สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 24.3
สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 24.3 สถานการณ์พลิกผัน ถือโอกาสแสดงน้ำใจ (3)
บทที่ 24 สถานการณ์พลิกผัน ถือโอกาสแสดงน้ำใจ (3)
โดย
Ink Stone_Romance
ราวกับครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขามีโอกาสเชื่อมโยงสิ่งที่ได้ยินมาเข้ากับชื่อนี้
หญิงสาวที่เล่าลือกันว่าแสนเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ และองค์รัชทายาทคนปัจจุบันรักมาก ที่แท้…
หน้าตาแบบนี้เองหรือ?
หลัวเถิงจ้องนางเขม็งแล้วนิ่งไปครู่หนึ่งโดยไม่รู้ตัว จนกระทั่งได้ยินเจ้าเด็กเคราะห์ร้ายในมือเขาตะโกนเสียงดังอีกครั้ง “ลง ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปฟ้องท่านแม่ ว่าพี่รองรังแกข้า!”
หลัวเถิงได้สติกลับมาและอดที่จะรู้สึกเก้อเขินกับการทำตัวเหมือนเด็กของตนเองไม่ได้ เขากระแอมออกมาครั้งหนึ่งแล้ววางหลัวเฉินที่จับอยู่ในมือลง
พอเท้าแตะพื้น เด็กน้อยก็หันกลับมากอดต้นขาเขาไว้แน่นทันที แล้วเงยหน้ากะพริบตาโตน้ำตาคลอเบ้าว่า “พี่รอง พี่รอง ว่าวของข้า ช่วยเก็บลงมาให้ข้าหน่อย!”
คุณชายหลัวเฉินเป็นลูกชายคนสุดท้องของหลัวกั๋วกงและยังเป็นลูกชายของอนุภรรยา แต่ว่าแม่แท้ๆ นั้นมีฐานะต่ำต้อย และหลังจากคลอดลูกได้ไม่นานก็ป่วยหนักจนเสียชีวิตไปแล้ว ใต้เท้าหลัวอายุมากแล้วก็ยังเลี้ยงเขาไว้ใกล้ตัว และเล่ากันว่าเอ็นดูรักใคร่มากเสียด้วย เห็นได้ว่าเขาสนิทกับซื่อจื่อหลัวเถิงมากจนเหมือนเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน
แต่หลัวเถิงกลับทำหน้าเย็นชา แล้วดึงปกคอเสื้อของเขาจนเท้าแทบลอยจากพื้น หิ้วตัวไปตรงหน้าฉู่สวินหยาง พลางเอ่ยเสียงขรึมว่า “เกือบได้เรื่องแล้วเจ้ายังมากวนข้าอีกงั้นหรือ? ยังไม่ขอบคุณพี่สาวอีก?”
หลัวเฉินยังคงดิ้นหยุกหยิกเหมือนปลาหมึกอยู่ในมือเขา พอเห็นเขาหน้าตาเคร่งเครียดก็เปลี่ยนใจถลาเข้าไปกอดต้นขาฉู่สวินหยางแทนทันที แล้วกะพริบตาปริบๆ พูดว่า “พี่สาวช่วยข้าหน่อย ว่าวของข้า…”
เขาเอ่ยพลางกะพริบตา ฉู่สวินหยางกำลังคิดว่าเด็กโตหน่อยแบบนี้ต่างเรียนรู้การใช้สายตาส่งสัญญาณกันหมดแล้ว ทว่าพริบตาเดียวกลับเห็นน้ำตาคลอเบ้าเขาขึ้นมา และเบะปากทำท่าทางน่าสงสารมาก
เมื่อครู่ตกลงมาจากที่สูงจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดไม่เห็นเขาจะตกใจกลัว แต่ตอนนี้กลับจะร้องไห้ก็ร้องไห้ออกมาได้ง่ายๆ งั้นหรือ?
เด็กคนนี้น่าสนใจเสียจริง
ฉู่สวินหยางยกมือลูบศีรษะเขา แล้วหัวเราะอย่างขบขัน
หลัวเถิงก็จนใจแล้วเหมือนกัน จึงจำต้องกระโดดขึ้นไปเก็บว่าวลงมาให้
เจ้าเด็กอ้วนหลัวเฉินหยุดร้องไห้แล้วยิ้มออกทันที ปล่อยฉู่สวินหยางแล้วพุ่งเข้าไปหา
เวลานั้นสาวใช้ที่ตกใจจนขาอ่อนยวบลุกขึ้นมาได้แล้ว นางเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้ายังคงหวาดกลัวว่า “ซื่อจื่อ!”
“ท่านแม่กลับมาแล้วใช่หรือไม่? เจ้าไปส่งเฉินเอ๋อร์เถอะ” หลัวเถิงเอ่ย
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้ขานรับ
ทีแรกฉู่สวินหยางยังกังวลว่าหลัวเฉินต้องไม่เชื่อฟังเขาแน่ ไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะกลอกตามองหลัวเถิงเพียงเล็กน้อย แล้วถือว่าวเดินตามสาวใช้ไปโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว
“น้องเจ็ดของข้าซุกซน เมื่อครู่ทำให้ท่านหญิงตกใจแล้ว” หลัวเถิงดึงสายตากลับมาจากที่ไกล เวลานี้เขาถึงเพิ่งได้ทำความเคารพคำนับฉู่สวินหยางอย่างเป็นทางการ “ขอบคุณท่านหญิงที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ!”
“ซื่อจื่อเกรงใจแล้ว คุณชายหลัวเฉินเป็นเด็กน่ารักมาก” ฉู่สวินหยางยิ้มมุมปาก สายตายังคงมองตามแผ่นหลังจ้ำม่ำที่สั่นไหวไม่หยุดของหลัวเฉิน
“เขาเป็นลูกชายที่เกิดตอนท่านพ่อแก่แล้ว ท่านแม่ก็โอ๋เขามากจนไม่รู้ที่ต่ำที่สูง” หลัวเถิงเอ่ยยิ้มๆ แต่สีหน้าท่าทางกลับสงบนิ่งเยือกเย็น
พอเห็นหลัวเฉินเดินไปไกลแล้ว ฉู่สวินหยางถึงได้หันกลับมามองเขา “วันนี้ข้าออกมาค่อนข้างนาน ไม่รบกวนจวนเจ้าแล้ว ขอตัวก่อน”
นางพูดจบก็พยักหน้าให้หลัวเถิงเล็กน้อย แล้วหันไปแหวกกิ่งไม้ที่ห้อยต่ำลงมาทางด้านหลังกลับไปยังทางเดินแคบก่อนหน้านี้
หลัวเถิงยืนมองตามแผ่นหลังนางไปอยู่ที่เดิม สายตาลุ่มลึกสุขุมโดยไม่รู้ตัว ริมฝีปากขยับคล้ายจะพูด แต่สุดท้ายก็ไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เพียงแค่มองตามหลังนางจากไป
ฉู่สวินหยางพาชิงเถิงกลับมาเดินต่อในทางเดิม ตอนที่กำลังจะออกจากสวนดอกไม้นี้ ฮูหยินรองหลัวก็รีบร้อนตามออกมาจากด้านหลัง
“ท่านหญิง!” ฮูหยินรองหลัวเอ่ย รอยยิ้มแสนอ่อนโยนและอบอุ่นฉายอยู่บนใบหน้า “นี่ท่านจะไปแล้วหรือ? เป็นเพราะอวี่ก่วนไม่รู้กาลเทศะ ท่านหญิงเป็นแขกมาเยือนถึงจวนทั้งทีก็ไม่รู้จักให้ท่านอยู่นานหน่อย”
“เดิมทีก็เป็นข้าที่มารบกวน แล้วข้ากับแม่นางหลัวอวี่ก่วนก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกัน” ฉู่สวินหยางเอ่ย
“ท่านหญิงไม่ว่าอะไรก็ดีแล้ว” ฮูหยินรองหลัวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม แล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า “วันนี้ขอบคุณท่านหญิงจริงๆ ไม่ทราบว่าท่านหญิงจะให้เกียรติอยู่รับประทานอาหารสักมื้อได้หรือไม่?”
“ไม่ล่ะ ครั้งนี้ข้ามาอย่างกะทันหัน ไม่รบกวนแล้วดีกว่า” ฉู่สวินหยางยิ้ม ถึงแม้ท่าทีคล้ายจะหยิ่งยโส แต่ความสุภาพอ่อนโยนนั้นยังทำให้ฮูหยินรองหลัวรู้สึกปลื้มใจเป็นพิเศษ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าก็จะไม่รั้งไว้เช่นกัน วันหลังข้าจะเตรียมของขวัญไปขอบคุณถึงวังอย่างแน่นอน” ฮูหยิน
รองหลัวเอ่ย
ฉู่สวินหยางฟังออกว่านางตั้งใจลองพูดหยั่งเชิง จึงแค่ยิ้มเล็กน้อยไปตามสถานการณ์
เช่นนี้ก็เหมือนอนุญาตให้วันหลังไปมาหาสู่กันได้โดยปริยาย!
ฮูหยินรองหลัวแอบดีใจขึ้นมาทันที รอยยิ้มยิ่งฉายชัดบนใบหน้า “ให้ข้าไปส่งท่านหญิงเถอะ!”
ฉู่สวินหยางไม่ปฏิเสธ ทั้งสองคนพูดคุยและหัวเราะจนออกมานอกประตู ฮูหยินรองหลัวคอยมองตามส่งฉู่สวิน
หยางขึ้นรถม้าตลอดถึงจะกลับเข้าไปในจวน
บนรถม้า เจี๋ยหงมองแวบเดียวก็เห็นรอยขาดเล็กน้อยตรงชายแขนเสื้อของฉู่สวินหยาง จึงดึงแขนเสื้อนาง เอ่ยว่า
“แขนเสื้อท่านหญิงขาดแล้ว!”
ฉู่สวินหยางก้มลงมองตาม ก็เห็นข้างในแขนเสื้อด้านขวาขาดเป็นรูยาวประมาณนิ้วกว่าๆ จริงๆ เพียงแต่หากไม่ตั้งใจสังเกตก็คงเห็นยาก
“ไม่เป็นไร ก่อนหน้านี้อาจจะไม่ทันระวังไปเกี่ยวเข้าในสวนดอกไม้ของตระกูลหลัว” ฉู่สวินหยางเอ่ย พอนึกถึงเจ้าเด็กดวงซวยคนนั้นของตระกูลหลัว ก็อดที่จะหัวเราะอีกไม่ได้
เจี๋ยหงเห็นแล้วรู้สึกแปลกใจ แต่กลับไม่ได้ว่าอะไร เพียงเอ่ยอย่างจริงจังว่า “อ้อ ท่านหญิง เมื่อครู่ก่อนที่ท่านจะออกมา สาวใช้ของแม่นางหลัวอวี่ก่วนแอบหนีออกมาทางประตูด้านข้างของจวนเจ้าค่ะ”
“งั้นหรือ? น่าจะไปปรึกษาซูหลินเรื่องแผนการรับมือนั่นแหละ!” ฉู่สวินหยางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ นางพับแขนเสื้อขึ้นแล้วรับชาที่ชิงเถิงส่งมาให้
ชิงเถิงสงสัยมากเช่นกัน จนในที่สุดก็เก็บงำความสงสัยต่อไปไม่ไหว จึงค่อยๆ ขยับเข้าไปอยู่ข้างกายนางเพื่อเอ่ย
ถาม “ท่านหญิง ของที่ท่านรับมาจากใต้เท้าเหยียนหลิงก่อนหน้านี้คืออะไรหรือเจ้าคะ?”
ฉู่สวินหยางมองนางแล้วกลับอุบไว้ไม่ยอมบอก “รอดูเดี๋ยวก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ?”
ชิงเถิงทำหน้าทุกข์ใจและถอยกลับไปนั่งอย่างผิดหวัง
แต่เจี๋ยหงกลับอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ “หากแม่นางหลัวอวี่ก่วนไม่ยอมทำจะทำอย่างไรเจ้าคะ? อันที่จริงตระกูลหลัวก็ถ่วงเวลาไว้ได้ไม่นานนัก หากไม่แก้ปัญหาให้ได้ภายในวันนี้ เกรงว่าพรุ่งนี้หลัวกั๋วกงคงต้องถวายฎีกา”
“วางใจเถอะ นางจะทำตามที่ข้าสั่งแน่” ฉู่สวินหยางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
นางรู้จักคนอย่างหลัวอวี่ก่วนดี แม้ภายนอกจะดูท่าทางอ่อนแอ ทว่าความจริงแล้วในใจวางแผนร้ายได้ดียิ่งกว่าใครทั้งนั้น นางไม่ใช่คนที่จะเสียสละชีวิตเพื่อความถูกต้องอย่างแน่นอน แทนที่จะบอกว่านางกำลังช่วยพี่ชายตนเองวาง แผนร้ายยึดจวนหลัวกั๋วกง สู้บอกว่านางวางแผนเพื่ออนาคตของตนเองจะดีกว่า
ระหว่างเสียสละตนเองกับแผนการครั้งนี้ คำตอบของนางก็ไม่ต้องสงสัยสักนิด
ถึงแม้สาวใช้ทั้งสองคนต่างสงสัยเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อนางไม่ยอมบอกก็ไม่มีใครทำอะไรได้ จึงทำได้เพียงปิดปากเงียบเท่านั้น
————————————–