สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 4.3
สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 – บทที่ 4 ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน! (3)
บทที่ 4 ข้ายังไม่แต่งภรรยา นางยังไม่ออกเรือน! (3)
โดย
Ink Stone_Romance
“ใช่นะสิ!” ฮั่วชิงเอ๋อร์ตื่นเต้นกว่าใคร พูดไปพูดมายกชายกระโปรงของตนวิ่งไปเลือกตุ๊กตาแป้งปั้นที่หน้าร้านฝั่งตรงข้าม “เมื่อสองปีก่อนตอนที่อยู่บ้านเกิด ข้าก็เคยไปงานโคมไฟในเมืองกับลูกพี่ลูกน้อง ยังมิอาจเทียบกับที่นี่ได้เลย”
พอพูดเสร็จก็หันไปกวักมือเรียกพวกฉู่สวินหยาง “รีบมาสิ! ยากนักกว่าจะมีโอกาสได้คึกครื้นเช่นวันนี้ ข้าได้ยินมานานแล้วว่าวันฉลองเทศกาลมักมีของแปลกใหม่มากมาย วันนี้ข้าจะซื้อให้หนำใจ พวกเจ้าชอบอะไรก็เลือกเอา วันนี้ข้าเลี้ยงเอง!”
รอยยิ้มของนางสดใสชวนมอง มันแผ่ลามไปถึงทุกคนอย่างง่ายดาย
พวกฉู่เยว่หนิงอดที่จะยิ้มตามไม่ได้ ล้วนเดินเข้าไปร่วมวง
ฉู่สวินหยางจงใจเดินช้าลงก้าวหนึ่ง เอ่ยพูดกับเจี่ยงลิ่วที่ติดตามมาว่า “เจ้าสั่งการลงไป ให้แบ่งคนกระจายออก จัดทหารตามพวกข้าคนละสองนาย จะได้ดูแลอย่างทั่วถึง ส่วนที่เหลือให้รอที่รถม้า บนถนนคนมาก เกรงว่าจะเล่นสนุกเพลินแล้วพลัดหลงกันได้”
เพิ่งจะเกิดเรื่องขึ้นกับฉู่ฉีฮุย เหล่าแม่หญิงอย่างพวกฉู่สวินหยางยังอ้างได้ว่าไร้ประสบการณ์ อยากจะเล่นไปอย่างไรก็ได้ แต่ฉู่ฉีเฟิงนั้นต้องหลบเลี่ยง ด้วยที่ว่าเขาไม่สะดวกออกมา จึงสั่งให้เจี่ยงลิ่วพาคนมาตามดูแลฉู่สวินหยาง
“ขอรับ กระหม่อมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!” เจี่ยงลิ่วพยักหน้ารับคำสั่งและหมุนตัวไปจัดการ
ฉู่สวินหยางจึงเดินเข้าไปเลือกตุ๊กตาแป้งปั้นกับพวกฮั่วชิงเอ๋อร์อย่างกระตือรือร้น
นักปั้นเป็นชายชราอายุราวหกสิบได้ ฝีมือของเขาช่างรังสรรค์นัก ไม่ว่าจะปั้นเป็นคนหรือสัตว์ ล้วนแต่มีชีวิตชีวาสมจริงไปเสียหมด
หญิงสาวพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจกันอยู่หน้าร้านนั้น แต่สายตาของฉู่สวินหยางกลับสะดุดที่รูปปั้นหญิงสาวในชุดเรียบง่ายแสนธรรมดาตัวหนึ่ง
หญิงผู้นั้นสวมชุดกระโปรงง่ายๆ คุกเข่าอยู่บนพื้น บนนิ้วมีนกที่รูปร่างคล้ายนกกระจอกเกาะอยู่ กลางฝ่ามือที่แบออกเหมือนจะมีอาหารอะไรอยู่ด้วย ชายเฒ่าฝีมือดีมาก ถึงปั้นเครื่องหน้าของหญิงสาวออกมาได้อย่างมีพลัง ตาคิ้วล้วนสละสลวย ดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว รอยยิ้มเหมือนมีพลังที่ทำให้คนรอบข้างยิ้มตามไปด้วย ช่างสมจริงและประณีตเหลือเกิน
ฉู่สวินหยางตั้งใจมองมาก จนยิ้มตาโค้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ส่วนคนอื่นๆ ล้วนแต่ยืนตื่นเต้นกันอยู่ด้านหน้า จึงไม่ได้สนใจอะไร ยกเว้นสาวใช้สองคนข้างกายนางที่สังเกตเห็นและมองตามไป เมื่อกวาดตาไปเจอรูปปั้นหญิงสาว สองคนก็ตะลึง แล้วหันกลับมามองฉู่สวินหยางโดยมิได้นัดหมาย
แต่ฉู่สวินหยางกลับไม่ได้สนใจ ยื่นมือออกไปหยิบรูปปั้นคนที่อยู่บนชั้นนั้น แต่ยังไม่ทันจะแตะโดนก้านไม้ไผ่ กลับมีมือคู่หนึ่งยื่นไปหยิบตัดหน้าเสียก่อน
เห็นได้ชัดว่าเป็นมือของบุรุษ
หญิงสาวไม่กี่คนต่างตกตะลึง หันกลับไปมองโดยไม่รู้ตัว เวลาเดียวกันก็ได้ยินเสียงหยอกเย้าดังขึ้นมาจากด้านหลัง “ไอหยา รูปปั้นนี้ไม่เลวจริงๆ แม่นางชอบรึ? ข้าน้อยจะได้ยืมดอกไม้ถวายพระ ซื้อให้เจ้าดีหรือไม่?”
น้ำเสียงของเขาหยอกเย้า แต่ก็ไม่ได้ดูจริงจังอะไร ทั้งๆ ที่เป็นคนแปลกหน้า แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกต่อต้านเลยสักนิด
ซูอี้ถือไม้ไผ่ที่เสียบรูปปั้นหญิงสาวไว้ในมือ ก่อนจะส่งไปตรงหน้าฉู่สวินหยางพร้อมรอยยิ้ม ทว่าเบื้องหน้าพลันมีชายแขนเสื้อชุดเขียวปัดผ่าน ทำเอารูปปั้นในมือตกพื้น ตามมาด้วยเสียงหัวเราะที่แฝงไปด้วยความเยือกเย็นและไม่เป็นมิตร “นางมิชอบของพวกนี้หรอก!”
ไม่ต้องสงสัยเลย ชายคนที่แทรกเข้ามาก็คือเหยียนหลิงจวิน
รูปปั้นนั้นปั้นเสร็จนานแล้ว มันจึงเปราะมาก พอตกลงพื้นจึงแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
“ไอหยา!” ชายเฒ่าเห็นดังนั้น ก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา รีบวิ่งอ้อมออกจากแผงร้านก้มลงเก็บเศษรูปปั้นที่เกลื่อนเต็มพื้นทีละชิ้นๆ พลางเอ่ยหน้าดำคร่ำเครียดว่า “เจ้านี่ไร้มารยาทเสียจริง ทำของของข้าพัง เจ้า…เจ้า…”
“น่าเสียดายจริง ทำให้ท่านผู้เฒ่ามากฝีมือต้องลำบากแล้ว” ซูอี้เอ่ยพลางโค้งตัวช่วยประคองชายเฒ่าด้วยสีหน้าจริงใจ ก่อนจะล้วงเงินออกจากอกเสื้อและยัดให้เขา “เป็นเพราะข้าเองที่มือไม้ลื่น แผงนี้ทั้งแผงข้าขอเหมาหมดเลยก็แล้วกัน วันฉลองเทศกาลเช่นนี้ ขอให้ร่ำให้รวย ให้ร่ำให้รวย!”
เดิมชายเฒ่าก็ยังโมโหกับเรื่องรูปปั้นที่ตกแตกอยู่ พอเห็นเงินแล้วก็ไม่ได้ทำสีหน้าดีขึ้นแต่อย่างใด เพียงแต่เห็นชายหนุ่มยิ้มอย่างจริงใจเช่นนี้จึงไม่กล้าอาละวาดอีก ได้แต่เก็บเงินไปปนอารมณ์โกรธเคือง สุดท้ายก็ถลึงตาใส่เขาอย่างโมโหอีกที
ซูอี้คลี่ยิ้มจนเห็นฟันขาวสะอาด ก่อนจะหันกลับไปพูดกับพวกฉู่สวินหยาง “เป็นข้าที่บุ่มบ่าม ลบหลู่ทุกท่านแล้ว รูปปั้นพวกนี้ก็นับว่าเป็นของไถ่โทษให้กับแม่นางทั้งหลายก็แล้วกัน!”
บนถนนใหญ่นี้ ฐานันดรของพวกฉู่สวินหยางมิอาจเปิดเผยได้ ฉะนั้นจึงละการเอ่ยขนานนามกันไว้
เขาเกิดมาหน้าตาหล่อเหลา และยังสุภาพมีน้ำใจ รอยยิ้มแสนดีของเขาจึงทำให้เหล่าหญิงสาวหน้าแดงก่ำโดยไม่รู้ตัว
“ซูอี้ คุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่น!” เหยียนหลิงจวินเอ่ยพร้อมกับก้าวขึ้นไปยืนข้างกายฉู่สวินหยางครึ่งก้าว ราวกับมีเจตนาใช้กายของตนยังโฉมหน้านางไว้
ชายหญิงกลุ่มนี้หน้าตาโดดเด่นอาภรณ์มิสามัญ ยืนอยู่กลางถนนเช่นนี้ค่อนข้างจะสะดุดสายตาผู้คน ชายเฒ่าที่อยู่หลังแผงขายยังคงปั้นตุ๊กตาด้วยสีหน้าเย็นเยียบ พลางเหลือบมองเป็นระยะๆ สีหน้ายังคงมีอารมณ์โกรธอยู่
“คุณชายรองซู!” พวกนางเอ่ยทักทายอย่างมีมารยาท
ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวลือบอกว่าคุณชายรองตระกูลซูมายังเมืองหลวง แต่แค่ไม่มีใครเคยพบเขาในที่สาธารณะ การมีอยู่ของเขาจึงให้ความรู้สึกลึกลับพอตัว
บัดนี้ได้เจอตัวจริงแล้ว จึงได้รู้ว่าเขาเป็นบุรุษที่โดดเด่น เมื่อเทียบกับซูหลินที่ค่อนข้างเย่อหยิ่งแล้ว คุณชายรองตระกูลซูผู้นี้กลับดูน่าเข้าใกล้สนิทสนมกว่าหลายส่วน
พอตอนนี้เมื่อยืนคู่กับเหยียนหลิงจวิน ทั้งคู่ต่างดูสง่าผ่าเผยไปหมด แต่แค่ดวงตาของเหยียนหลิงจวินแฝงไปด้วยอารมณ์บางอย่าง เมื่อคนมองแวบแรกก็ทำให้หน้าแดงใจสั่นและยังให้อารมณ์เหินห่างหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน จนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เขานัก
แต่คุณชายรองตระกูลซูผู้นี้กลับไม่เหมือนกัน ทั้งภายในและภายนอกล้วนอ่อนโยนแสนอบอุ่น โดยเฉพาะรอยยิ้มนั้น ที่เหมือนแฝงพลังอะไรบางอย่างทำให้ผู้คนชื่นตาสบายใจ
แต่อย่างไรก็เป็นการพบกันครั้งแรก พอทักทายเสร็จทุกคนจึงเบือนสายตาหนี
“ใต้เท้าเหยียนหลิงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?” ฉู่เยว่หนิงมองไปทางเหยียนหลิงจวินอย่างคาดไม่ถึง
“ว่างๆ เบื่อๆ จึงนัดคุณชายรองออกมาดื่มสักแก้ว ไม่คิดว่าจะเจอพวกเจ้าที่นี่” เหยียนหลิงจวินเอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน
ฉู่สวินหยางไม่เชื่อว่าเขาจะบังเอิญเจอ แต่ก็ไม่ได้โพล่งออกไป
“เช่นนั้นก็บังเอิญเหลือเกิน พวกเราก็เพิ่งถึงเช่นกัน” ฮั่วชิงเอ๋อร์เอ่ย เห็นได้ชัดว่าเชื่อในคำพูดของเขา “พวกเจ้าจะไปที่ใดหรือ? พวกเราจะเดินเล่นไปตามถนนสายนี้ หาก…”
“พวกข้าเหมาเรือไว้ที่แม่น้ำด้านหน้า ต้องเดินผ่านถนนสายนี้พอดี” เหยียนหลิงจวินเอ่ย “นัดเจอมิสู้บังเอิญพบ เช่นนั้นก็เดินไปด้วยกันเถอะ หากเวลาเอื้ออำนวย ข้าก็ขอเชิญทุกท่านนั่งเรือชมทิวทัศน์ด้วยกันดีหรือไม่?”
เขาเป็นคนโอนอ่อนผ่อนตาม แม้สำนักหมอหลวงจะไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องการบ้านการเมือง แต่หลายเดือนมานี้ที่เขาอยู่เมืองหลวง ความสัมพันธ์ของเขากับเหล่าขุนนางกลับกระชับขึ้นอย่างรวดเร็ว ปกติเวลาร่วมงานเลี้ยงกินดื่นก็ไม่ได้เก้อเขินอะไร
พวกนางนานๆ ทีจึงจะได้ออกมาเที่ยวเล่น ยิ่งมีคนรุกเร้าชักชวนเช่นนี้ ยิ่งไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ
“เอาสิๆ ข้าก็ยังไม่เคยนั่งเรือชมทิวทัศน์เหมือนกัน เห็นทีวันนี้มีโอกาสได้ชมแล้ว” ฮั่วชิงเอ๋อร์เอ่ยด้วยความตื่นเต้น
เหยียนหลิงจวินคลี่ยิ้ม
ซูอี้เดินนำไปก่อนก้าวหนึ่ง
คนอื่นๆ เดินตามอยู่ด้านหลัง
ตอนนี้ทุกคนล้วนแต่ตื่นเต้นดีใจ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นฉู่สวินหยางที่จงใจรั้งตัวอยู่ท้ายสุด
ฉู่สวินหยางไม่ขยับ เหยียนหลิงจวินจึงยืนรอนางอยู่ข้างๆ กระทั่งผู้อื่นเดินไปหมดแล้ว นางจึงยิ้มให้เขาก่อนจะก้าวไปด้านหน้า พร้อมกับเอ่ยถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะออกมา?”
เหยียนหลิงจวินมองตรงเดินไปด้านหน้า และตอบกลับมาอย่างจริงจังสองพยางค์ว่า “เดาเอา!”
ฉู่สวินหยางเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจจะถือสาเขา ได้แต่ชมดูของแปลกใหม่ตามร้านสองข้างทางด้วยความสนอกสนใจ
ถนนสายนี้ผู้คนมากหน้าหลายตา แต่เหยียนหลิงจวินก็เดินตามนางไปเรื่อยๆ
คนในกลุ่มทำให้ขบวนยาวเหยียด เดินตรงไปตามทางด้านหน้าอย่างสนุกสนาน
“ชิงหลัว เจ้ารู้สึกหรือไม่ว่ารูปปั้นที่โดนคุณชายรองซูทำแตกดูคล้ายกับท่านหญิงของเราอยู่หลายส่วน” ชิงเถิงและชิงหลัวตามอยู่ด้านหลัง อดกลั้นมานาน สุดท้ายชิงเถิงก็กระตุกชายเสื้อแล้วกระซิบกระซาบกับชิงหลัวอย่างอดไม่ได้
—————————–