สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 19.1
สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 19.1 องค์รัชทายาทโมโหเกรี้ยวกราดและข้อตกลงสำคัญ (1)
บทที่ 19 องค์รัชทายาทโมโหเกรี้ยวกราดและข้อตกลงสำคัญ (1)
โดย
Ink Stone_Romance
“ท่านพ่อ…” สีหน้าของฉู่อี้หมินซีดเซียว เขารีบเอ่ยปากขึ้น
“ตรวจ!” สีหน้าของฮ่องเต้เย็นยะเยือก ไม่ปล่อยให้เขาโพล่งออกมาได้แม้แต่คำเดียว
ทำให้คำพูดที่เหลือทั้งหมดของฉู่อี้หมินค้างอยู่ในลำคอ มือที่กางอยู่บนโต๊ะค่อยๆ กำขึ้นเป็นหมัดอย่างช้าๆ ลุกขึ้นยืนค้างอยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน
ฉู่อี้ชิงยักคิ้วเหล่มองเขา แล้วพูดเยาะเย้ยว่า “พี่รอง ท่านเป็นอะไรไป? มันก็แค่นางกำนัลคนเดียวเอง ก่อนหน้านี้
สวินหยางหลานสาวของเราถูกขังคุก พี่ใหญ่เขายังไม่เห็นโมโหแบบนี้เลย พี่รองนั่งลงก่อนเถอะขอรับ!”
บุตรสาวที่คนเข้มงวดหนักแน่นอย่างฉู่อี้อันสอนมากับมือ ถึงแม้ฉู่สวินหยางจะมีนิสัยเหิมเกริมอยู่บ้าง แต่ทุกคนเองก็ต่างเข้าใจดี…
เดิมทีฉู่อี้ชิงและพวกเขาก็ไม่คิดว่าฉู่สวินหยางจะเป็นคนที่บุกเข้าไปฆ่าขุนนางอย่างเปิดเผยแบบนั้น
แต่เมื่อมีแววว่าจะยิ่งเกิดเรื่องเลวร้ายมากขึ้นเท่าไร พวกเขาก็แค่ยิ่งรอดูละครฉากสนุกตรงหน้ามากขึ้นก็เท่านั้น อีกอย่างตำแหน่งองค์รัชทายาทของฉู่อี้อันตำแหน่งนี้ นับวันเข้ามันก็มั่นคงเกินไปแล้ว ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพี่น้องอย่างพวกเขาเลยสักนิด
ตอนนี้ฉู่สวินหยางเองก็พลิกสถานการณ์กลับมาได้อย่างสวยงามแล้ว ส่วนจวนอ๋องหนานเหอเองก็มีส่วนเข้ามาเกี่ยวพันด้วยอีกครั้ง…
ค่อยๆ ทำลายไปทีละคน พวกเขาจะมีเหตุผลอะไรให้ไม่ยอมแพ้อีกงั้นหรือ?
ฉู่อี้หมินได้ยินดังนั้นก็ตกใจสั่นผวา แต่จู่ๆ ก็รู้สึกว่าหากฮ่องเต้เห็นเขาทำท่าเสียการควบคุมตัวเองแบบนี้เข้า จะทำให้ฮ่องเต้เข้าใจนึกว่าเขารู้สึกผิดได้ เพราะฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่ ถึงแม้เขาจะร้อนรนมากสักเพียงใด เขาก็ต้องฝืนเก็บอารมณ์นั้นเอาไว้แล้วค่อยๆ นั่งลง
ส่วนทหารคนสนิทหยางเถี่ยคนนั้น เป็นคนร่างกายกำยำสูงใหญ่แข็งแรง พอทำตาเบิกโพลงอย่างโมโหแบบนั้นแล้วก็รู้สึกดุร้ายขึ้นมาไม่น้อน
“ต่อหน้าฝ่าบาทยังไม่คุกเข่าลงอีก?” เหยาก่วงไท่ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
จากนั้นก็มีทหารเดินเข้ามา แล้วใช้ไม้กระบองฟาดลงที่ขาของเขา
เสียงดังขึ้นสนั่น คนคนนั้นทรุดลงไปตามแรงฟาด หัวเข่าของเขาเหมือนกับก้อนเหล็กหนักที่ตกกระทบลงบนพื้น สั่นสะเทือนจนทำให้รู้สึกเหมือนพื้นสั่นคลอนไปตามแรง
เหงื่อผุดไหลออกเต็มหน้า แต่เขายังคงกัดฟันกรอดไม่เปล่งเสียงใดเล็ดลอดออกมา
ช่วงนี้ร่างกายของฮ่องเต้ไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ไหนก็แล้วแต่ ก็ต้องมีหมอหลวงคอยตามติดอยู่ข้างกาย
หมอหลวงเดินเข้ามารับของข้างในขวดเอาไปตรวจสอบ แล้วพูดออกมาตามที่คิดเอาไว้ “ฝ่าบาท ของสิ่งนี้คือยาพิษจากปลาปักเป้าขอรับ แต่สกัดออกมาได้ไม่ดีมากเท่าไรนัก เลยทำให้พิษร้ายออกฤทธิ์ได้ไม่มาก”
ฮ่องเต้ยกถ้วยชาขึ้นค่อยๆ ลิ้มรสชานั้น แววตานิ่งเฉย ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
ฉู่อี้หมินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากขึ้นมา ตะโกนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเสียงดังขึ้นว่า “หยางเถี่ย ของสิ่งนี้ได้มาจากที่ใด? ทำไมไม่ปริปากพูดยอมรับแต่โดยดีอีก?”
หยางเถี่ยทำตัวคอหดไม่หันมอง ราวกับตั้งใจแล้วว่าจะไม่ส่งเสียงพูดคำใดขึ้นอีก
สายตาของซูหลินจับจ้องไปบนขวดยาพิษขวดนั้น วินาทีนั้นเองจู่ๆ ก็รู้สึกไม่มั่นใจว่าเรื่องนี้เป็นฝีมือของจวนอ๋องหนานเหอจริงๆ หรือว่าเป็นแผนการของฉู่สวินหยางกับฉู่ฉีเฟิงร่วมมือกันแน่ แต่ไม่ว่าอย่างไรท้ายที่สุดแล้ว…
เขาก็ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับจวนอ๋องหนานเหออยู่ดี
“ของสิ่งนั้นได้มาจากไหนมันไม่สำคัญหรอก เรื่องที่สำคัญกว่านั้นคือเขาฆ่าคนเพื่อแย่งชิงทรัพย์มันเป็นเรื่องจริง!” ฉู่ฉีเฟิงพูดขึ้นอย่างเย็นชา จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบว่า “เอาตัวมันเข้ามา!”
“ขอรับ!” ทหารองครักษ์ขานรับ จากนั้นไม่นานก็มีประชาชนเดินดินธรรมดาทั้งเด็กทั้งแก่เข้ามาสามคนด้วยกัน คนที่ดูอายุมากนั้นดูแล้วน่าจะเป็นคู่สามีภรรยากัน ตอนเข้ามาผู้หญิงคนนั้นยังตัวสั่นกระตุกชายเสื้อของชายคนนั้นไม่หยุด ส่วนมืออีกข้างของนางก็โอบเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังหวาดกลัวเอาไว้ ดูแล้วเด็กคนนั้นอายุน่าจะประมาณห้าหกขวบได้
“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะ!” เมื่อสามคนนั้นเดินเข้ามาก็ฟุบหมอบลงที่พื้นทันที ไม่กล้าเงยหน้ามองผู้คนแม้แต่น้อย
ฉู่ฉีเฟิงยกสองมือขึ้นคำนับแล้วพูดกับฮ่องเต้ว่า “สามีภรรยาแซ่หลิวสองคนนี้เขาเป็นเพื่อนบ้านของโรงตีเหล็กแซ่อู่พ่ะย่ะค่ะ พวกเจ้าพูดมาเถอะ พวกเจ้าเห็นอะไรบ้าง?”
“ขอรับ ขอรับ!” ผู้ชายคนนั้นขานตอบรัว พยายามกดตัวให้ต่ำมากที่สุดจนแทบจะนาบตัวลงบนพื้น “เมื่อคืนตอนที่ครอบครัวของคนแซ่อู่กำลังเก็บของเตรียมปิดร้าน จู่ๆ ก็มีลูกค้าเข้ามา ข้าน้อยเพิ่งกลับมาจากทำธุระ เลยเห็นว่าเขาพาคนผู้นั้นเข้าไปด้านใน จากนั้นเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา[1] ดี ภรรยาของข้าก็ออกไปเทน้ำสกปรกด้านนอก นางเห็นว่าคนคนนั้นถือมีดเดินออกมาจากตรอก ตอนนั้น…ตอนนั้นพวกข้าไม่ได้คิดแปลกใจ จากนั้นจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องขึ้นมากลางดึก ข้ากับภรรยาเลยถือตะเกียงออกไปส่องดู สุดท้ายก็ตกใจกลัวจนฉี่รดกางเกงเลยทีเดียว”
“ใต้เท้า…” ผู้ชายคนนั้นเล่าไปเสียงก็สูงขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ร่างกายสั่นคลอน “มีคนตายขอรับ ครอบครัวของคนแซ่อู่นั้นตายทั้งสองคน ตอนที่ข้าน้อยออกไปดูมีเลือดนองเต็มพื้นเลยขอรับ!”
“พวกเจ้าเห็นหน้าฆาตกรหรือไม่?” เหยาก่วงไท่ถาม “เห็นหน้ามันชัดเจนหรือไม่?”
“ไม่…ไม่เลยขอรับ” เสียงของคนคนนั้นสั่นไม่หยุด พยายามกลืนน้ำลายลงไปสองอึกถึงค่อยบังคับจิตใจให้นิ่งสงบลงมาได้ เขาเหล่ตามองหยางเถี่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ แล้วตอบว่า “เป็นคนผู้นี้ขอรับ เขาร่างกายแข็งแรงกำยำ ดูออกได้ไม่ยาก อีกอย่าง…ตอนนั้นเขาก็สวมเสื้อผ้าชุดนี้เลยขอรับ!”
หยางเถี่ยเงียบไม่เอ่ยเสียงใดขึ้น
ฉู่อี้หมินเองก็ปิดปากไม่พูดอะไรเพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นที่สงสัยเช่นเดียวกัน
“ในเมื่อเห็นหน้าไม่ชัด การชี้ตัวฆาตกรครั้งนี้ก็อย่าฝืนต่อไปเลยดีกว่ามั้ง?” ฉู่อี้ชิงกุมถ้วยชาเอาไว้ในมือพลางพูดขึ้นอย่างสบายใจว่า “ใต้หล้านี้มีคนหน้าตาคล้ายกันเยอะแยะไป ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่ร่างกายพอๆ กันเลย อีกอย่างโรงตีเหล็กนั่นเปิดให้ใช้ทำมาค้าขาย ถ้าข้ารับใช้ของพี่รองเข้าไปซื้อของจริงๆ แล้วจะยืนยันอย่างไรล่ะ? จะกล่าวหาว่าเขาเป็นฆาตกรเพียงเพราะเขาเดินเข้าไปในร้านไม่ได้หรอกมั้ง?”
“ไม่ใช่แบบนั้นขอรับๆ เป็นฝีมือของเขาแน่ๆ!” ชายคนนั้นโบกมือรัว มองเหยาก่วงไท่ด้วยาทางเคารพนับถือพูดกับเขาว่า “ใต้เท้าขอรับ ตาเฒ่าอู่สายตาไม่ดี พอฟ้ามืดเขาก็มองเห็นไม่ค่อยชัดแล้ว เพราะฉะนั้นพอฟ้ามืดเขาก็ปิดร้านตรงเวลาทุกวัน เมื่อวานลูกค้าคนนี้บังเอิญเข้ามาพอดี ข้าน้อยได้ยินเสียงดังมาจากรอบข้างตลอด พอคนคนนี้จากไป สถานที่นั้นก็ไม่มีใครเข้าออกอีกเลย”
คนอื่นไม่มีใครกล้าเอ่ยเสียง เหยาก่วงไท่เอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “หากพวกเจ้ามองหน้าฆาตกรไม่ชัด พยานหลักฐานแบบนี้ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องฝืน…”
“ใต้เท้า!” ชายคนนั้นเอ่ยปากขึ้นพูดแทรกเหยาก่วงไท่ พูดพลางลากตัวเด็กผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของหญิงสาวคนนั้นออกมา แล้วพูดต่อว่า “เด็กคนนี้เป็นลูกสาวของตาเฒ่าอู่ ตอนที่ภรรยาของข้าเข้าไปหา นางแอบร้องไห้อยู่หลังกล่องสูบลมที่อยู่ด้านนอกตัวบ้าน นางเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เด็กคนนี้เห็นทุกอย่าง ขอร้องท่านใต้เท้าช่วยคืนความยุติธรรมให้พวกข้าด้วยเถิด!”
เหยาก่วงไท่ขมวดคิ้ว
จู่ๆ ใบหน้าที่ไม่หวาดกลัวต่อความตายของหยางเถี่ย ก็เผยให้เห็นความสงสัยมึนงงขึ้นเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองเด็กคนนั้น
เวลานั้นเองเด็กผู้หญิงคนนั้นถึงได้มองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน จากนั้นก็ส่งเสียงร้องตกใจ ร้องไห้โวยวายออกมา แล้วเดินเข้าไปดึงทึ้งเสื้อผ้าของชายคนนั้น “คนเลว เอาท่านพ่อกับท่านแม่คืนมานะ คืนท่านพ่อกับท่านแม่ของข้ามาเดี๋ยวนี้!”
หยางเถี่ยคิดไม่ถึงเลยว่าจะพลาดท่าแบบนี้ เขาโดนเด็กผู้หญิงคนนั้นดึงจนรำคาญ ในขณะที่กำลังจะยกมือสะบัดเด็กคนนั้นออกไป
แววตาของฉู่สวินหยางก็ส่องประกายขึ้น นางรีบเดินเข้าไปลากเด็กคนนั้นออกมา
ทว่าหญิงคนนั้นก็ได้พุ่งตัวออกมารับตัวของเด็กหญิงเอาไว้ สายตาจ้องมองไปยัง ‘ฆาตกร’ คนนั้นอย่างเคียดแค้นด้วยร่างกายที่สั่นเทา
“หลิ่วยา ไม่ต้องร้องไห้นะ เจ้าบอกท่านใต้เท้าผู้ผดุงความยุติธรรมไปเลย บอกเขาไปว่าเจ้าเห็นอะไรบ้าง!” ชายผู้นั้นดึงแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้เด็กหญิงคนนั้น
“เขาทำร้ายท่านพ่อ เลือดเยอะมาก ท่านแม่ของข้ากัดเขาไปหนึ่งที เขาเลยมาทำร้ายท่านแม่ของข้าต่อ!” เด็กสาวสะอื้นร้องไห้ฟูมฟาย ร่างกายเล็กๆ ตรงนั้นสั่นกระตุกหดเกร็งไปทั้งตัว
ที่จริงแล้วสำหรับครอบครัวคนตีเหล็กธรรมดาๆ อย่างสามีภรรยาแซ่อู่นั้น หยางเถี่ยลงมือจัดการปลิดชีพพวกเขาให้ตายอย่างง่ายดาย ไม่ได้มีขั้นตอนยุ่งยากวุ่นวายเหมือนที่เด็กคนนั้นคิดเลยสักนิด
ฉู่สวินหยางนั่งยองลง ยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้เด็กคนนั้นเช็ด
นางไม่เคยคิดอยากต่อกรและเผชิญหน้ากับเหตุการณ์เช่นนี้เลยแม้แต่น้อย การแย่งชิงอำนาจเป็นสงครามของพวกเขา มันเกี่ยวข้องกับประชาชนธรรมดาด้วยหรือ? ในสายตาของคนชนชั้นปกครอง คนพวกนั้นไม่เคยคิดที่จะเห็นค่าชีวิตของประชาชนเลย ทั้งๆ ที่พวกประชาชนพวกนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเลยเสียด้วยซ้ำไป
เด็กคนนั้นร้องไห้หนักกว่าเดิม ร้องจนแทบจะหายใจไม่ออก
หญิงคนนั้นรีบเข้าไปช่วยลูบหลังให้นางหายใจได้คล่องขึ้น ฉู่สวินหยางคอยเช็ดหน้าให้เด็กสาวคนนั้น กระซิบถามนางเสียงเบาว่า “เมื่อกี้เจ้าบอกว่าแม่ของเจ้ากัดเขางั้นรึ? เจ้าจำได้หรือไม่ว่ากัดลงไปตรงไหน?”
“เจ้าค่ะ!” เด็กสาวสะอึกสะอื้นพยักหน้าหงึกๆ นางถลกแขนเสื้อขึ้นแล้วใช้นิ้วชี้ลงไปบนตำแหน่งนั้นบนแขนของตัวเอง ดูแล้วตำแหน่งนั้นห่างจากข้อศอกออกมาเล็กน้อย
แววตาของฉู่สวินหยางเย็นชาลง ชายตามองเจี่ยงลิ่วแล้วสั่งการว่า “ถลกแขนเสื้อมันขึ้นมาดู!”
“ขอรับ!” เจี่ยงลิ่วเดินตรงไป เมื่อหยางเถี่ยรู้สึกตัว เขาพยายามจะต่อต้าน ลู่หยวนเลยเดินเข้าไปช่วย ทั้งสองคนออกแรงกดตัวของหยางเถี่ยเอาไว้
ฉู่สวินหยางลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไป ฉีกแขนเสื้อของเขาออก เผยให้เห็นสะเก็ดเลือดบนแผลของรอยฟันกัด
“หลักฐานคาตาแบบนี้ เจ้ายังมีอะไรจะแก้ตัวอีก?” ฉู่สวินหยางเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา โยนเศษผ้าที่เพิ่งฉีกออกมาลงบนหน้าเขา
“ก็แค่ชดใช้ด้วยชีวิตไปไง เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วมีอะไรให้พูดอีกล่ะ?” ในที่สุดหยางเถี่ยก็ยอมเอ่ยปากขึ้น เขาหัวเราะออกมาเสียงดังอย่างไร้สำนึกผิด
เจี่ยงลิ่วเตะหยางเถี่ยจนฟันแตกไปทั้งปาก
เมื่อเขาหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าท่าทางกระตุกสั่นจนผิดรูป
ฉู่ฉีเฟิงปรายตามองเขาหนึ่งที แล้วหันไปกราบทูลฮ่องเต้ว่า “เสด็จปู่ ตอนนี้พวกเรายืนยันอาวุธที่มือสังหารใช้ลอบสังหารใต้เท้ากู้ได้แล้วเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ เมื่อคืนมีคนเข้าไปขโมยของในโรงตีเหล็กของคนแซ่อู่ อีกทั้งวันนี้ตอนเช้าทางศาลาว่าการพระนครเองก็ได้รับแจ้งว่าตัวนางอู่ตั้น[2] จากคณะงิ้วปักกิ่งหายตัวไป ตามหาตัวทั้งคืนก็ยังหาไม่พบ เมื่อกี้ก่อนที่ข้าจะเข้ามา ข้าได้พาตัวหัวหน้าคณะงิ้วไปดูศพ จากคำพูดยืนยันของเขา มือสังหารสาวที่ลอบเข้าไปในศาลาว่าการพระนครเมื่อคืนคืออู่ตั้นของคณะงิ้วพวกเขาไม่มีผิดเพี้ยนพ่ะย่ะค่ะ ทั้งยังมีคนพบเจออีกว่าบนตัวน้องชายฝาแฝดของอู่ตั้นคนนั้น มีตั๋วเงินจำนวนเยอะมากโขเช่นกัน”
กู้ฉางเฟิงเป็นแค่นักปราชญ์อ่อนแอคนหนึ่ง หากจะฆ่าเขา ไม่จำเป็นต้องใช้มืออาชีพมากฝีมือเลย ใช้แค่อู่ตั้นที่ขยับตัวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไวเพียงคนเดียว…
ก็พอแล้ว!
———————————
[1] หนึ่งถ้วยชา เป็นคำเรียกเวลาโดยประมาณของคนจีนโบราณ ใช้เปรียบถึงช่วงเวลาที่สั้นมาก บางตำราเทียบว่าประมาณ 10 – 15 นาที
[2] คือตัวละครหญิงที่รับบทนักรบหรือผู้มีวิทยายุทธ์ เน้นที่บทบาทการต่อสู้ เป็นบทบาทโลดโผนเช่นเดียวกับอู่เซิง แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ บู๊แบบชุดรบ (มีธง) กับบู๊ทั่วไป