สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 40.4
บทที่ 40 ชายแดนเหนือเกิดเรื่อง ฮ่องเต้กระอักเลือด (4)
Ink Stone_Romance
เพราะการเข้าร่วมของซูอี้ สถานการณ์ศึกที่ชายแดนเหนือถึงได้พลิกผัน กลับมาเอาชนะได้อยู่หลายศึก
ทว่าแม่ทัพประจำชายแดนเหนือของราชสำนักเป็นคนจิตใจคับแคบและชอบคิดการใหญ่ รายงานศึกที่ส่งกลับมาทุกครั้งไม่เพียงเอาแต่คุยโตโอ้อวด ทั้งยังกลัวว่ากุนซือผู้วางแผนทุกอย่างอยู่เบื้องหลังอย่างซูอี้จะได้ปูนบำเหน็จจนตำแหน่งของตนสั่นคลอน ดังนั้นรายงานศึกทุกฉบับจึงเอาแต่สาธยายว่าตนแสดงความห้าวหาญอย่างไร นำทัพไปตีศัตรูจนถอยร่นได้อย่างไร และเมื่อได้รับคำแนะนำจากซูอี้ให้โจมตีพื้นที่เพาะปลูกของอีกฝ่ายแล้ว ก็บีบบังคับให้ซูอี้ต้องถอนตัวออกมา
ตอนนั้นซูอี้ก็รู้เต็มอกว่าสถานการณ์ศึกไม่อาจสงบได้ในเร็ววัน พวกคนชายแดนเดิมก็ทรหดนัก ถูกเอาเปรียบมากขนาดนั้นคงต้องหาทางเอาคืนแน่ จึงได้ถอยออกมาก่อนตามที่ตกลงกันไว้กับฉู่สวินหยาง
เขาจากมาไม่นาน ทางโน้นก็เกิดช่องโหว่รอยใหญ่
แต่เพราะปูนบำเหน็จเพิ่งจะพระราชทานลงมา แม่ทัพอยากได้ความดีความชอบจึงไม่กล้ารายงานสถานการณ์การศึก เขาเลือกที่จะปกปิดความจริงเอาไว้อีกครั้ง สุดท้าย ฉู่อี้อันก็เลือกเวลาที่เหมาะสมสั่งคนให้ยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจ ฮ่องเต้ถึงได้รับรู้ความจริงทั้งหมด
เวลานั้นชายแดนเหนือวุ่นวายหนัก พระองค์เองก็อายุมากแล้ว อีกทั้งทางใต้ก็ยังมาเกิดสงคราม เพื่อเรียกความเชื่อมั่นของประชาชน พระองค์จึงรีบสั่งให้ปิดข่าว แล้วลอบส่งฉู่อี้อันไปที่ชายแดนเหนือเพื่อจัดการเรื่องนี้
ฉู่อี้อันไปถึงได้ไม่กี่วัน ก็ใช้ทหารหลวงสามหมื่นนายเป็นกำลังเสริมตรึงสถานการณ์ไว้ชั่วคราว จากนั้นก็ตรวจสอบความจริงของสถานการณ์ศึกก่อนหน้านั้นทั้งหมดแล้วรายงานให้กับฮ่องเต้ทรงทราบ
ดังนั้น…
‘ซูชิงสุ่ย’ สามพยางค์นี้จึงได้เข้ามาอยู่ในสายตาของพระองค์
ตามหลักแล้วสกุลซูที่คิดคดทรยศ จะต้องถูกถอนรากถอนโคนให้สิ้น
แต่เพราะเหตุการณ์ทางเหนือสุ่มเสี่ยงอย่างมาก ฉู่อี้อันก็หาได้คุ้นเคยพื้นที่ สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ชั่วคราวถือว่าไม่ง่ายแล้ว ตอนนี้จึงต้องการคนที่เข้าใจการศึกทางเหนือและสามารถคุมทัพได้ไปช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
มิฉะนั้น…
หากไม่อาจแก้ปัญหานี้ได้อย่างทันท่วงที ทันใดที่ข่าวรั่วไหลออกไป มีแต่จะทำลายขวัญกำลังใจเหล่าทหาร และยังจะกระทบต่อสถานการณ์ศึกที่เมืองฉู่และเมืองทางใต้อีกทั้งสองแห่งด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ทั่วป๋าไหวอันแห่งโม่เป่ยที่มีบัญชีแค้นกับราชสำนัก อาจฉวยโอกาสเข้ามาเหยียบซ้ำอีกเมื่อไรก็ไม่มีใครรู้
แต่สถานการณ์ของสกุลซูก็เป็นอย่างที่รู้ๆ กัน ฮ่องเต้ถึงยังนึกสองจิตสองใจไม่รู้ว่าจะใช้งานซูอี้ดีหรือไม่ ถึงอดจะหยั่งเชิงเหยียนหลิงจวินดูไม่ได้
“ราชสำนักเรามีแม่ทัพมือดีอยู่มาก ฝ่าบาทจะเลือกสักคนสองคนไปช่วยองค์รัชทายาทคุมทัพย่อมไม่ใช่เรื่องยากเลยพ่ะย่ะค่ะ!” เหยียนหลิงจวินตอบ
“ตอนนี้สถานการณ์รบตึงเครียดหนัก ข้าจะไปเรื่องมากเลือกคนได้อย่างไร” ฝ่าบาทตรัส พลางถอนหายใจคิ้วขมวดมุ่น “เจ้ากับคุณชายรองสกุลซูนั่นมิใช่สนิทสนมกันรึ? น่าจะรู้จักนิสัยใจคอกับความสามารถของเขาดี เจ้าคิดว่า…เขาจะรับผิดชอบงานนี้ได้หรือไม่?”
เหยียนหลิงจวินได้ฟัง ในใจพลันแสยะยิ้ม…
ตอนนี้ฮ่องเต้คงมองออกแล้ว ว่ามีเพียงให้ซูอี้ออกหน้าถึงจะเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด สิ่งที่พระองค์เป็นห่วงไม่ใช่ความสามารถของซูอี้ แต่เป็น…
หากว่าซูอี้ไปทำศึกที่ชายแดนเหนือแล้วสร้างความดีความชอบกลับมา และถ้าเรื่องของสกุลซูจบลงแล้ว จะวางเขาไว้ในจุดไหน?
พูดตามตรงก็คือพระองค์ต้องการเก็บทั้งปลาและตีนหมีลงกระเป๋า ทรงอยากใช้ซูอี้ไปจบศึกที่ชายแดนเหนือแทนพระองค์ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่อยากเก็บอ๋องต่างแซ่อย่างอ๋องฉางซุ่นไว้ให้ระคายสายตาอีก
ราชาแห่งแคว้น แม้แต่ในสถานการณ์ศึกที่หน้าสิ่วหน้าขวานก็ยังมิวายวางแผนเหล่านี้…
บุคคลเช่นนี้ช่างเป็นบุปผาอัศจรรย์ที่ยากจะพบเจอในใต้หล้าจริงๆ
“ตั้งแต่เล็กร่างกายของซูชิงสุ่ยก็ไม่สู้ดี ด้วยความบังเอิญ กระหม่อมเคยได้รักษาเขาอยู่ช่วงหนึ่งจนอาการดีขึ้น สองฝ่ายต่างคุยกันถูกคอ เขาเป็นคนมีปัญญาเฉลียวฉลาด ถือเป็นผู้มีความสามารถอย่างหาได้ยากผู้หนึ่ง” เหยียนหลิงจวินตอบน้ำเสียงเจือความเย็นเยียบ “ทว่าเขาโกรธแค้นสกุลซู จึงไม่เคยสมานฉันท์กับจวนอ๋องฉางซุ่นเลยสักครั้ง ทั้งยังถูกขับไล่ออกจากตระกูลด้วย”
เรื่องที่สกุลซูไม่สนใจไยดีซูอี้นั้นฮ่องเต้ก็รับรู้ แค่เพราะคนผู้นี้เพิ่งเข้ามาอยู่ในความสนใจของพระองค์ ตอนที่ให้คนไปตรวจสอบก็พบว่าสกุลซูทางนั้นมีการสะสางบันทึกในช่วงไม่กี่ปีมานี้ใหม่ทั้งหมด จึงไม่พบเบาะแสที่เป็นประโยชน์สักอย่าง
บัดนี้ได้มาฟังคำจากเหยียนหลิงจวิน สายตาของพระองค์ก็สว่างเป็นประกาย “อ้อ?”
“เดิมนี่ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา กระหม่อมเป็นเพียงคนนอกไม่อาจเข้าไปตัดสิน แต่ในเมื่อฝ่าบาททรงตรัสถาม กระหม่อมก็ไม่กล้าปิดบัง” เหยียนหลิงจวินตอบ เอ่ยนำก่อนอย่างลำบากใจแล้วถอนหายใจทีหนึ่ง “ปีนั้นอ๋องฉางซุ่นคนก่อนได้ตัดสินใจเลือกหลานชายของตน ซึ่งก็คือคุณชายสามซูฉีให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอ๋อง ได้ยินว่าฎีกาก็ถวายขึ้นมาแล้วใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“อืม!” ฮ่องเต้พยักหน้า คิ้วขมวดมุ่น คล้ายว่าการรำลึกถึงเรื่องเก่าแก่ในอดีตทำให้พระองค์สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงอย่างมาก กล่าวต่อว่า “ตอนนั้นเด็กคนนั้นยังเล็ก ข้าจึงไม่เห็นด้วย บอกให้รออีกสักหน่อย แต่คิดไม่ถึงว่า…”
“คุณชายสามสกุลซูที่อายุสั้นคนนั้นเป็นพี่น้องแท้ๆ กับซูชิงสุ่ย ในปีนั้นเพราะซูจิ่นรั่งเลือกซูฉีให้เป็นผู้สืบทอดตระกูล จึงกระทบต่อผลประโชยน์ของพ่อลูกบ้านรองสกุลซู ดังนั้นการตายของซูฉีจึงมีมูลเหตุภายใน” เหยียนหลิงจวินเล่าขยายความแต่เพราะความหลังเหล่านี้เป็นเรื่องราวของสกุลผู้อื่น น้ำเสียงที่เขาใช้จึงราบเรียบไร้อารมณ์
ฮ่องเต้ใช่ว่าจะดูไม่ออก พระองค์ทรงใช้ชีวิตท่ามกลางการแก่งแย่งชิงดี ความจริงพระองค์ทรงเดาออกแต่แรกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน ทั้งยังเคยคิดจะใช้เรื่องนี้ทำลายซูหังพ่อลูกเสีย แต่ว่าเบาะแสทุกอย่างของสกุลซูถูกกำจัดอย่างหมดจด พระองค์ยังหาช่องโหว่ไม่เจอด้วยซ้ำ
“เด็กคนนั้น…” ฮ่องเต้พึมพำเบาๆ
“พ่ะย่ะค่ะ!” เหยียนหลิงจวินพยักหน้ารับ “แท้จริงเป็นฝีมือของซูหังพ่อลูก แม้ความสามารถของซูชิงสุ่ยในตอนนั้นจะสู้คุณชายสามซูฉีไม่ได้ แต่เมื่อเทียบชั้นกันแล้วก็ยังเหนือกว่าซูหลิน ซูหังพ่อลูกนั้นเพื่อจะกำจัดสิ่งกีดขวาง ไม่เพียงวางยาทำร้ายคุณชายสามซูฉี ทั้งยังวางแผนโยนความผิดให้กับซูชิงสุ่ย ตอนนั้นซูจิ่นรั่งอายุมากแล้ว เพราะเจ็บปวดที่ต้องมาสูญเสียหลานรัก ถึงได้เย็นชาใส่ซูชิงสุ่ย สั่งให้ขับคนออกไป ต่อมาไม่นานเขาก็ตรอมใจตาย”
“ดังนั้น ซูอี้จึงคิดแค้นซูหังพ่อลูกเพราะเรื่องนี้?” ฮ่องเต้ถามความ คล้ายว่ายังไม่เชื่อนัก
“เหตุผลเท่านี้ยังไม่พอหรือพ่ะย่ะค่ะ?” เหยียนหลิงจวินยิ้มขื่น เดินรอบห้องอย่างเชื่องช้า ถอนหายใจยาว
“หนึ่งถูกญาติผู้ใหญ่เสือกไสไล่ส่ง เป็นเด็กกำพร้าที่ถูกตราหน้าว่าฆ่าน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง หากว่าเป็นแบบนั้นแต่ต้นก็แล้วไปเถิด แต่นี่เพียงพริบตาก็ถูกผลักจากฟ้าให้จมอยู่ในโคลนเลน ถ้าบอกว่าไม่คิดแค้นคนที่ทำร้ายเขาจนเข้ากระดูกดำ เช่นนั้นยิ่งผิดปกติมากกว่ากระมัง? ทว่าซูหังพ่อลูกมีทั้งอำนาจและฐานะ ยังเป็นถึงขุนนางในราชสำนัก หลายปีมานี้ก็ถือว่าซูชิงสุ่ยอดทนมาพอแล้ว วันนั้นที่เขาออกจากเหมืองหลวงไปชายแดนเหนือกระหม่อมก็รู้ข่าว เดิมเขาอยากจะสร้างผลงานให้เหนือกว่าคนอื่น แล้วกลับมาล้างมลทินให้ตัวเอง แต่นับจากนั้นกระหม่อมก็ไม่ได้เจอเขาอีก จนกระทั่งวันที่เขากลับเมืองหลวงมาแล้วถูกส่งเข้าคุก กระหม่อมถึงได้รู้ว่าเขากลับมาก่อนแล้ว”
—————————————————-