สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 4.1
สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 4.1 ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน! (1)
บทที่ 4 ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน! (1)
โดย
Ink Stone_Romance
รูปร่างดั่งเทวดา งดงามดุจสายวาโย!
แม้ยามนี้จะสวมชุดเครื่องแบบในวังที่อัปลักษณ์อย่างไร แต่ประกายงามบนดวงตาและคิ้วก็ช่วยเสริมให้ทั้งร่างของเขาดูโดดเด่นขึ้นมาท่ามกลางสายลม
เหยียนหลิงจวินเดินตรงออกมาจากตำหนักโดยไม่มองสิ่งอื่นใด
ฉู่หลิงอวิ้นที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าก็แอบลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็เดินเข้าไป “ใต้เท้าเหยียนหลิง!”
ทางเดินของเหยียนหลิงจวินถูกขวางไว้ ทำให้เขาหยุดฝีเท้าในทันที
ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร เพราะไม่มีความจำเป็น กระทั่งยิ้มทักทายก็ไร้ประโยชน์ ผู้อื่นไม่รู้ แต่เขาและฉู่หลิงอวิ้นต่างรู้อยู่แก่ใจดี…
แผนการของฉู่หลิงอวิ้นและซูหลินในวันสมรสวันนั้นเป็นฝีมือเขาที่ทำพังเอง
ในเมื่อประกาศเป็นศัตรูกันแล้ว ครั้นจะทำหน้าตาเป็นมิตรอย่างไรก็เปลืองแรงเปล่า
แววตาของเขาเย็นชา รอยโค้งมุมปากตามธรรมชาติยังคงโค้งงอนไม่เปลี่ยนแปลง แต่สายตากลับทอดไกลออกไป ไม่ได้มองไปทางฉู่หลิงอวิ้นแม้แต่น้อย
ฉู่หลิงอวิ้นไม่รอให้เขาทำอะไรต่อ ได้แต่ขมวดคิ้ว เกิดความรู้สึกอึดอัดทำตัวไม่ถูกอย่างไม่รู้ตัว สุดท้ายก็เป็นฝ่ายกล่าวขึ้นก่อน “อาการของเสด็จย่าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“สิ่งที่ควรบอก ข้าได้บอกแม่นมเหลียงไปหมดแล้ว” น้ำเสียงที่เหยียนหลิงจวินเอ่ย บ่งบอกถึงความเหนื่อยหน่ายไม่อยากจะเสียเวลากับนางอีก เมื่อพูดจบก็เดินผ่านนางไปด้านหน้าต่อ
แค่พูดกับนางสักประโยคจะไม่ยินยอมเลยหรือ?
ในใจของฉู่หลิงอวิ้นเหมือนถูกก่อประกายไฟลุกโชน สีหน้าของนางเฉียบขาด หันมองตามทิศทาง มองแผ่นหลังของเหยียนหลิงจวินไป ก่อนเอ่ย “ท่านรีบออกวังเช่นนี้ คงจะมิได้ไปหาฉู่สวินหยางหรอกกระมัง?”
นางพูดพลางยิ้มเยาะเหยียดหยามอย่างหาเรื่อง “วานนี้นางเพิ่งก่อเรื่องจนฝ่าบาทไม่พอพระทัย ยามนี้หากปล่อยข่าวซุบซิบนินทากับพวกขุนนางด้านนอกก็นับว่าไม่เลว ไม่แน่อาจจะช่วยกลบข่าวเมื่อเย็นวานก็ได้!”
แม้นางจะไม่รู้เหตุการณ์แบบเป็นนามธรรมของเมื่อวานว่าเป็นเช่นใด แต่เดาจากสภาพการณ์แล้ว หนึ่งในตัวการสำคัญนั้นต้องเป็ยฉู่สวินหยางเป็นแน่
ตอนนี้ที่นางพูดยั่วอารมณ์เหยียนหลิงจวินไป ตามจริงเหตุผลหลักๆ ก็แค่อยากคุยกับเขา แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่สนใจและเดินหน้าต่อไปโดยไม่หันกลับมาแม้แต่น้อย
ฉู่หลิงอวิ้นจ้องถลึง ตัดสินใจเริ่มใช้ไม้แข็งขึ้นมาโดยทันที
“นางเป็นถึงท่านหญิงตระกูลกษัตริย์ อายุยังไม่ถึงพิธีปักปิ่นก็ระริกระรี้ไปแอบคบหากันแล้ว” นางไม่ยอมอ่อนข้อ ยิ้มเย้าหัวเราะเสียงสูง สายตายังคงจับจ้องไปที่เงาหลังของเหยียนหลิงจวิน และเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หากข้านำเรื่องนี้ไปเล่าให้เสด็จย่าทราบ ใต้เท้าเหยียนหลิงจะว่าอย่างไร?”
นางคงไม่ไปแกว่งเท้าหาเสี้ยนกับฮ่องเต้ให้โง่หรอก เพราะต่อหน้าหลัวฮองเฮา นางอยากจะทำอะไรก็ได้ อำนาจทุกสิ่งล้วนอยู่ในกำมือ
เหยียนหลิงจวินหยุดฝีเท้าลง ไม่ก้าวเดินต่อไป
เขาไม่ยอมให้ฉู่สวินหยางตกเป็นขี้ปากชาวบ้านตามที่นางคาด ทะเลไฟในใจเผาไหม้ลุกโชนไปทั่ว ฉู่หลิงอวิ้นเผยยิ้มได้ใจ เอ่ยวาจายั่วยวน “กลัวก็แต่เสด็จย่าจะรับเรื่องแบบนี้ไม่ได้น่ะสิ!”
“เห็นทีท่านหญิงอันเล่อคงจะเข้าใจอะไรผิดแล้ว” เหยียนหลิงจวินเอ่ยและถอนหายใจเบาๆ
ฉู่หลิงอวิ้นอึดอัดใจนัก…
เขาล้วนเป็นห่วงเป็นใยคอยครุ่นคิดเรื่องต่างๆ นานาให้นางฉู่สวินหยางนั่นตลอดเวลาจริงๆ!
แต่คิดไปคิดมากลับรู้สึกเริงร่ารื่นรมย์ขึ้นมา…
ถึงเหยียนหลิงจวินจะชอบนางจริงๆ แล้วจะทำไม? พอถึงคราวเข้าจริงๆ สุดท้ายเขาก็ห่วงหน้าพะวงหลังไม่กล้าแม้แต่ยอมรับมิใช่หรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ในใจเธอก็เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่…
หากยามนี้ฉู่สวินหยางอยู่ที่นี่คงจะดี ถ้านางได้ยินวาจาปัดความรับผิดชอบเช่นนี้ของเหยียนหลิงจวินคงจะเสียใจผิดหวังร้องไห้ขี้มูกโป่งเป็นแน่!
มันก็เป็นแค่ละครจอมปลอมเท่านั้น!
คนอย่างเหยียนหลิงจวิน เจ้าชู้ฝังกระดูกดำมาแต่กำเนิด หากจะบอกว่าคนอย่างเขาจะสนใจคนอย่างฉู่สวินหยางก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่คนเช่นนี้…
จะหวังให้เขาจริงใจสักเท่าไรกันเชียว?
ขนาดเขายังจะทำหน้าตาหน้าไหว้หลังหลอกเมื่อไรก็ได้…
เขาก็แค่เล่นสนุกก็เท่านั้น!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ฉู่หลิงอวิ้นก็เริ่มใจชื้นขึ้นมา คนผู้นี้ไม่ใช่ว่าจะเย็นชาป่าเถื่อนกับนางเพียงผู้เดียว ขนาดฉู่สวินหยางเขาก็ไม่จริงใจอะไรกับนางเช่นกัน
ขณะที่พูดเหยียนหลิงจวินก็หันกลับมา
ฉู่หลิงอวิ้นแสยะยิ้มมองเขาอย่างแน่วแน่
“ข้าจะไปแอบคบใครล้วนแต่เป็นเรื่องของข้า ไม่เกี่ยวพันใดใดกับท่านหญิงสวินหยาง” หลังจากนั้นเขายังคงกล่าว “อีกทั้งข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน แม้จะมีเรื่องแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ แล้วจะทำไม?”
ฉู่หลิงอวิ้นตะลึง จู่ๆ สีหน้าก็ขาวโพลน ก้าวเท้าถอยหลังไปก้าวหนึ่งด้วยความยำเกรง
ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน?
แต่นางฉู่หลิงอวิ้นออกเรือนแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น นางยังสร้างข่าวเหม็นโฉ่ต่อหน้าชาวบ้านไปทั่วอีก
นางเป็นธิดาผู้สูงส่งเทียบฟ้า คิดไม่ถึงว่าจะมีวันหนึ่งที่ตกอับและมีจุดจบที่น่าสมเพชเช่นนี้
เจตนาจริงของเหยียนหลิงจวินก็มิใช่จะต่อล้อต่อเถียงอะไรกับนาง และไม่ต้องสงสัย คำพูดสองประโยคนั้นเหมือนแทงใจดำของฉู่หลิงอวิ้นได้อย่างตรงจุด
“ท่านจะแต่งกับนางจริงๆ หรือ?” นางกัดฟันเอ่ยถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ
เหยียนหลิงจวินเบือนสายตาหนี สาวเท้าก้าวเดินต่อไป…
เรื่องของเขาและฉู่สวินหยาง ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรกับคนนอก
“ครั้งก่อนที่ท่านกับนางเด็กนั่นทำแผนข้าเสีย ข้ายังมิได้คิดบัญชีกับท่าน หนึ่งในเหตุผลนั้นยังต้องให้…” ฉู่หลิงอวิ้นอ้อมไปดักด้านหน้า
ชายผู้นี้รู้เรื่องทุกสารทิศ ไม่ได้โง่เขลาแต่อย่างใด ที่นางยอมเขาอดทนแล้วอดทนอีกเป็นเพราะเหตุผลใด มีหรือที่เขาจะไม่รู้?
คำพูดพวกนี้ ฉู่หลิงอวิ้นเองก็เหนียมอายเก็บเอาไว้ตลอดไม่ยอมพูด แต่ถึงตอนนี้อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกไปแล้ว
ท่าทีของนางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น สายตาเย็นยะเยือกเหมือนมีมนต์น้ำแข็งเคลือบไว้
“ในเมื่อเจ้าเองก็รู้เหตุผลดีก็ควรคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับข้า” เหยียนหลิงจวินยังคงยิ้มแย้มไม่เปลี่ยน ไม่รอให้นางพูดตอบก็ขัดบทขึ้นมา “ครั้งก่อนข้าแค่เอาต้นทุนคืน ยังมิได้เพิ่มดอกเบี้ยแม้แต่น้อย เจ้าแค่รู้ว่าควรทำอย่างไรก็พอแล้ว หากตามไปก่อกวนนางอีก…”
เหยียนหลิงจวินพูดแล้วก็หยุดเว้น นัยน์ตานิ่งดุจวารีสะท้อนแสงเป็นประกาย ในความแวววับนั้นยังซุกซ่อนเสน่ห์อำมหิตที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้น “ข้าไม่สนว่าเจ้าเป็นบุรุษหรือสตรี เป็นท่านหญิงหรือองค์หญิง พวกเจ้ากับข้า..คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องคุยกัน!”
บางคนเห็นว่าตนมีฐานะมีอำนาจเลยได้รับการยอมรับจากผู้อื่น แต่สำหรับเขาสิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ไร้ประโยชน์
ฉู่หลิงอวิ้นกะพริบตาปริบๆ มองรอยยิ้มนั้นของเขา และเริ่มก้าวถอยออกไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
“นี่ท่านขู่ข้าอย่างนั้นหรือ?” สุดท้ายนางก็ร้องขึ้นมา ฟังดูคล้ายจะไม่จริงจัง เมื่อพูดไปครึ่งหนึ่ง น้ำเสียงก็ดุเดือดเลือดร้อนขึ้นมา “เหยียนหลิงจวิน ท่านจะทำตัวเป็นศัตรูกับข้ากี่ครั้ง ทุกๆ ครั้งได้แต่อดทน นี่ท่านคิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ? เรื่องครั้งก่อนที่ข้าช่วยท่านปิดบังไว้ หากข้านำเรื่องที่ท่านมีส่วนร่วมวางแผนฆ่าไปบอกให้ท่านพ่อรู้ ท่านเชื่อหรือไม่…”
“ก็แค่จวนอ๋องหนานเหอ!” เหยียนหลิงจวินแสยะยิ้ม โพล่งตัดบทนางขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่สนใจ
ฉู่หลิงอวิ้นอ้าปากค้าง ตกใจไม่น้อย เมื่อได้สติก็เอ่ยต่อ “ท่านอยู่ยงคงกระพันมาถึงทุกวันนี้ได้ อีกทั้งยังได้รับความเชื่อถือจากฝ่าบาทนับว่าไม่ง่าย นี่ท่านไม่รู้จริงๆ หรือว่าแค่ข้าปริปากบอกท่านพ่อแล้ว ท่านจะไม่เหลืออะไรเลย”
เหยียนหลิงจวินไม่ได้มีรากมีฐานในราชสำนักใดใด แม้เขาจะมีรุ่ยชินอ๋องหนุนหลังอยู่ แต่โทษลอบวางแผนทำร้ายตระกูลกษัตริย์นั้นร้ายแรงนัก ถึงจะเป็นรุ่ยชินอ๋องก็ไม่กล้าช่วยแก้ต่างแทนเขาได้
เหยียนหลิงจวินทำเพียงจ้องนาง คลี่ยิ้มไม่พูดอะไร เหมือนไม่ได้ใส่ใจสักเท่าไร
ฉู่หลิงอวิ้นเห็นท่าทีไม่สนใจไยดีเช่นนี้ของเขายิ่งรู้สึกว่าตนดูเขาไม่ออก ตามหลักการนั้นตอนนี้เขาจะต้องหาวิธีแก้ต่างอย่างไม่คิดชีวิต แม้เพียงแสร้งทำเป็นสงบก็ตาม…
นางจับตามองในทุกๆ การกระทำของเขา แต่กลับไม่เห็นจุดพิรุธ
เขา…
ไม่กลัวจริงๆ หรือ?
หรือว่ามั่นใจว่านางจะช่วยเขาปิดบังไว้ได้ตลอด?
ฉู่หลิงอวิ้นมองชายหนุ่มหน้าตายตรงหน้าอย่างคาดไม่ถึง ยิ่งมองก็ยิ่งใจสั่น ยิ่งขวัญผวา
“ข้ามิได้แค่ขู่ ท่านควรรู้ไว้ด้วย!” เมื่อคุมร่างของตนได้ สุดท้ายร่างบางก็ยังคงเอ่ยต่อ พลางจ้องหน้าชายหนุ่มเขม็ง
เหยียนหลิงจวินทำเพียงปรายตามองนางแวบหนึ่งและเบือนหนีไป “เสียดาย…เจ้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก!”
———————————-