สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 38.4
บทที่ 38 เหยียนหลิงจวิน พี่ชายภรรยาของเจ้าลักพาตัวสะใภ้หนีไปแล้ว! (4)
Ink Stone_Romance
“จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไรกัน?” มุมปากของฉู่ฉีเหยียนโค้งขึ้นได้รูป เผยรอยยิ้มที่เย็นชาอย่างถึงที่สุดกลับไปให้นาง “แต่ว่าที่นี่ทหารทั้งสองฝ่ายกำลังทำสงครามกันอยู่ เจ้าระวังความปลอดภัยตัวเองเสียหน่อยก็พอแล้ว!”
“มีท่านและท่านพี่อยู่ ข้าก็ย่อมไม่มีอะไรที่จะต้องห่วง” ฉู่สวินหยางยักไหล่ไปที
ทั้งสองคนคุยกันสองสามประโยคอย่างพอเป็นพิธี ฉู่ฉีเหยียนก็หันไปกล่าวกับฉู่ฉีเฟิงด้วยใบหน้าที่จริงจัง “เดิมทีมิใช่ว่าฝ่าบาทวางแผนส่งองค์รัชทายาทมาเป็นผู้นำทัพมิใช่หรือ? เหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า?”
“ช่วงนี้ท่านพ่อมีเรื่องที่ไม่สะดวกอยู่บ้าง จึงมิอาจปลีกตัวมาได้” ฉู่ฉีเฟิงกล่าวอธิบายออกมา
แต่ว่าเขาไม่จำเป็นต้องพูด ฉู่ฉีเหยียนก็กระจ่างใจอยู่แล้ว…
ย่อมต้องมีเรื่องใหญ่อันใดเกิดขึ้นเป็นแน่
ทว่าตอนนี้เขาก็ไม่ถามออกมา เพียงแค่หันหัวม้าเพื่อนำทางไปเท่านั้น “กลับไปค่ายกันก่อนเถิด!”
ฉู่ฉีเฟิงผงกศีรษะ เหลือบมองฉู่สวินหยางไปหนึ่งที “เจ้าจะไปกับพวกข้าหรือจะให้ข้าเรียกคนไปส่งเจ้าพำนักใกล้ๆ เมืองแถวนี้?”
“ข้าไปกับท่านพี่ดีกว่า!” ฉู่สวินหยางตอบ
ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่ได้บังคับ คนทั้งกลุ่มออกเดินพร้อมทั้งนำทหารกองเกียรติยศขนาดมหึมาเลียบริมแม่น้ำไปยังทิศทางของค่ายทหาร
ฉู่สวินหยางให้คนสนิทไปจัดการกระเป๋าสัมภาระของพวกเขาสองพี่น้อง ด้านฉู่ฉีเฟิงเมื่อเข้าไปในค่ายแล้วก็ไปปรึกษางานกับฉู่ฉีเหยียนในกระโจมต่อ ตอนที่กลับมานั้นก็ผ่านไปค่อนคืนแล้ว
กระโจมของทั้งสองพี่น้องนั้นอยู่ติดกัน ฉู่สวินหยางไม่ได้นอนแต่อย่างใดเอาแต่รั้งรออยู่ เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากด้านนอกก็คว้าชุดคลุมมาก่อนจะเดินออกไป
“เหตุใดจึงยังไม่นอนอีก?” ฉู่ฉีเฟิงขมวดคิ้วขึ้นชั่วครู่ เดิมทีตั้งใจจะเข้าไปในกระโจม เวลานี้ก็ได้เปลี่ยนทิศทาง รีบก้าวเดินไปด้านหน้าสองก้าวเพื่อเข้าไปหา
“รอท่านน่ะสิ!” ฉู่สวินหยางกล่าวอย่างยิ้มๆ ขณะที่พูดก็กวาดสายตาไปรอบๆ “เข้าไปพูดด้านในกันเถอะ!”
“อืม!” ฉู่ฉีเฟิงพยักหน้า ทั้งสองคนเข้าไปในกระโจมหลังใหญ่ของฉู่ฉีเฟิงด้วยกัน
ฉู่ฉีเฟิงก็ไม่ได้อ้อมค้อม หลังจากก้าวเท้าเหยียบประตูเข้ามานั่งลงก็เปิดปากกล่าวออกไปตรงๆ ทันที “เป็นดังที่คาดไว้จริงๆ ตอนที่พวกเรากำลังเดินทางมาไม่กี่วันนี้ สถานการณ์ของสงครามนั้นก็พลิกเปลี่ยนไปหมดแล้ว หลังจากเจิ้งตั๋วหายตัวไปวันที่สอง ฉู่ฉีเหยียนก็ทำสงครามกับซูหังเพื่อเป็นการแก้แค้นในนามของแม่ทัพ ผลปรากฏว่าซูหังนั้นประมาทศัตรู จึงพ่ายแพ้อย่างราบคาบ สูญเสียกำลังทหารไปอย่างน้อยสองหมื่นนาย คืนก่อนหน้าเมื่อวาน อาศัยโอกาสที่ลมทางเหนือพัดมา เขาจึงนำกำลังทหารลอบโจมตีด้วยตนเอง ทหารใช้ธนูติดไฟจู่โจมยิงเรือสำเภากว่าสิบลำของอีกฝ่าย แม้ว่าจะยังไม่สามารถคาดการณ์ความเสียหายที่แท้จริงออกมาได้ แต่ก็สามารถทำลายขวัญกำลังใจของฝ่ายศัตรูไปได้เช่นกัน จะถูกบุกตีพ่ายจึงเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นไม่เร็วก็ช้าเท่านั้น”
สถานการณ์สงครามเป็นเช่นนี้ เมื่อสูญเสียขวัญกำลังใจ ผลลัพธ์ของสงครามที่ตามมาก็จะสามารถเห็นผลได้อย่างทันที
“เริ่มแรกซูหังสร้างกองกำลังทหารทางน้ำไปทั่วสารทิศในทะเล ท้ายที่สุดก็นำกองทัพทหารมาจนถึงทางตัน นี่แค่ในระหว่างเวลาไม่กี่ปีเท่านั้น ก็พ่ายแพ้จนยากที่จะรับได้ถึงเพียงนี้แล้วจริงๆ หรือ?” ฉู่สวินหยางประกายสีหน้าเยือกเย็น
อดไม่ได้ที่จะทอดถอนหายใจออกมาแผ่วเบา
“ยามอิ่มท้อง อุ่นกาย ตัณหาก็ย่อมเกิด ผนวกเข้ากับที่มีฝ่าบาทจงใจปล่อยให้เหลิงกาย ทัพทหารนี้ก็ระหองระแหงมาตั้งนานแล้ว ดูดีเพียงแต่ภายนอกเท่านั้นเอง!” ฉู่ฉีเฟิงกล่าว เดินไปที่ข้างโต๊ะก่อนจะรินน้ำให้ตนเอง
ตอนที่กำลังจะส่งเข้าปาก กลับถูกฉู่สวินหยางแย่งไปเสียก่อน นางเบนศีรษะไปด้านนอกกระโจนก่อนออกคำสั่ง
“เจี๋ยหง ไปชงชาร้อนมาสองถ้วย!”
ฉู่ฉีเฟิงส่ายหน้าอย่างจนใจ ทั้งสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ กัน
“เช่นนั้นแล้วหลังจากนี้ล่ะ? ควรจะทำอย่างไร?” ฉู่สวินหยางกล่าวถาม
ฉู่ฉีเฟิงขยับพิงพนักหลังเก้าอี้ นิ้วมือเคาะลงบนแขนเก้าอี้ ครุ่นคิดสักครู่ ก่อนเผยยิ้มสดใสขึ้นมาอย่างทันที “เจ้าบอกว่ายากที่จะได้ออกมาเที่ยวนอกเมืองมิใช่หรอกหรือ? กล่าวกันว่าทางใต้นั้นอุดมสมบูรณ์ ทัศนียภาพเลียบแม่น้ำหมินนั้นก็ไม่เลว เช่นนั้นข้าพาเจ้าไปเที่ยวสักสองสามวันดีหรือไม่?”
ฉู่สวินหยางอดไม่ได้ที่จะถลึงตามองเขา “ท่านไม่กลัวว่าเขาจะส่งสาสน์ขึ้นไป แล้วกล่าวโทษว่าท่านละเลยในหน้าที่หรอกหรือ?”
“ทางด้านของเขานั้นก็คงจะวุ่นอยู่กับวิ่งไล่กวดเอาชัยชนะ เพื่อรวบรวมความดีความชอบทางการทหารให้ได้เร็วที่สุด อีกทั้ง…” ฉู่ฉีเฟิงยิ้มสรวล กลับแฝงไปด้วยความรู้สึกดีอกดีใจที่เห็นผู้อื่นเป็นทุกข์อยู่เล็กน้อย “พวกเรามาแล้ว เรื่องทางเมืองหลวง ไม่ว่าฝ่าบาทจะปกปิดอย่างแน่นหนาแค่ไหนก็คงปิดไว้ได้ไม่นานอีกแล้ว เขาจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาสนใจข้าอีกเล่า?”
พี่น้องสองคนเผยรอยยิ้มสบตากัน คล้อยหลังต่างก็เบนสายตาไปอย่างรู้กัน
ภายในกระโจม เมื่อฉู่ฉีเฟิงออกไป ฉู่ฉีเหยียนก็เรียกให้หลี่หลินเข้ามา
“ทางด้านเมืองหลวงไม่มีข่าวคราวอะไรเลยรึ? เหตุใดจู่ๆ จึงเปลี่ยนตัวเอาฉู่ฉีเฟิงมาอย่างกะทันหันได้ล่ะ?” ฉู่ฉีเหยียนกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็นราวกับน้ำที่แข็งกระด้าง
ราชโองการทั้งสองฉบับส่งมาถึงมือเขาอย่างต่อเนื่องภายในวันเดียวกัน การที่ฮ่องเต้จะส่งฉู่อี้อันมานั้นนับว่ายังอยู่ในการคาดการณ์ของเขาอยู่บ้าง ทว่าจู่ๆ กลับเปลี่ยนเป็นเด็กหนุ่มอย่างฉู่ฉีเฟิง…
นี่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่นิสัยของฮ่องเต้แม้แต่น้อย
เช่นนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น…
เกิดเรื่องขึ้นที่เมืองหลวง ทั้งยังไม่ใช่เรื่องเล็ก จึงเป็นสาเหตุให้ฉู่อี้อันถูกรั้งตัวไว้ไม่สามารถปลีกออกมาได้ ฮ่องเต้จึงจำใจส่งฉู่ฉีเฟิงมาสกัดเขาไว้แทน
“จดหมายที่ส่งมาจากจวนอ๋องก็กล่าวแต่เพียงว่าเย็นวันก่อนหน้าที่รัชทายาทจะออกเดินทางนั้น ได้ถูกลมเย็นจนเกิดล้มป่วยอย่างกะทันหัน ฮ่องเต้เห็นใจจึงเปลี่ยนคนมาแทนขอรับ” หลี่หลินกล่าว “สายลับที่พวกเราส่งกลับไปสืบข่าวนั้นเพิ่งจะออกไปเมื่อวาน หากอยากจะรู้เรื่องข่าวคราวทั้งหมดเกรงว่ายังจะต้องรออีกหลายวันเลยขอรับ”
“ซูอี้กับเหยียนหลิงจวินล่ะ? ทางด้านพวกเขาก็ไม่มีข่าวคราวอะไรเป็นพิเศษรึ?” ฉู่ฉีเหยียนอดไม่ได้ที่จะมีความกังวลใจ เผยใบหน้าเย็นเยียบเดินเตร่ในกระโจมใหญ่ไปสองก้าว
“ไม่มีขอรับ! ซูอี้นั้นเงียบเชียบมาโดยตลอด ส่วนเหยียนหลิงจวินก็ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเช่นกันขอรับ” หลี่หลินกล่าว
บางทีอาจจะไม่ใช่ว่าคนฝ่ายนั้นไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร แต่เป็นเพราะระยะทางที่ไกลเกินไป แม้ว่าเขาจะทิ้งสายลับคอยสอดแนมอยู่ตลอดเวลา แต่สำหรับพวกเขาในตอนนี้ ข่าวคราวทางด้านเมืองหลวงนั้นเท่ากับว่าถูกปิดกั้นเอาไว้
ก่อนหน้านี้ฉู่สวินหยางที่มีท่าทีจริงใจและน่าเชื่อถือนั้น นางย่อมต้องมีแผนการในใจกับเรื่องนี้แล้วแน่
แต่สกุลซูในตอนนี้กำลังพบเจอกับข้อหากบฏร้ายแรง แม้จะพูดว่าเรื่องราวกลับตาลปัตรอย่างไร แต่ซูอี้ก็ไม่อาจถอยออกไปได้ทั้งตัวหรอก
อีกทั้ง…หากจะถอยไปอีกหมื่นก้าว แม้ว่าซูอี้จะโชคดีสามารถมีชีวิตรอดมาได้ แต่กองทัพทหารสกุลซูนั้นก็จะอันตรธานหายไปหมดอยู่ดี เช่นนั้นการใช้ประโยชน์จากซูอี้ก็จะมลายหายไปด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฉู่ฉีเฟิงที่พาซูอี้เข้าคุกด้วยตนเอง…
เรื่องราวย่อมไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ตาเห็นแน่ๆ
“ซื่อจื่อ เช่นนั้นตอนนี้พวกเรา…” หลี่หลินมีสีหน้าที่ลังเล ทั้งยังไม่กล้าวางใจอยู่บ้าง
“เรื่องทางเมืองหลวงนั้นยังนับว่าเหนือบ่ากว่าแรง ช่วงนี้ก็ละไว้ก่อนไม่ต้องไปสนใจ เรื่องที่สำคัญอย่างเร่งด่วนตอนนี้คือต้องพยายามอย่างสุดความสามารถให้สงครามทางด้านนี้สงบลง” ฉู่ฉีเหยียนกล่าวทั้งยกมือหยุดคำพูดด้านหลังของเขาไว้
เวลานี้สถานการณ์ของสงครามทั้งหมดล้วนแต่อยู่ในการควบคุมของเขา รายงานการรบที่พลิกเปลี่ยนสถานการณ์สงครามก่อนหน้านี้คงจะถูกส่งกลับไปเมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว แม้ว่าขณะนี้ฉู่ฉีเฟิงจะมาถึง แต่ผู้ที่ได้ความดีความชอบทางการทหารมากที่สุดก็คงมิวายที่จะเป็นเขาอยู่ดี อีกฝ่ายอย่างไรก็คงทำได้เพียงแค่รอคอยผลประโยชน์จากเขาเท่านั้น
วันนี้
ฉู่สวินหยางและฉู่ฉีเฟิงไม่ได้ตื่นเช้ามาก หลังจากทานอาหารเช้าอย่างไม่รีบร้อนแล้ว ก็เตรียมที่จะไปบอกกล่าวเรื่องที่จะออกจากค่ายให้ฉู่ฉีเหยียนทราบ ไม่คาดคิดว่ากลับเห็นกระโจมด้านนอกนั้นมีคนจำนวนมากล้อมขวางทางไว้อยู่
สองพี่น้องหันไปสบตากันหนึ่งครั้ง ก่อนจะเดินออกไป
“เกิดเรื่องอันใดขึ้น? เหตุใดจึงยืนอยู่กันที่นี่?” ฉู่ฉีเฟิงเอ่ยปากถามไปอย่างสบายๆ
“ท่านกั๋วกงได้รับความช่วยเหลือ ถูกคนส่งกลับมาแล้วขอรับ” ทหารนายหนึ่งตอบ
ฉู่ฉีเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างเงียบเชียบ ใบหน้านั้นกลับไม่มีท่าทีที่เปลี่ยนแปลงไปสักเท่าใด
เรื่องนี้ก็อยู่ในความคาดหมายเช่นกัน ในเมื่อฉู่ฉีเหยียนไม่ได้ให้เจิ้งตั๋วตายในสนามรบ เช่นนั้นไม่ช้าก็เร็วอย่างไรก็ต้องทำให้เขาปรากฏตัวออกมา เพียงแต่ไม่คิดว่าจะประจวบเหมาะกับตอนที่พวกเขาตามมาพอดีก็เท่านั้นเอง
—————————————————