สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 29.4
บทที่ 29 เลือดตกยางออก (4)
Ink Stone_Romance
หลัวฮองเฮาคุกเข่าลงโดยไม่รู้ตัว มองเขาด้วยสีหน้าขลาดกลัว ถามว่า “ฝ่าบาททรงเป็นอะไรไปเพคะ? ใครทำให้พระองค์ทรงกริ้ว ขอทรงระวังพระพลานามัยด้วย”
“เจ้าไม่ต้องแสร้งทำเป็นคนดี” ฮ่องเต้พระพักตร์แดงก่ำ พระหัตถ์สั่นเบาๆ เหยียดนิ้วชี้หน้านางซ้ำๆ อยู่หลายทีกว่าจะข่มอารมณ์ลงได้ แล้วชี้ไปที่เทียบเชิญสองฉบับที่หล่นอยู่ข้างเท้านาง
“พูดมา!”
หลัวฮองเฮาก้มหน้ามองสิ่งที่อยู่แทบเท้าตนทีหนึ่ง
เย่าสุ่ยรีบเดินเข้าไปแล้วก้มตัวลงหยิบ แต่เพราะถูกความเกรี้ยวกราดของฮ่องเต้กดดันมือจึงสั่นระริก เอ่ยเสียงต่ำว่า “ฮองเฮาพะย่ะค่ะ!”
ฮองเฮารับเทียบเชิญสองฉบับมาไว้ในมือ กวาดสายตามองเทียบกัน
ความจริงตอนที่นางเห็นฉู่ฉีเฟิงกับฉู่สวินหยาง นางก็พอจะเดาได้แล้วว่าต้องเป็นเพราะเรื่องนี้ เพียงแค่นางไม่คิดว่า
เด็กทั้งสองคนจะกล้าเอะอะโวยวายจนมาถึงเบื้องหน้าพระพักตร์
อีกอย่าง ก็แค่จะจัดงานมงคลให้ฉู่สวินหยางเองมิใช่รึ ปฏิกิริยาของฮ่องเต้ออกจะใหญ่โตเกินไปหน่อยกระมัง
“นี่ก็คือวันเดือนปีเกิดของสวินหยางกับหลัวเสียงไงเพคะ!” หลัวฮองเฮาตอบ ทำหน้าคล้ายไม่เข้าใจฮ่องเต้ที่ประทับอยู่หลังโต๊ะทรงงาน “ฝ่าบาท พระองค์ทรง…”
“เจ้ายังจะแกล้งเลอะเลือน? ข้าถามเจ้า เทียบเชิญสองฉบับนั่นได้มาจากที่ไหน?” ฮ่องเต้ตรัสถาม ทุกคำเค้นออกมาอย่างเข่นเขี้ยว
ฮองเฮาหน้าแข็งทื่อทันที เอ่ยอย่างไม่สบายใจว่า “ฝ่าบาท หรือว่าคนแซ่ฟางมาทูลอะไรหรือเพคะ? นางฟ้องว่าหม่อมฉันบังคับหรือว่าข่มขู่นางหรือ? ถึงขั้นกล้าปากยื่นปากยาวต่อหน้าฝ่าบาท ไร้การสั่งสอนสิ้นดี”
“เจ้ายังจะแกล้งโง่อีกรึ?” ฮ่องเต้เหมือนจะไม่ฟังที่นางพูดเลยสักนิด เส้นเลือดที่หน้าผากเต้นตุบๆ ถูกโทสะกระตุ้นให้เดือดจัดจนพูดอะไรไม่ออก
สถานการณ์ในครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งไหน ฉู่สวินหยางกระตุกยิ้ม เหลือบมองนางแล้วเอ่ยว่า “เสด็จย่าทรงยอมรับว่าเป็นคนมอบเทียบเชิญทั้งสองฉบับให้ท่านแม่ใช่หรือไม่เพคะ?”
“นางได้ไปจากข้าแล้วอย่างไร?” หลัวฮองเฮาตอบ เลิกคิ้วสูงแล้วค่อนแคะเสียงเย็นด้วยมาดของมารดาแห่งแผ่นดิน
”เพียงบอกว่านางต่ำต้อยเกินกว่าจะออกหน้า นางก็ยังเห็นพ้องยอมรับ สุดท้ายกลับหน้าไหว้หลังหลอกแอบแทงข้างหลังข้า”
นางพูดไป ก็หันไปมองฮ่องเต้ด้วยความเกรี้ยวกราด “ฝ่าบาทหม่อมฉันคิดว่าเด็กทั้งสองคนเหมาะสมกันถึงได้เรียกตัวคนแซ่ฟางเข้ามาหารือเพื่อกำหนดวัน อย่างไรคนแซ่ฟางนับว่าเป็นมารดาแท้ๆ ของสวินหยาง เรื่องนี้ย่อมต้องให้นางพยักหน้าเห็นด้วย หม่อมฉันไม่ได้คิดจะบีบบังคับนางเลยสักนิด ตอนนั้นนางก็เป็นคนตกปากรับคำเอง ตอนนี้กลับทำมาเรียกร้องเบื้องหน้าพระพักตร์ ปรักปรำใส่ร้ายหม่อมฉัน”
นางเอ่ยด้วยอารมณ์เดือดพล่าน เจ็บแค้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ฮ่องเต้จ้องมองนาง เพียงแสยะยิ้มด้วยสีหน้าอึมครึม
งานมงคล? เทียบเชิญสองฉบับของฮองเฮาหลัวเกี่ยวกับงานมงคลของนาง?
ฉู่สวินหยางได้ฟังก็ชะงักไป หางตาเหลือบไปมองเหยียนหลิงจวินอย่างไม่รู้ตัว
เหยียนหลิงจวินตีหน้านิ่งเฉย คล้ายว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับตน แม้แต่ร่องรอยสักนิดก็จับสังเกตไม่ได้
ตอนนั้นเองที่ฉู่ฉีเฟิงเริ่มเปิดปากพูด “เสด็จย่า ถึงแม้ท่านแม่จะไม่เห็นด้วยกับพระองค์ จนทำให้ทรงไม่พอพระทัย
หากจะกล่าวโทษนางก็ต้องล้วนชอบด้วยเหตุผล ฉีเฟิงทราบดีว่าพระองค์ไม่ทรงโปรดมารดาของหลานนัก แต่ถึงกระนั้น หลานกับสวินหยางก็เรียกพระองค์ว่าเสด็จย่า เหตุใดถึงไม่เห็นแก่หลานกับสวินหยางบ้าง ไฉนจึงลงมือกับนางอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้?”
ฉู่ฉีเฟิงมีสีหน้าเจ็บปวด คล้ายว่ากล่าวโทษ แต่ก็เจือความเปล่าเปลี่ยวและอับจน หลัวฮองเฮานิ่งงันไป เพิ่งรู้สึกว่ามี
บางอย่างไม่ถูกต้อง เอ่ยเสียงสูงว่า “ลงมือรึ? ที่เจ้าพูดหมายความว่าอะไร?”
“จนถึงตอนนี้เสด็จย่าก็ยังไม่ยอมรับผิด ยังแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกหรือเพคะ?” ฉู่สวินหยางเอ่ย นางต่างจากฉู่ฉีเฟิง แม้แต่ท่าทางผิดหวังก็คร้านจะแสร้งทำ กล่าวออกไปอย่างเย็นชาว่า “ตอนนี้ชีวิตท่านแม่แขวนอยู่บนเส้นด้าย ต่อให้ตายไปก็ไร้หลักฐานเอาผิด? หรือเพราะนางไม่เห็นพ้องด้วยกับพระองค์เรื่องงานมงคล พระองค์ถึงได้ไม่ยอมรามือ? เสด็จย่า พระองค์ทรงเป็นถึงมารดาแห่งแผ่นดิน กระทำเรื่องเช่นนี้ มิกลัวจะถูกไพร่ฟ้าเย้ยหยัน ไม่กลัวท่านพ่อหม่อมฉันจะปวดใจบ้างหรือเพคะ?”
สีหน้าของหลัวฮองเฮาเปลี่ยนสีฉับพลัน หลุดปากทันทีว่า “คนแซ่ฟาง? นาง…เป็นอะไรไปรึ?”
“เจ้ามันเหลือจะทนแล้วนะ!” ฮ่องเต้ที่พอจะสงบใจลงได้บ้างแล้วตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “ปีก่อนนั้นเจ้าไม่อาจอยู่ร่วมกับนาง ข้าก็ทำเป็นหลับตาเสียข้างหนึ่งยอมให้เจ้าส่งนางออกไปไกล บัดนี้อะไรๆ ก็ผ่านไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยังเป็นหญิงโหดร้ายใจคอคับแคบเช่นนี้! เห็นแก่เหล่าต้ากับเด็กสองคนนั่น เจ้า…เจ้ายังกล้าลงมือ เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อพวกเขาบ้างหรืออย่างไร?”
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่รู้เรื่องว่าพระองค์ตรัสถึงสิ่งใด!” หลัวฮองเฮาเริ่มร้อนรน “เกิดอะไรขึ้นกับคนแซ่ฟางกันแน่?”
เสียงของหลายคนสามารถกลับถูกเป็นผิด กระทั่งฮ่องเต้ยังเอ่ยวาจาเช่นนี้แล้ว นางจะไม่ไขว้เขวได้หรือ
ดังนั้น…
เกิดเรื่องกับคนแซ่ฟาง? แล้วตอนนี้ หลักฐานทั้งหมดชี้มาที่นาง…
ว่าเป็นคนร้าย?
หลัวฮองเฮารู้สึกว่าฟังดูช่างน่าขันยิ่งนัก แต่พอเห็นสีหน้าคับแค้นขุ่นใจของทุกคนแล้วกลับรู้สึกหัวเราะไม่ออก
ขณะนั้นเอง เหยียนหลิงจวินก็เปิดปากด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบว่า “ทูลฮองเฮา พระชายารองแซ่ฟางได้ถูกพิษระหว่างเดินทางกลับ หลังจากที่พบพระองค์ในวังหลวง เป็นตายมิอาจรู้ หม่อมฉันตรวจสอบพบว่า… ยาพิษถูกซ่อนไว้ในเทียบเชิญสองฉบับที่อยู่ในมือพระองค์พ่ะย่ะค่ะ!”
หลัวฮองเฮาไม่นึกไม่ฝัน สายตาหลุบมองของที่อยู่ในมือตนทีหนึ่ง ใช้เวลาชั่วครู่ถึงค่อยเข้าใจว่าเหยียนหลิงจวินพูดถึงยาพิษ เมื่อสติกลับคืนพลันโยนเทียบเชิญที่อยู่ในมือทิ้ง ถอยร่นไปด้านหลังสองก้าวอย่างหวาดกลัวก่อนเอ่ยว่า
“ไร้สาระ จะเป็นไปได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้มองท่าทางที่นางโยนเทียบเชิญทิ้ง ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย แล้วทรงพระสรวลเสียงเย้ยหยัน
เสียงของพระองค์แหบแห้ง ผู้คนที่ได้ฟังต่างรู้สึกขนลุกขนชัน พอทรงพระสรวลเสร็จก็ชักพระพักตร์ตึงเครียด ชี้นิ้วไปยังเทียบเชิญสองฉบับที่กองอยู่บนพื้น ตรัสย้ำว่า “อธิบายมา! บอกเหตุผลมาให้ข้าฟังหน่อยสิ ถ้าเจ้าหาเหตุผลที่น่าฟังมาได้ ข้าก็จะเชื่อเจ้า!”
พระองค์รู้ดีว่าหลัวฮองเฮามีนิสัยดื้อรั้นและเผด็จการ แต่คาดไม่ถึงว่านางจะใจคอคับแคบได้ถึงเพียงนี้…
คอยกดดันฉู่อี้อัน ทั้งบีบบังคับคนแซ่ฟางมาตลอดหลายปี บัดนี้คนแก่ตัวลงยิ่งกำเริบเสิบสาน ถึงขั้นจะเอาชีวิตกันแล้ว
หลัวฮองเฮาทำหน้าสับสน ก้าวถอยไปหนึ่งก้าวไร้ซึ่งที่ยึดเหนี่ยว จ้องเทียบเชิญสองฉบับที่ถูกทิ้งอยู่บนพื้นเหมือนกับเห็นผี ผ่านไปครู่ใหญ่ ก็สั่นศีรษะอย่างเอาเป็นเอาตาย “เป็นไปไม่ได้ เทียบเชิญนี้จะมีปัญหาได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้ทำเสียงขึ้นพระนาสิก ไม่ตรัสความอันใด
เหยียนหลิงจวินเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “กระหม่อมตรวจสอบแล้วว่ามีคนป้ายยาพิษไว้ที่กระดาษกันน้ำ ซึ่งอยู่ตรงมุมของเทียบเชิญทั้งสองฉบับ พระชายารองฟางได้รับเทียบเชิญสองฉบับนี้มาจากพระองค์แล้วก็เดินทางออกจากวัง ระหว่างทางกลับ เมื่อยาพิษรวมเข้ากับน้ำมันสาระแหน่ที่ระเหยได้ง่าย อากาศบนรถม้าไม่ถ่ายเท ไอพิษที่ระเหยออกมาจึงถูกสูดเข้าสู่ร่างกาย ตอนนี้พิษในตัวนาง…กำลังกำเริบ!”
คนแซ่ฟางถูกพิษงั้นรึ?
หลัวฮองเฮาฝีเท้าซวนเซ ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะออกมาราวกับได้ฟังเรื่องขบขัน “เป็นไปไม่ได้? ตอนที่นางออกจากวังมายังดีๆ อยู่เลย!”
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหยียนหลิงจวินตอบ “ชายารองถูกพิษระหว่างทางกลับ กระหม่อมตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ยาพิษมาจากเทียบเชิญสองฉบับนั่นอย่างแน่นอน เมื่อครู่หมอหลวงอีกคนได้ทดสอบซ้ำดูแล้ว มั่นใจว่าไม่ผิดแน่”
เขาพูดไปแล้วก็หยุดคิดเล็กน้อย วางท่าเป็นกลางราวกับเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับตน เอ่ยต่อว่า “ฮองเฮา เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงหลายฝ่าย ขอพระองค์โปรดตรองอย่างละเอียดถึงที่มาของเทียบเชิญทั้งสองฉบับนี้ หรือว่ามันผ่านมือใครมาบ้าง?”
———————————-