฉู่ฉีฮุยไปฝึกฝนด้วยทันที แต่เขาเองกลับทำอะไรเกินตัวคิดจะฉวยโอกาสตอนท่านพ่อไม่อยู่ยึดตำแหน่งที่ท่านพ่อรับผิดชอบอยู่ในมือ ต่อมาฝ่าบาทคิดว่าเขายังอายุน้อยยากที่จะรับตำแหน่งนี้ทำให้เขาได้ไม่คุ้มเสีย ลับหลังพวกเจ้าแม่ลูกและพี่น้องก็อ้างว่าท่านพ่อจัดการเรื่องราวทุกอย่างไม่เป็นธรรม บอกว่าท่านพ่อไม่ให้โอกาสเขา…ฉู่เยว่เหยา เจ้าจงทบทวนตัวเจ้าเองดูเถอะ ทุกเรื่องนี้ข้าใส่ความพวกเจ้าหรือไม่? เป็นครอบครัวเดียวกันแท้ๆ แต่พวกเจ้าไม่กี่คนพี่น้องกลับทำลายชื่อเสียงของวังบูรพาครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อความเห็นแก่ตัวของตนเอง เจ้าไม่เข้าใจหรือว่าซวยกันทั้งบ้านเพราะคนเพียงคนเดียว? เวลานี้เจ้ายังมีหน้ากล่าวหาท่านพ่อว่าจัดการเรื่องราวไม่ยุติธรรมได้อย่างเต็มปากเต็มคำอีกหรือ? หากคำพูดนี้ไปเข้าหูท่านพ่อ เจ้าไม่กลัวว่าท่านจะเสียใจจริงๆ หรือ?”
ฉู่อี้อันรักนางมากจริงๆ เพราะเหลียงซี เรื่องนี้ฉู่สวินหยางยอมรับ แต่เขากลับปฏิบัติต่อฉู่ฉีฮุยกับฉู่ฉีเฟิงอย่างเท่าเทียม ไม่สิ หรือพูดให้ตรงจุดยิ่งกว่าคือความจริงแล้วในใจของเขายังเอนเอียงไปช่วยลูกชายคนโตมากทีเดียว แต่ฉู่ฉีฮุยไม่พยายามเอง สุดท้ายพวกเขายังผลักภาระทุกอย่างไปให้ท่านพ่ออีก
หากให้ฉู่อี้อันได้ยินคำพูดพวกนี้เข้าจริงๆ เกรงว่าต่อให้ใจแข็งแค่ไหนก็ต้องเสียใจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉะนั้นตอนนี้ฉู่สวินหยางถึงได้ดีใจที่วันนั้นนางไม่ปล่อยให้ฉู่เยว่เหยาไปก่อความวุ่นวายถึงเรือนด้านหลัง
ฉู่เยว่เหยาฟังนางพูดมาครู่ใหญ่ ใบหน้าเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด ทว่าที่นางเศร้าเสียใจเช่นทุกวันนี้ นางไม่ยอมรับว่ากรรมตามสนองตนเองเป็นแน่ ทันใดนั้นก็ยืดคอเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “เจ้ายังบอกว่าเขาไม่ลำเอียง เจ้าทำร้ายข้าจนเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่สนใจสักนิด เจ้ายังกล้าบอกว่าเขาไม่ลำเอียงหรือ?”
พอคิดถึงฐานะของตนเอง นางก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนคร่ำครวญเสียงแหลมขึ้นมาทันที นางคว้าแจกันดอกไม้ที่แตกไปครึ่งหนึ่งใกล้ตัวขึ้นมาขว้างออกอย่างแรงเหมือนเป็นบ้า หลังจากนั้นก็หยิบเศษกระเบื้องใกล้มือมาจะกรีดข้อมือ “เขาไม่สนใจข้าใช่หรือไม่? เช่นนั้นก็ดี ข้าจะรอดูว่าหากวันนี้ข้าตายที่นี่ เขาจะยังรักษาชื่อเสียงตนเองไว้ได้หรือไม่!”
ฉู่สวินหยางเห็นสถานการณ์แล้วก็ไม่เข้าไปขวางนาง แต่กลับยิ้มอย่างสบายใจว่า “ถ้าเจ้าอยากตายก็ทำไปเถอะ แต่หากข้าเป็นเจ้า แน่นอนว่าข้าจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปนานเท่านานแบบไม่เสียดายอะไรเลย เวลานี้ตระกูลเจิ้งไม่มีภรรยาที่คอยดูแลจัดการบ้าน หากเจ้าตายเร็วขึ้นสักวันก็ได้ส่งต่อตำแหน่งให้คนรุ่นหลังพอดี ข้าคิดว่าเจิ้งเหวินคังก็ต้องขอบคุณเจ้าแน่นอนเช่นกัน!”
เจิ้งตั๋วอายุเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว ถึงแม้คนแซ่หลินจะทำความผิด แต่ถ้าเขาจะทอดทิ้งภรรยาไปแต่งงานใหม่ต้องถูกคนตราหน้าและวิจารณ์แน่ ดังนั้นตระกูลเจิ้งจึงขาดภรรยาที่คอยดูแลครอบครัว แน่นอนว่าดีที่สุดคือต้องอยู่อย่างทนทรมานให้ฉู่เยว่เหยาตายแล้วค่อยให้เจิ้งเหวินคังแต่งงานใหม่
พอเข้ามาในเรือนนี้และเห็นท่าทางของฉู่เยว่เหยาตอนนี้ ในใจฉู่สวินหยางก็คิดเรื่องนี้ขึ้นมา ที่แท้ฮูหยินเจิ้งคนนี้เป็นคนที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน
ฉู่เยว่เหยารักเจิ้งเหวินคังจริงๆ หากบอกว่าหลังตนเองตายไปแล้ว เจิ้งเหวินคังต้องแต่งงานใหม่แน่ ฉู่เยว่เหยาก็ต้องสับสน เศษแผ่นกระเบื้องที่กรีดบนผิวไปแล้วก็จะกรีดไม่ลงอีกต่อไป
ต่อให้ตนเองตายไปแล้วก็ยังไม่อยากให้คนเนรคุณอย่างเจิ้งเหวินคังนั่นไปเจ้าชู้เสวยสุข?
พอนึกได้ว่าตนเองถูกขังมาสามวันแล้ว ทว่าสามีที่ปกติรักนางมากไม่เคยแม้แต่จะมาเยี่ยมนางสักครั้ง พลันความโกรธก็ปะทุขึ้นในใจของฉู่เยว่เหยา สีหน้าเคียดแค้นโหดเหี้ยมก็ปรากฏขึ้นมาอีก
ฉู่สวินหยางพูดสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้วก็ไม่ได้สนใจนางอีก เพียงปัดกระโปรงเบาๆ แล้วหันตัวเดินออกไป
แม่นมหูกำลังพยายามยืดคอฟังเสียงข้างในอยู่ที่ประตูทางเข้า แต่เรือนนี้ใหญ่เกินไป ถึงฉู่เยว่เหยาจะอารมณ์แปรปรวนจนแผดเสียงดังลั่น แต่เสียงก็ยากที่จะข้ามผ่านทั้งเรือนมาเข้าหูได้
พอได้ยินเสียงฝีเท้าฉู่สวินหยางและบ่าวรับใช้ดังมา แม่นมหูก็ทำหน้าขรึม แล้วรีบถอยหลบไปด้านข้างทำเป็นมองไปรอบๆ ทันที
“ท่านหญิงออกมาแล้วหรือ?” พอฉู่สวินหยางออกมาจากด้านใน นางก็เข้าไปหา
“อืม!” ฉู่สวินหยางอมยิ้มแล้วพยักหน้า “ข้าพูดคุยกับพี่หญิงใหญ่นิดหน่อย แต่นางเสียสติไปมากจริงๆ ลำบากจวนกั๋วกงที่ทั้งมีน้ำใจไมตรีและศีลธรรมของพวกเจ้าแย่ ต้องดูแลนางให้ดีนะ”
“แน่นอนเจ้าค่ะ” แม่นมหูรีบเออออห่อหมก
ฉู่สวินหยางยิ้ม เพียงแค่ยกมือชิงหลัวก็ล้วงเอาจดหมายฉบับหนึ่งจากในอกส่งให้นาง ฉู่สวินหยางถือไว้ในมือเพียงชั่วครู่ แล้วส่งให้ถึงมือแม่นมหู “รบกวนแม่นมหูส่งสิ่งนี้ให้ฮูหยินเจิ้งแทนข้าด้วย เป็นของที่ข้าเจอตอนจัดของที่ท่านพี่ทิ้งเอาไว้เมื่อสองวันก่อน”
พอเกี่ยวพันถึงฉู่ฉีฮุย แม่นมหูก็ใจเต้นทันที สีหน้านางเจือความลำบากใจในชั่วพริบตา ราวกับจดหมายฉบับนั้นเผามือนาง แล้วเอ่ยช้าๆ ว่า “เจ้าค่ะ! ข้าจะส่งให้แน่นอน!”
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน!” ฉู่สวินหยางก้มศีรษะลงเล็กน้อยแล้วเดินจากไป
แม่นมหูไปส่งนางถึงประตูด้วยตนเอง มองตามจนเห็นรถม้านางจากไปแล้วถึงรีบร้อนไปเรือนของฮูหยินเจิ้ง
ฉู่สวินหยางออกมาจากตระกูลเจิ้งจนนั่งอยู่ในรถม้าแล้ว ชิงหลัวถึงเอ่ย “ท่านหญิงไม่คิดว่าหากท่านหญิงใหญ่ไม่เจอเราเร็วกว่านี้สักวันก็จะสงบสติได้เร็วขึ้นหรือเจ้าคะ?”
ฉู่สวินหยางมองนาง แล้วเอนตัวพิงกำแพงรถอย่างกลุ้มใจว่า “ตอนนี้ข่าวคราวไม่สู้ดี ไม่เหมาะที่จะก่อเหตุอีกแล้ว ฮูหยินเจิ้งก็ไม่ใช่คนที่รังแกได้ง่ายเช่นกัน ก็ปล่อยให้นางได้อยู่ดิ้นรนเฮือกสุดท้ายอีกหลายวันหน่อยเถอะ อย่างไรนางก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว”
ชิงหลัวเห็นนางมีความคิดเป็นของตนเองจึงไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
รถม้าไม่ได้ตรงกลับวังบูรพาทันที แต่กลับอ้อมไปหอยลนที
น่าจะเป็นเพราะไม่เห็นเลือดและก็มีเพียงไม่กี่คนที่เห็นด้วยตนเอง ดังนั้นเรื่องซูหว่านจึงไม่ได้ส่งผลต่อธุรกิจของหอยลนทีมากนัก ผ่านวันที่สิบห้าไป ที่นี่ก็กลับมาคึกคักมากอีกทั้งหอเต็มไปด้วยแขกมากมาย
ฉู่สวินหยางลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าไปด้านใน เพราะกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่จึงใจลอยไปบ้าง ตอนที่จะเดินเข้าประตูก็มีสองคนเดินสวนออกมาจากข้างในพอดี แค่ประมาทไปชั่วขณะทั้งสองคนก็ชนเข้าเต็มแรง
ทางนั้นเป็นคุณหนูและบ่าวรับใช้คู่หนึ่ง สาวใช้มองแล้วไม่คุ้นหน้าสักนิด แต่คุณหนูกลับสวมผ้าคลุมปิดหน้าและก้มหน้าก้มตาเดินไปอย่างรวดเร็ว
สาวใช้เอ่ยปากตวาดเสียงแหลมว่า “เจ้านี่มัน…”
ทว่าพูดไปได้เพียงครึ่งเดียวก็เหมือนกับจะจำฉู่สวินหยางได้ นางหน้าซีดไร้สีเลือดแล้วเงียบปากในทันใด
ตอนที่ฉู่สวินหยางกำลังงุนงงว่าเป็นสาวใช้บ้านไหนนั้นเองก็เห็นนัยน์ตาของผู้หญิงที่สวมผ้าคลุมปิดหน้าที่อยู่ข้างๆ ฉายแววว้าวุ่นใจอยู่ชั่วครู่ แล้วนางก็รีบลากสาวใช้เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
———————————–