สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 31.4
บทที่ 31 หน้าไม่อาย แล้วแต่ท่านเถิด (4)
Ink Stone_Romance
เซียงเฉ่าเติมน้ำร้อนให้นางอยู่ข้างๆ อย่างใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางอดกลั้นมาทั้งวันจึงถามขึ้นอย่างทนไม่ได้ว่า “คุณหนู อีกไม่กี่วันคุณหนูจะกลับบ้านเกิดจริงๆ หรือเจ้าคะ?” “ข้า?” หลัวอวี๋ก่วนมองนางด้วยหางตาทีหนึ่ง ในดวงตาของนางพลันปรากฏแววแปลกประหลาดในสายตานั้น
“ผู้ใดบอกว่าข้าจะกลับไปเล่า?”
“เช่นนั้นก่อนหน้านี้ที่ท่านพูดกับซูซื่อจื่อ…” เซียงเฉ่าตกตะลึง และมองไปที่นางด้วยความประหลาดใจ
มุมปากของหลัวอวี่ก่วนโค้งขึ้น พูดอย่างเย็นชา “เมื่อก่อนฮองเฮาและท่านแม่ยังอยู่ อนาคตของพี่ชายนั้นยาวไกล ข้าเพียงนั่งรอคอยก็พอ ช้าเร็วย่อมมีวันที่น้ำมาคลองเกิด[1] แต่บัดนี้ ในยามนี้…” นางพูดแล้วได้แต่ทอดถอนใจ “ข้ารอไม่ได้อีกแล้ว หากไม่ตีเหล็กตอนร้อนเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งชายาแห่งจวนอ๋องฉางซุ่น รออีกสามปี? รอให้ข้าไว้ทุกข์จนครบสามปี ผู้ใดจะรู้เล่าว่าเขาจะจำข้าได้หรือไม่”
เมื่อก่อนนางมีไม้หลักพึ่งพิง ขอเพียงแค่เอาอกเอาใจซูหลินและถ่วงเวลาเอาไว้ก็พอ
แต่ว่ายามนี้ไม่เหมือนกาลก่อน นางจำต้องไม่นึกเสียดายสิ่งใด นางต้องอาศัยกำลังของตนให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์สูงสุดภายในระยะเวลาสั้นที่สุด
นางไม่สามารถพึ่งพาครอบครัวสกุลหลัวได้อีกต่อไป บัดนี้ทางออกที่ดีที่สุดคือต้องจับซูหลินเอาไว้ให้มั่น ต้องรีบคว้าตำแหน่งชายาแห่งจวนอ๋องฉางซุ่นเอาไว้แต่เนิ่นๆ จึงจะเป็นหลักประกันที่มั่นคงที่สุด
ส่วนหลัวเสียง…
แล้วแต่ชะตาชีวิตของแต่ละคนเถิด นางมิอาจควบคุมได้
เซียงเฉ่าเห็นนางมีสีหน้าดำทะมึน ในใจนั้นตุ้มๆ ต่อมๆ
หลัวอวี่ก่วนเผยรอยยิ้มออกมา เอนกายพิงถังไม้อาบน้ำพักสายตา
เพื่อที่จะหลอกล่อซูหลินให้ติดกับ วันนี้นางแทบจะใช้พลังในร่างกายไปจนหมดสิ้น บัดนี้ร่างกายเมื่อยขบไปทั้งตัว อ่อนเพลียเหนื่อยล้ายิ่งนัก ขณะที่กำลังหลับใหลสะลึมสะลืออยู่นั้น กลับได้ยินเสียงของสาวใช้ด้านนอกเอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “คุณหนูใหญ่ นี่มันเวลาอันใดแล้ว ไฉนท่านมาที่นี่ได้เจ้าคะ?”
“ข้ามีเรื่องจะพูดกับน้องสามเล็กน้อย” น้ำเสียงของหลัวซืออวี่ฟังแล้วแสนเย็นชาและมีความอวดดีหยิ่งผยองอยู่ในนั้นเต็มเปี่ยม ทำให้หลัวอวี่ก่วนรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวยิ่งนัก
นางตกใจสะดุ้ง รีบลุกขึ้นจากถังไม้โดยทันใด
เซียงเฉ่าเองก็ตกใจจนลนลานทำตัวไม่ถูกเช่นกัน รีบคว้าเสื้อคลุมมาคลุมร่างนางอย่างว่องไว
หลัวซืออวี่เข้ามาอย่างรวดเร็วแทบจะเป็นการไล่ต้อนก็ว่าได้ ไม่ได้รั้งรอให้สาวใช้ขานบอกก่อนอันใด ทว่าบุกเข้ามาในทันที
เวลานั้นหลัวอวี่ก่วนกำลังกระวนกระวายผูกสายรัดเอวของเสื้อคลุมอย่างเร่งรีบ เมื่อเงยหน้าขึ้นเห็นนางจึงได้แต่ยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก แล้วเอ่ยว่า “พี่ใหญ่ไฉนมาไม่บอกไม่กล่าวกันเสียหน่อยเล่าเจ้าคะ?”
“ดูเหมือนว่าข้าจะมาผิดเวลา รบกวนเจ้าแล้ว” หลัวซืออวี่ยิ้ม สายตาของนางกวาดตามร่างกายของนางทีหนึ่ง
หลัวอวี่ก่วนออกแรงดึงคอเสื้อให้กระชับชิดตัวเข้ามาอีก
สายตาของหลัวซืออวี่ยังคงกวาดผ่าน และได้สังเกตเห็นรอยแดงที่ข้างลำคอของนางแล้ว
แต่นางยังคงควบคุมสีหน้าท่าทางบนใบหน้าได้เป็นอย่างดี ใบหน้าที่แต้มด้วยร้อยยิ้มของนางไม่ปรากฏความสงสัยแม้แต่น้อย “เวลานี้เจ้าสะดวกหรือไม่? เกี่ยวกับงานศพของป้าสะใภ้รอง ท่านแม่ให้ข้ามาปรึกษากับเจ้า ว่าเจ้าคิดเห็นเช่นใด”
“ข้า…” หลัวอวี่ก่วนนั้นอยู่ในสภาพกินปูนร้อนท้อง กำลังจะตัดสินใจที่จะปฏิเสธ แต่เมื่อมองเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอีกฝ่ายแล้ว ก็เกรงว่าตนเองจะส่อพิรุธให้เห็นชัดจนเกินไป จึงรีบรวบรวมสติกลับมาและกล่าวว่า “พี่ใหญ่ไปนั่งรอข้างนอกก่อนเถิด ข้าสวมอาภรณ์เสร็จก็รีบตามออกไป”
“ได้” หลัวซืออวี่ไม่สร้างความลำบากใจให้นาง หันกายเดินออกไปทันที
หลัวอวี่ก่วนสั่งการเซียงเฉ่าด้วยสายตา เซียงเฉ่าจึงรีบไปหยิบอาภรณ์ที่คอค่อนข้างสูงมาให้นางสวมใส่
หลัวซืออวี่ได้พูดกับนางเกี่ยวกับเรื่องงานศพอยู่เป็นเวลานาน หลัวอวี่ก่วนนั้นจิตใจไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว ได้แต่ฝืนสติคอยตอบรับอยู่ตลอดเวลา
พูดคุยกันกว่าหนึ่งชั่วยาม[2] หลัวซืออวี่จึงลุกขึ้นจากไป
เมื่อนางจากไปแล้ว เซียงเฉ่าถึงกับเข่าอ่อนจนทรุดลงกับโต๊ะ ใบหน้าขาวซีด “คุณหนูสาม คุณหนูใหญ่มาได้บังเอิญนัก นาง…ท่านคิดว่านาง…พบอะไรแล้วหรือไม่เจ้าคะ?”
หลัวอวี่ก่วนไม่มั่นใจนัก
นิสัยของหลัวซืออวี่นั้นซ่อนคมมีดไว้ภายใต้รอยยิ้ม หลังจากที่เกิดเรื่องในวันฉูซี[3] ทั้งสองคนต่างก็ไม่ใคร่ได้ไปมาหาสู่กันนัก วันนี้นางมาอย่างกะทันหัน ทำให้น่าสงสัยยิ่งขึ้น
หลัวอวี่ก่วนไม่แน่ใจกับความคิดของอีกฝ่าย ในใจจึงยิ่งกระวนกระวายเป็นเท่าตัว
หากหลัวซืออวี่สืบพบเรื่องของนางกับซูหลิน…
หญิงสาวผู้นั้นคงมิใช่พบเห็นซูหลินมาส่งนางด้วยรถม้าในวันนี้ ดังนั้นจึงมาหยั่งเชิงท่าทีของนาง
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวอวี่ก่วนพลันรู้สึกมือไม้อ่อนไปหมด ทรุดลงนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วพูดด้วยความหวาดกลัวว่า “เป็นไปไม่ได้ มันเนิ่นนานเช่นนี้แล้ว ไฉนจึงต้องเป็นเวลา…”
แต่ในใจนางกลับไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อย
นายบ่าวทั้งสองต่างก็มองอีกฝ่ายด้วยความขลาดกลัว เซียงเฉ่าพูดขึ้นอย่างใจกล้าว่า “ถ้าอย่างนั้นแจ้งไปทางซื่อจื่อดีหรือไม่เจ้าคะ เพื่อเป็นการป้องกัน”
หลัวอวี่ก่วน คุณหนูของครอบครัวสกุลใหญ่มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นเช่นนี้ ซ้ำยังต้องถูกจับได้ ไม่ตายก็ต้องหนังหลุดออกมาเป็นชั้นๆ ชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว
“ไม่ได้ หากเป็นเช่นนี้จริงๆ ยามนี้นางย่อมต้องจับตามองข้าเอาไว้แล้ว” หลัวอวี่ก่วนเอ่ยมาอย่างโมโห ยังมิทันได้พูดจบ ในหัวสมองพลันสว่างวาบราวกับคิดเรื่องอันใดขึ้นมาได้ นางรีบหลบซ่อนสายตากลับมาสงบนิ่งดังเดิม เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปว่า “ก็ดี พรุ่งนี้แต่เช้า เจ้าไปพบซื่อจื่อแทนข้าเถิด”
“เจ้าค่ะ” เซียงเฉ่าไม่สงสัยอันใด พยักหน้ารับอย่างขะมักเขม้น
หลัวอวี่ก่วนมองนางทีหนึ่ง กล่าวย้ำเตือนอีกหน “ยังไม่ต้องพูดอันใดกับเขา เขาจะได้ไม่ต้องกังวลใจ พูดเพียงแต่ว่าข้าอยากพบเขา มีเรื่องอันใดรอให้พบหน้ากันแล้วข้าจะเป็นคนพูดกับเขาเอง”
“เจ้าค่ะ บ่าวทราบแล้ว” เซียงเฉ่าพยักหน้ารับ
แววตาของหลัวอวี่ก่วนทอประกายวาววับ ปรากฏรอยยิ้มเย็นชาอยู่ในนั้น…
นางกำลังกังวลว่าจะหาวิธีการใดมาบีบบังคับให้ซูหลินยอมรับนาง หากหลัวซืออวี่รู้เรื่องของนางและซูหลินจริงๆ กลับเป็นเรื่องดี ทั้งยังใช้ประโยชน์จากนางได้อีก
เมื่อออกมาจากเรือนของหลัวอวี่ก่วน เยียนเอ๋อร์พูดขึ้นอย่างทนไม่ไหว “คุณหนูใหญ่ ท่านดูท่าทางคุณหนูสามที่วิญญาณไม่อยู่กับร่างสิเจ้าคะ ชัดเจนยิ่งนักว่านางมีพิรุธ บ่าวดูไม่ผิดหรอกเจ้าค่ะ บนรถม้าที่เห็นคันนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่มีสัญลักษณ์ใดๆ บ่งบอกถึง แต่คนขับรถม้าผู้นั้นบ่าวเคยเจอที่งานเลี้ยงครั้งหนึ่งเจ้าค่ะ เป็นคนข้างกายของซูซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉางซุ่น”
หลัวอวี่ก่วนนั่งรถม้าของซูหลินกลับมา จะเป็นเรื่องอันใดได้?
หลัวซืออวี่มีสีหน้าเย็นชา ไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียวเพียงแต่เดินกลับเรือนของตนไป นางปิดประตูแล้วพูดกับเยียนเอ๋อร์ว่า “สั่งให้คนที่ไว้ใจได้สองคนเฝ้าเอาไว้ อย่าเพิ่งส่งเสียงอันใด ทางด้านท่านแม่และพี่ใหญ่ก็ไม่ต้องพูด แค่จับตาดูนางไว้ให้ข้าก็พอ”
“ได้เจ้าค่ะ” เยียนเอ๋อร์รับคำ
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันฉูซีครั้งก่อนนั้น หลัวซืออวี่ไม่ถือสาแต่เยียนเอ๋อร์นั้นจดจำไว้ในใจแล้ว หลัวอวี่ก่วนคนต่ำช้าทำร้ายผู้อื่นต่อหน้าฝูงชน มันถึงเวลาที่นางควรได้ลิ้มรสความเจ็บปวดแล้ว
——————————————-
[1] น้ำมาคลองเกิด อุปมาว่า เมื่อเงื่อนไขพร้อมมูล เรื่องต่างๆ ย่อมบรรลุผล
[2] หนึ่งชั่วยาม เท่ากับ เวลาสองชั่วโมง
[3] ฉูซี คือ วันสิ้นปี หรือวันส่งท้ายปีเก่าตามปฏิทินจีน คือคืนก่อนวันตรุษจีน ที่คนไทยเรียก วันไหว้ จะมีประเพณีไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ ติดคำมงคลสีแดงไว้หน้าประตูบ้าน จุดประทัด และกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาสมาชิกในครอบครัว