สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 46.3
หลัวซืออวี่เห็นความเหงาและเศร้าโศกในแววตาของอีกฝ่าย ก็รู้สึกแย่และปวดใจตามไปด้วย
นางจับข้อมือของหลัวเถิงเอาไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเบาๆ ว่า “ในฐานะที่เป็นลูกหลานของตระกูลคนมีชื่อเสียง ความรับผิดชอบทางสายเลือดและครอบครัวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีทางปฏิเสธได้หรอกเจ้าค่ะ หากเปลี่ยนเป็นตัวข้าแล้ว ข้าก็คงเลือกที่จะตัดสินใจทำแบบท่านพี่วันนี้เหมือนกัน แต่ถ้าลองคิดย้อนกลับไปดู โยนสถานภาพฐานะทางสังคมทุกอย่างทิ้งไปให้หมด ท่านพี่…หากข้าแอบรักใครข้างเดียวสักคนหนึ่ง ข้าเองคงเลือกที่จะปล่อยเขาไปแล้วถอยออกมา ไม่มีทางเข้า ไปมีส่วนข้องเกี่ยวใดกับชีวิตของเขาเด็ดขาด”
เดิมทีหลัวเถิงก็แค่เอ่ยถามขึ้นอย่างขอไปทีเพราะเขารู้สึกแย่ก็เท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่านางจะตอบเขา เมื่อเขาได้ยินดังนั้นเขาก็ตกใจจนเงยหน้ามองอีกฝ่ายอย่างแปลกใจ
หลัวซืออวี่สบตามองเขา จ้องมองอีกฝ่ายแล้วพูดขึ้นช้าๆ ว่า “ท่านพี่เจ้าคะ มีเพียงแค่ความรักที่เกิดขึ้นจากคนทั้งสองฝ่ายเท่านั้น ถึงจะอยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข หากมิใช่เยี่ยงนั้นแล้ว…ถึงแม้ท่านพี่จะใช้สุดความสามารถแย่งชิงเขามาได้ แต่เมื่ออยู่ด้วยกันนานเข้า สุดท้ายพวกท่านก็จะกลายเป็นหนามที่คอยเสียดแทงอีกฝ่าย แล้วหากปล่อยให้เวลาล่วงเลยต่อไป ท่านพี่ก็จะโกรธและเกลียดชังที่นางไม่มีความรักให้ท่าน นางเองก็จะจดจำความแค้นที่ต้องถูกท่านพี่บีบบังคับ จนถึงสุดท้ายก็ไม่มีใครที่มีความสุขอย่างแท้จริงหรอกเจ้าค่ะ!”
หลัวเถิงกลั้นหายใจเอาไว้จ้องมองน้องสาวของตน
เขาคิดอยู่เสมอว่าถึงแม้น้องของตนจะอายุสิบห้าปีแล้ว แต่นางก็ยังคงเป็นเด็กอยู่ ณ เวลานี้เขาไม่คิดเลยว่าตนจะถูกคำพูดของนางจี้แทงใจเข้าให้อย่างจังแบบนี้
หลายวันมานี้เขาเองก็สับสนอยู่กับตัวเองตลอด ว่าจะลองกลั้นใจแย่งชิงมาสักครั้งดีไหม
แต่คำพูดของหลัวซืออวี่ตอนนี้ กลับช่วยจุดประกายไขความกระจ่างทุกอย่างให้เขาแล้ว…
ความขัดแย้งในตัวเขาก่อนหน้านี้มันแทบไม่มีความหมายอะไรเลย สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…
ฉู่สวินหยางไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด!
อีกอย่าง…
เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่า ถ้าตนพยายามแล้วจะเปลี่ยนใจนางได้หรือเปล่า
“ซืออวี่…” เขาสูดหายใจเข้าลึกเอ่ยปากพูดขึ้นช้าๆ “เจ้าพูดแบบนี้ หรือว่าเจ้ามีคนที่แอบชอบแล้วงั้นรึ ถ้าหาก…”
“ถ้าหากมีคนคนนั้นจริงๆ ล่ะก็ ไม่ว่าข้าจะชอบเขามากสักเท่าไร แต่ในใจของเขานั้นไม่มีข้าอยู่ ข้าก็ไม่มีวันแต่งงานกับเขาหรอกเจ้าค่ะ!” หลัวซืออวี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง
เมื่อมันกลายเป็นความรักที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้แล้ว สุดท้ายคนที่เจ็บปวดทรมานที่สุดก็เป็นตัวเองนั่นแหละ หากเป็นแบบนั้นสู้แต่งงานการเมือง ต่างฝ่ายต่างเคารพซึ่งกันและกันดีกว่า อย่างน้อย…
หากไม่ได้รัก ก็ไม่เกิดความคาดหวัง ก็จะไม่ได้ประโยชน์และสูญเสียอะไรไป
ริมฝีปากของหลัวเถิงขยับขึ้นเล็กน้อย เขาดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิดของตนอยู่นาน
เมื่อกลับมาถึงจวนหลัวกั๋วกงแล้ว ฮูหยินใหญ่หลัวไม่เห็นหลัวซืออวี่กับตา เลยมายืนรอนางอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ เมื่อเห็นทั้งสองคนกลับมาแล้วก็รีบเดินเข้าไปรับ จับแขนของหลัวซืออวี่ขึ้นมา
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? พี่ชายของเจ้าบอกว่าเจ้า…”
นางกวาดตามองบุตรสาวของตนตั้งแต่หัวจรดเท้าไปหนึ่งรอบ เมื่อมั่นใจแล้วว่านางไม่ได้บาดเจ็บตรงไหน ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที นางหันมองไปรอบทิศแล้วดึงแขนอีกฝ่ายให้เข้าไปด้านใน “ไปกันเถอะ ไปคุยกันด้านใน!”
หลัวเถิงเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าคงปิดบังเรื่องนี้กับฮูหยินใหญ่หลัวไว้ไม่ได้ พวกเขาก็เลยเดินตามกันเข้าไปในเรือนของหลัวซืออวี่
————————————–
“คุณหนูเจ้าคะ!” เซียงเฉ่ารีบเดินวิ่งเข้ามา แล้วปิดประตูลงอย่างลับๆ ล่อๆ ดูมีพิรุธ จากนั้นก็เดินเข้าไปหยุดลงที่เบื้องหน้าหลัวอวี่ก่วน จับมือของนางขึ้นมาแล้วพูดว่า “ข้าน้อยไปแอบดูมาแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูใหญ่ไม่ได้กลับมาที่เรือนก่อนอย่างที่คาดไว้เลย เมื่อกี้นางกับซื่อจื่อเพิ่งเดินเข้าประตูมาเองเจ้าค่ะ อีกอย่างร่างกายนางก็แข็งแรงสบายดี ไม่เห็นบาดเจ็บตรงไหนเลยเจ้าค่ะ!”
“อะไรนะ?” ถ้วยชาที่กำลังจรดลงบนริมฝีปากในมือหลัวอวี่ก่วนหยุดชะงักลง แววตาพลันเผยให้เห็นความดุร้าย แล้วเอ่ยปากถามขึ้นมาด้วยสีหน้าหวาดกลัว “เจ้าแน่ใจงั้นรึ?”
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยเห็นกับตาเลยเจ้าค่ะ ซื่อจื่อกับคุณหนูหลัวซืออวี่กลับมาด้วยกันเจ้าค่ะ” เซียงเฉ่าพูดขึ้น พยักหน้าอย่างรุนแรงเพราะกลัวอีกฝ่ายจะไม่เชื่อ
“เมื่อเป็นเยี่ยงนี้…งั้นแสดงว่าเมื่อตอนกลางวันเกิดเรื่องขึ้นกับนางจริงๆ สินะ?” หลัวอวี่ก่วนเหม่อคิดแล้วพูดพึมพำออกมา
ก่อนที่วังบูรพาจะเริ่มพิธีฉลองตอนนั้น เมื่อนางเห็นว่าหลัวซืออวี่ยังไม่มาสักที ก็มั่นใจแล้วว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นกับหลัวซืออวี่แน่นอน ฮูหยินใหญ่หลัวต้องการจะปิดเรื่องนี้ให้เงียบ เลยใช้ให้แม่นมกู้ไปตามหาแทนนาง จากนั้นหลัวอวี่ก่วนก็เลยถือโอกาสพูดยุยงส่งเสริมฮูหยินใหญ่หลัว
ฮูหยินใหญ่หลัวเอ็นดูบุตรสาวหลัวซืออวี่คนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นอย่างที่คิดนางเพียงแค่สะกิดนิดหน่อยอีกฝ่ายก็รีบร้อนออกไปทันที
นางเองก็เตรียมรอดูว่าจะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายออกไปแค่ครู่เดียวก็กลับเข้ามาแล้ว บอกแค่ว่าหลัวซืออวี่ข้อเท้าแพลงเลยมีคนพาตัวกลับไปก่อน
จากนั้นนางเลยให้เซียงเฉ่าไปสืบเรื่องนี้มา แต่ก็ไม่ได้เบาะแสเลยสักนิดเดียว จนถึงสุดท้ายนางก็เกือบจะเชื่อเต็มร้อยไปแล้วว่าเรื่องเป็นดังนั้น
แต่ตอนนี้หลัวซืออวี่แอบกลับเข้ามาทีหลัง นางถึงได้มั่นใจว่า…
ต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับนางแน่นอน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปสถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนตามไปด้วย ข่าวคราวที่วังบูรพานั้นไม่ใช่สถานที่ที่นางคิดจะสืบข่าวได้ นางจึงทำได้เพียงเก็บความโกรธแค้นนั้นลงไป
“เจ้าไปสืบมาเพิ่มอีกหน่อย ดูว่าสืบมาได้ไหมว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่นั่นกันแน่?” หลัวอวี่ก่วนคิดแล้วก็พูดขึ้น
“เจ้าค่ะ!” เซียงเฉ่าขานตอบเดินมุ่งหน้าไปทางประตูได้สองก้าว จู่ๆ ก็เหมือนจะคิดอะไรออกขึ้นเลยหันหลังกลับมา แล้วพูดขึ้นอย่างลังเลว่า “คุณหนูเจ้าคะ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ แต่ข้าน้อยไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือเปล่า!”
“พูดมาเถอะ!” หลัวอวี่ก่วนทำหน้ามีพิรุธ วางถ้วยชาลงแล้วจ้องมองอีกฝ่าย
“เป็น…เป็นคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นเจ้าค่ะ!” เซียงเฉ่ากล่าว
หัวใจของหลัวอวี่ก่วนหยุดเต้นลงฉับพลันจากนั้นก็กลับมาเต้นขึ้นอีกครั้ง จนนางเกือบจะคิดว่าเซียงเฉ่าอ่านใจของนางออก
แต่เมื่อคิดแล้วก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้หรอก จากนั้นเลยบีบขวดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแน่น ทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วพูดว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“เมื่อกลางวันที่วังบูรพาน่ะเจ้าค่ะ ก่อนที่พิธีจะเริ่มข้าเห็นคุณชายรองจวนอ๋องฉางซุ่นอยู่ที่สวนดอกไม้ ได้ยินเขายืนพูดกับใครไม่รู้ว่าเขามีธุระจะขอตัวกลับก่อน เดิมทีตัวเขาก็กลับไปแล้ว แต่เมื่อเริ่มเปิดพิธีไปแล้ว ข้าน้อยไปเข้าห้องน้ำตอนนั้น ก็เจอเข้ากับเขาที่สวนดอกไม้อีกครั้งเจ้าค่ะ ทั้งยัง…” เซียงเฉ่าพยายามเค้นความทรงจำออกมา คิ้วขมวดเป็นปม “สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีเท่าไรด้วยเจ้าค่ะ เหมือนว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแบบนั้น!”
หลัวอวี่ก่วนคิดตามไม่ทัน เลยไม่ทันคิดว่าการที่ซูอี้ปรากฏตัวขึ้นที่สวนดอกไม้ถึงสองครั้งนั่น มันเกี่ยวข้องกับหลัวซืออวี่ตรงไหน นางได้ยินแค่ชื่อของซูอี้ก็นึกออกเพียงแค่ว่า
“ความสัมพันธ์ของเขากับวังบูรพาไม่ดีงั้นรึ?” หลัวอวี่ก่วนพูดขึ้นอย่างใจลอย “สีหน้าไม่ดีก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร”
“เจ้าค่ะ!” อย่างไรแล้วไซร้ก็เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้อง เซียงเฉ่าเห็นว่านางไม่ได้สนใจก็เลยไม่ได้พูดอะไรขึ้นอีก จากนั้นเลยหันหลังแล้วเดินออกไป
——————————————————