สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 33.3
บทที่ 33 ถูกสวมเขาอีกแล้ว! (3)
Ink Stone_Romance
ถึงแม้เขาจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ยังเห็นแก่หน้าฉู่สวินหยางจึงไม่เข้าไปก้าวก่าย แต่พอผ่านไปแล้วมาลองคิดดู คำพูดแสนคลุมเครือพวกนั้นของฉู่สวินหยางกลับน่าสืบหาความจริงอย่างมาก
ดังนั้นหลังจากกลับจวนแล้วเขาก็ตามตัวองครักษ์สองคนที่หลัวซืออวี่น่าจะส่งไปทำงานข้างนอกมาถาม จนได้รู้ว่าน้องสาวของตนเองกำลังเฝ้าดูหลัวอวี่ก่วนอย่างที่คาดไว้และยังรู้เรื่องซูหลินด้วย
หลังจากนั้นฉู่สวินหยางยังคาดคะเนเหตุการณ์และตักเตือนเขาอีก…
ว่าอีกไม่นานจะเกิดเรื่องขึ้น
เพียงแต่หลัวเถิงไม่อยากเผยแพร่เรื่องที่เกี่ยวกับฉู่สวินหยางออกไป เขาจึงแกล้งโง่ใส่หลัวซืออวี่และต่อว่านางอย่างไม่พอใจว่า “ข้ายังไม่ได้เรียกหาเจ้าเลย หากไม่ได้ถามเกาซานกับเกาไห่สองคนนั้น เจ้าก็คิดจะปิดบังเรื่องนี้กับข้าตลอดไปหรือ?”
พวกเขาสองพี่น้องเข้ากันได้ดี ตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยผิดใจกัน และไม่ได้ขัดผลประโยชน์อะไรกัน
หลัวซืออวี่ก็ไม่ได้ถือสาเช่นกัน นางยิ้มแล้วเอ่ยอย่างอวดฉลาดว่า “เรื่องเล็กน้อยให้ข้าคอยจับตาดูก็พอแล้ว นี่ก็เพราะไม่อยากรบกวนท่านพี่ไม่ใช่หรือ?”
นางก็ไม่ได้คิดว่าหลัวเถิงจะจงใจปิดบังนางเรื่องอะไรเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่ได้คิดมาก นางกลับไปสนใจเรื่องตรงหน้าอีกครั้ง สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นโดยไม่รู้ตัว “สองสามวันนี้พวกเขาสองคนเจอกันบ่อย หลัวอวี่ก่วนก็ทำทุกวิธีทางเหมือนกับอยากเลื่อนตำแหน่งจนรอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน แบบนี้…จะไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
ถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นความตายของหลัวอวี่ก่วนสักเท่าไร แต่เรื่องนี้กลับเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของบุตรสาวทั้งตระกูลหลัว
แน่นอนว่าหลัวเถิงก็ไม่วางใจเช่นกัน แต่พอคิดถึงท่าทางมั่นอกมั่นใจของฉู่สวินหยาง เขากลับยิ้มอย่างสบายใจว่า “พวกเราคอยสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ดีกว่า ต่อให้นางได้เป็นชายาของซื่อจื่อจวนอ๋องฉางซุ่นจริง ก็ไม่ได้ส่งผลกับพวกเรามากนัก!”
หากไม่มีหลัวฮองเฮาคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังแล้ว ไม่ว่าจะเป็นหลัวเสียงหรือหลัวอวี่ก่วนต่างก็ไม่น่ากลัวทั้งนั้น
ดังนั้นที่หลัวซื่ออวี่ไม่ยอมร่วมมือกับหลัวอวี่ก่วนช่วยให้นางสมหวัง ความจริงแล้วก็แค่รู้สึกไม่ชอบและไม่อยากถูกผู้หญิงคนนั้นใช้เป็นเครื่องมือเท่านั้น และหากนางจะไปอยู่ด้วยกันกับซูหลินจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“อืม!” หลัวซืออวี่พยักหน้า นางเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่ออีกว่า “ถึงยังไงก็คงขวางไม่ให้นางปีนขึ้นสูงไม่ได้ แต่ถ้าปัดแข้งปัดขาให้นางลงมาต่ำหน่อยได้ก็ดี!”
“ดึกมากแล้ว กลับไปก่อนเถอะ รอดูไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลัวเถิงเอ่ย แล้วยกมือตบหลังนาง
สองพี่น้องเดินเคียงข้างกันเข้าไปในตรอกและเข้าจวนหลัวกั๋วกงทางประตูหลัง
ทางด้านนี้องครักษ์ของตระกูลซูขับรถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็วตลอดทาง ทว่าไม่ได้กลับไปเรือนที่เมืองเฉิงหนานอีก แต่เลือกเดินทางผ่านตรอกเปลี่ยวหน่อย จนหาป่าเล็กๆ ที่ห่างไกลผู้คนเจอและจอดลงข้างทางในท้ายที่สุด
องครักษ์สองคนที่ติดตามซูหลินมาต่างรู้ตัวดี พอจอดรถม้าแล้วพวกเขาก็ถอยหลบไปอยู่อีกด้านและคอยเฝ้าอยู่ที่ไกลๆ
เซียงเฉ่าได้ยินเสียงในรถนั้นจนหน้าแดง จึงหลบไปไกลมากอย่างทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน
เรื่องฉู่หลิงซิ่วกระทบจิตใจของซูหลินไม่น้อย เขาปลดปล่อยความโกรธแค้นที่อัดแน่นเต็มอกทั้งหมดลงไปบนตัวหลัวอวี่ก่วน และทรมานนางอย่างหนักหน่วงรุนแรงยิ่งกว่าครั้งไหน
เดิมทีทั้งสองคนต่างมาจากตระกูลสูงศักดิ์ มักเกี้ยวพานกันบ้างและแอบมีความสัมพันธ์กันแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ครั้งนี้กลับต่างออกไป ท้ายที่สุดบุตรสาวจากตระกูลร่ำรวยและมีอิทธิพลที่ได้รับการปลูกฝังให้อยู่ในกรอบศีลธรรมอย่างหลัวอวี่ก่วนก็ทนไม่ไหว นางร้องออกมาเสียงดังอย่างไร้ความเกรงกลัว
ราวกับทั้งสองคนลืมไปหมดแล้วว่าตอนนี้กำลังอยู่ในรถม้าและไม่ถือสาแต่อย่างใด
เสียงนั้นยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนองครักษ์สองคนต่างทนเสียงยั่วยวนแบบนี้ไม่ไหว จึงถอยออกไปให้ไกลยิ่งขึ้นอีก
ทั้งสองคนร่วมรักกันบนรถม้าตลอดทั้งคืน จนกระทั่งหมดสิ้นเรี่ยวแรงในที่สุด และนอนหอบหายใจหนักอยู่ตรงนั้น
อากาศบนถนนค่อนข้างเย็น หลัวอวี่ก่วนจึงดึงผ้านวมบนเตียงมาพันตัวไว้
ซูหลินหันไปมองเห็นใบหน้าอ่อนโยนและท่าทางอ่อนแอบอบบางของนาง แล้วก็ขยับตัวเข้าไปจับคางนางไว้มั่นนัยน์ตาพราวระยับและกระซิบใกล้หูนาง “เมื่อก่อนข้าไม่เห็นรู้ว่าเสียงเจ้าจะเร้าใจขนาดนี้!”
หลัวอวี่ก่วนหน้าแดงในชั่วพริบตา นางเบือนหน้าหนีไปด้านข้างอย่างโกรธเคืองและแสร้งทำเป็นงอนว่า “ซื่อจื่อยังจะพูดอีก…เป็นเพราะท่านรังแกข้านั่นแหละ!”
“ฮ่า!” ซูหลินเห็นท่าทางขวยเขินของนางก็หัวเราะสำราญใจ เขาจูบหน้านางอีกครั้งแล้วเอ่ยเสียงแหบว่า “ข้าชอบท่าทางไร้เดียงสาของเจ้าแบบนี้ ต่อไปต้องทำแบบนี้ถึงจะดี!”
ทั้งสองคนหยอกล้อกันอีกครู่หนึ่ง พอเหนื่อยแล้วก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
หลัวอวี่ก่วนดีขึ้นหน่อยแล้วก็ชำเลืองมองเขา ตอนนี้ถึงได้ลองเอ่ยปากราวกับลังเลว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ? วันนี้เหมือนซื่อจื่ออารมณ์ไม่ค่อยดี?”
แต่เดิมซูหลินก็ไม่ได้ลืมเรื่องฉู่หลิงซิ่วอยู่แล้ว เพียงแต่จงใจไม่พูดถึงเท่านั้น เวลานี้พอหลัวอวี่ก่วนเอ่ยถึง เขาก็นึกถึงขึ้นมาอีกอย่างเลี่ยงไม่ได้ น้ำแข็งเย็นยะเยือกฉาบไปทั่วใบหน้าทันที
หลัวอวี่ก่วนรออยู่ชั่วครู่ไม่เห็นเขาตอบ ก็ขยับตัวไปลูบหน้าเขา พลางเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ซื่อจื่อ เป็นอะไรไปหรือ? หากมีเรื่องในใจลองเล่าให้ข้าฟังก็ได้ ถึงแม้ข้าจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าท่านพูดออกมาอาจจะทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง!”
ซูหลินมองนาง เขาเห็นสีหน้าและความห่วงใยที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของนาง หัวใจพลันอุ่นวาบ จึงลุกขึ้นนั่งแล้วดึงนางเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก พลางครุ่นคิดเอ่ยว่า “อีกไม่กี่วันเจ้าต้องกลับบ้านเกิดจริงๆ หรือ?”
“อื้ม!” หลัวอวี่ก่วนพิงอกเขาแล้วพยักหน้า “เวลานี้ข้าไม่มีที่ยืนในตระกูลหลัวแล้ว ถึงแม้บ้านเกิดจะห่างไกลไปนิด แต่ไม่ว่ายังไงก็เข้มงวดน้อยกว่า ข้าจะได้มีอิสระขึ้นหน่อย”
นางพูดไปก็เริ่มน้ำตาคลอ แล้วเงยหน้ามองหน้าซูหลิน “ข้าไปครั้งนี้ก็ตั้งสามปี ซื่อจื่อเคยรับปากข้าไว้ รอจนถึงตอนที่ข้ากลับมา ต้องมารับข้าไปแต่งงานนะเจ้าคะ!”
ซูหลินก้มลงมองนาง พอโดนกระตุ้นด้วยเรื่องฉู่หลิงซิ่วอีก ก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นในใจอย่างกะทันหัน เขายกยิ้มมุมปากอย่างเย็นชาว่า “ทำไมต้องรอถึงสามปีด้วย? อีกเดี๋ยวเจ้าไปก่อน ถึงเวลานั้นข้าก็ไปรับเจ้ามาจากบ้านเกิด!”
หลัวอวี่ก่วนนิ่งอึ้งไป นางลุกขึ้นมานั่งตัวตรงในอ้อมกอดของเขาคล้ายกับไม่เข้าใจ
สายตาของซูหลินเย็นเยียบและเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าก็ไม่อยากอยู่ที่เมืองหลวงนี้แล้วเหมือนกัน กิจการของตระกูลซูอยู่ทางใต้ทั้งหมด สองสามวันมานี้ข้าทูลฝ่าบาทไปแล้วว่าขอพระราชทานอนุญาตกลับไป ถึงตอนนั้นเจ้าก็กลับไปจวนอ๋องฉางซุ่นด้วยกันกับข้า ที่นั่นไม่มีใครรู้จักเจ้า รอจนเจ้าไว้ทุกข์ครบสามปี ข้าค่อยให้คนเข้าเมืองหลวงมาสู่ขอกับตระกูลหลัว แล้วรับเจ้ามาแต่งงานอย่างเป็นทางการ”
นัยน์ตาหลัวอวี่ก่วนทอประกายวาบ แต่นางกลับรีบซ่อนอารมณ์นี้ไว้อย่างรวดเร็ว
นางบอกซูหลินว่านางจะกลับบ้านเกิดแค่เพื่อกระตุ้นอีกฝ่ายเท่านั้น แต่ความคิดนี้ของซูหลินก็ไม่เลวทีเดียว…
แม้นางต้องไว้ทุกข์ แต่ไม่ให้เจอเขาถึงสามปีจริงๆ คงไม่ได้หรอก? ไม่งั้นหลังจากครบสามปีแล้ว ถึงตอนนั้นผู้ชายจะยังจำว่านางเป็นใครได้หรือ?
หลัวอวี่ก่วนเม้มปาก สีหน้ายังเป็นกังวลอยู่บ้าง “แต่ฝ่าบาทจะยอมให้ท่านกลับไปหรือ?”
ฮ่องเต้ก็ไม่ไว้ใจตระกูลซูเช่นกัน ทีแรกซูหลินควรจะกลับจวนอ๋องฉางซุ่นทางใต้ไปตั้งแต่หลังงานแต่งของซูหว่านหลังปีใหม่แล้ว แต่ฮ่องเต้กลับไม่ยอมและมอบตำแหน่งขุนนางให้เขาอยู่เมืองหลวงต่อเพื่อให้เขาสะสมประสบการณ์
ว่ากันตามความจริง…
การกักตัวเขาไว้ ยังไงก็ถือว่าจงใจใช้เป็นตัวประกันในช่วงคับขัน
ไม่ใช่ว่าซูหลินไม่รู้เรื่องนี้ เพียงแต่พระราชโองการของฮ่องเต้ใครก็ไม่กล้าขัดตามใจชอบทั้งนั้น
————————————-