สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 54.2 ข้าจะปกป้องนางด้วยชีวิต! (2)
“ข้าชอบนาง ชื่นชมนาง เพราะว่านางคือนาง ไม่เกี่ยวข้องกับฐานะบรรดาศักดิ์แต่อย่างใด ข้าอยากให้ฝ่าบาทวางใจอาจจะฟังดูเถรตรงไปสักหน่อย แต่ท่านคงรู้ว่าฐานะนี้ของนางสำหรับข้าแล้ว มันไม่ได้มีความสำคัญแม้แต่น้อย กลับกันแล้ว…”
เหยียนหลิงจวินกล่าวมาจนถึงประโยคด้านหลังก็ยิ่งยิ้มอย่างเย้ยหยันตัวเองออกมา หยุดไปชั่วขณะก่อนจะกล่าวต่อ “หากนางไม่ใช่ลูกสาวของท่าน ก็ยิ่งนับเป็นเรื่องดีสำหรับข้า”
การเป็นลูกสาวองค์รัชทายาทในราชวงศ์ สิ่งที่ฉู่สวินหยางต้องทนรับและรับผิดชอบนั้นมีมากโข และสิ่งเหล่านี้…
ก็กลายเป็นเหตุผลที่นางปฏิเสธเขาไปโดยปริยาย
ฉู่อี้อันได้ยินคำพูดนี้ มุมปากกลับยกยิ้มที่ดูคล้ายจะไม่ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย เพียงแต่อาการนั้นปรากฏขึ้นแค่ชั่วพริบตาก็หายไปอย่างรวดเร็ว เหยียนหลิงจวินที่แทบไม่ทันจะได้เห็นนั้นจึงพลาดโอกาสไป
“เช่นนั้นก็ดี…” ฉู่อี้อันสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนกล่าว ใช้สายตาที่ลึกและสงบนิ่งนั้นมองไปยังแววตาของเขาอย่างตรงๆ “นับจากวันนี้เป็นต้นไป ละทิ้งฐานะของนาง ละทิ้งข้าและราชวงศ์ที่เป็นดั่งอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าของเจ้า แต่เริ่มจากจุดยืนของตัวเจ้าเอง เจ้าคิดจะทำอย่างไรก็ทำอย่างนั้น หากเจ้าสามารถพานางเดินร่วมไปกับเจ้าได้ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ก้าวก่ายอันใดอีก”
เหยียนหลิงจวินมีท่าทีดูตกใจ
เขาหยัดกายขึ้น เดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว มองดูชายตรงหน้าที่มักเป็นที่กลัวเกรงของผู้คนด้วยความยำเกรง
ฉู่สวินหยางไม่อาจทำใจยอมห่างจากพ่อและพี่ชายของตนเองมาโดยตลอด เดิมทีเขาคิดว่าฉู่อี้อันที่รักและทะนุถนอมลูกสาวคนนี้มาหลายปีคงจะถึงขั้นกลายเป็นความผูกพันฝังลึก ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร…จึงไม่คาดคิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะพูดเช่นนี้
ฉู่อี้อันที่ยืนเผชิญหน้ากับเขา กลับทำเป็นมองข้ามสายตาที่ดูคล้ายกับสงสัยของอีกฝ่ายไป ครู่ต่อมาก็เบนสายตาไปที่อื่นอย่างไม่ใส่ใจ “เป็นอะไร? เจ้าไม่มีความมั่นใจแล้วรึ?”
“ข้าเพียงแค่…”เหยียนหลิงจวินกล่าว ทั้งหยุดครุ่นคิดคำพูดไปชั่วครู่ คล้อยหลังจู่ๆ ก็แย้มยิ้มขึ้นมา “ท่าน…คงไม่ใช่ว่าท่านกำลังหลอกข้าอยู่หรอกนะขอรับ?”
“ข้าเพียงแค่พูดกับเจ้าในฐานะการเป็นพ่อคนหนึ่ง!” ฉู่อี้อันกล่าวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม ทั้งยังไม่มีท่าทีที่หยอกเล่นแม้แต่น้อย “ไม่ว่าเรื่องใด ขอเพียงแค่นางยินยอมด้วยความเต็มใจ ข้าก็ล้วนไม่แทรกแซงอันใด ส่วนเรื่องที่มีความสามารถหรือไม่ ก็ต้องดูที่ตัวเจ้าเองแล้ว”
เหยียนหลิงจวินเผชิญหน้ากับท่าทีนั้นของเขา มุมปากที่ยิ้มขึ้นเป็นรอยยิ้มก็ค่อยๆ จางลงทีละน้อยจนเลือนหายไป
เขายังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน แววตานั้นกลับเปลี่ยนเป็นดำดิ่งมืดมิด มองดูชายตรงหน้าที่มักจะกดดันเขาด้วยแววตาราบเรียบ ผ่านไปสักพัก เขาก็เม้มริมฝีปาก ถอนหายใจยาวออกมา
“ข้าสามารถทราบได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด?” เหยียนหลิงจวินกล่าวทุกถ้อยคำอย่างชัดเจนและเรียบเย็น “ท่านยอมที่จะเสียของสำคัญ หลีกทางให้ข้าอย่างถึงที่สุดเช่นนี้ ล้วนไม่ใช่เพราะท่านเต็มใจแน่ ในเรื่องนี้…ย่อมต้องมีเหตุผลที่ซับซ้อนกว่านั้นใช่หรือไม่ขอรับ?”
“ในเมื่อเจ้าพูดว่าไม่สนใจฐานะของเด็กคนนั้น เช่นนั้นเรื่องพวกนี้ก็ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า” ฉู่อี้อันกล่าว กลับไม่ยอมพูดอะไรมาก เพียงแต่มองเขาอย่างเยือกเย็น “เวลานี้เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องให้คำมั่นสัญญาอันใดต่อข้าแล้ว ส่วนเรื่องที่เจ้าและซินเป่าจะเดินไปไกลแค่ไหน มันก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าควรจะจำไว้ สำหรับข้าแล้วซินเป่าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด จะว่าข้าเห็นแก่ตัว หรือเอาเปรียบคนก็ได้…แต่นางไม่ใช่ว่าจะขาดเจ้าไม่ได้ ต้องมีสักวันหนึ่ง ยามที่เจ้าไม่อาจปกป้องนางได้ ก็อย่ามาโทษข้าที่กลับสัตย์ ยึดนางคืนมา หากตอนนี้เจ้าไม่อาจแน่ใจว่าตัวเองมีใจให้นางได้ถึงเพียงไหน หากเจ้าไม่สามารถมั่นใจว่าสักวันหนึ่งจะสามารถปกป้องนางตกที่อยู่ในอันตรายอย่างสุดกำลังได้หรือไม่…”
“องค์รัชทายาท!” ฉู่อี้อันพูดออกมาในพรวดเดียว ยิ่งกล่าวก็ยิ่งเพิ่มความแข็งกร้าวขึ้นเท่านั้น เหยียนหลิงจวินเอาแต่ฟังด้วยความเรียบเย็น เวลานี้จู่ๆ ก็เอ่ยปากตัดบทเขา ทั้งยังเผยสีหน้าจริงจังมองดูฉู่อี้อัน กล่าวว่า “ข้าจะปกป้องนาง ปกป้องด้วยชีวิต! จุดนี้ไม่จำเป็นที่ท่านต้องมากำชับหรือบอกกล่าว ข้ารู้ดีไม่ว่าตอนนี้ข้าจะพูดอะไรออกมา ท่านก็คงไม่อาจเชื่อ เช่นนั้นท่านลองคิดเช่นนี้ดีกว่าขอรับ…ตั้งแต่แรกเริ่มข้าก็ติดหนี้ชีวิตครั้งหนึ่งให้นางแล้วมิใช่หรือ? แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเหตุใดท่านจึงต้องร้องขอกับข้าออกมาเช่นนี้ ตอนนี้ก็ไม่อาจไม่มั่นใจได้ว่าจะสามารถทำให้นางยินยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อมาอยู่ข้างกายข้า แต่สิ่งที่ข้าสามารถรับรองได้คือ…หากข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็จะทุ่มเทอย่างสุดกำลังที่จะปกป้องนาง ข้ารู้ว่าสถานการณ์ของที่นี่นั้นอันตราย และข้าก็รู้ว่าตัวตนที่ข้าเก็บซ่อนไว้นั้น เป็นดั่งคลื่นใต้น้ำที่เชี่ยวกรากหรืออาจจะมีวันหนึ่งที่เรื่องนี้ปะทุออกมา แต่ไม่ว่าภายภาคหน้าจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะมีความเสี่ยงหรือวิกฤติการณ์อันใด แม้ข้าในตอนนี้จะไม่อาจพูดได้ว่าจะเป็นที่พึ่งพิงหรือพึ่งพาของนางได้ แต่อย่างน้อยที่สุด…ข้าจะเป็นคนที่คอยยืนกำบังอยู่ด้านหน้าของนาง”
ทั้งหมดทั้งมวลของเด็กคนนั้นล้วนได้หลวมรวมอยู่ในเลือด ซึมลึกอยู่ในกระดูกจนหมดแล้ว
หากจะพูดอย่างจริงจัง ระหว่างพวกเขานั้น นอกจากการพบกันครั้งแรกที่ลานต้นกกแล้ว เรื่องราวที่ผ่านมาด้วยกันอย่างจริงๆ ล้วนมากมายจนดูธรรมดา แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ความทรงจำที่ระยิบระยับชิ้นเล็กชิ้นน้อยนั้นได้กลายเป็นดั่งคำสาปที่สลักลึกลงในกายเลือด
ทุกท่วงท่าของนาง ทุกคำพูดทุกประโยคของนาง ล้วนแต่ฝังลึกอย่างชัดเจนและแจ่มชัดอยู่ในหัว ทั้งหมดอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ทำให้เขาเชื่อมั่นว่า…
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ชะตาลิขิต’
ราวกับเพียงแค่เริ่มต้นจากครั้งนั้นที่พบกัน ชีวิตของเขาก็พลิกเปลี่ยนไปอีกทางอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้จมอยู่กับการวางแผนดำมืดเหล่านั้นเพื่อผ่านไปเป็นวันๆ แต่กลับยินยอมเต็มใจ…
แม้จะเป็นการวางแผนอย่างเช่นเคย แต่เพราะว่าเด็กคนนี้ที่คอยคิดอุบายอยู่เบื้องหลัง ก็เปลี่ยนเป็นไม่น่าเบื่ออีกต่อไป กลับกัน…
กลับทำให้เขาตามกับนางไปอย่างหวานอมขมกลืน ร่วมกันต่อสู้กับอุปสรรคอย่างไม่ย่อท้อ
แม้แท้จริงเขาจะเป็นคนที่มีนิสัยเจ้าแผนการ หมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้นจนฝังลึกอยู่ในกระดูก เพียงแค่ที่ผ่านมาเก็บเอาไว้ไม่เปิดเผยออกไป แต่เมื่ออยู่ข้างกายนางจึงค่อยได้รู้สึกว่า…
ความจริงแล้วชีวิตยังสามารถมีวิธีการเดินอีกอย่างหนึ่ง
ยากที่จะจินตนาการว่า หากมีวันหนึ่งที่ต้องแยกออกจากนาง ให้เขากลับไปยังตอนที่ใช้ชีวิตอย่างที่เคยอีกครั้ง เช่นนั้นจะเป็นสถานการณ์อย่างไร
ในอดีตเพื่อตัวเอง เพื่อคนครอบครัวคนสำคัญ เขาล้วนไม่ยินยอมที่จะวางแผนแย่งชิงอำนาจ…
เพื่อนางแล้ว ทั้งหมดล้วนเปลี่ยนแปลงไปอย่างง่ายดาย
ชายทั้งสองคนล้วนแต่แสดงท่าทีเคร่งขรึมและจริงจังออกมาเช่นเดียวกัน
หลังจากมองกันอย่างเงียบเชียบอยู่เนิ่นนาน ยังคงเป็นฉู่อี้อันที่เป็นฝ่ายเบนสายตาไปก่อน
ท่าทางของเขาดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง ท่าทีที่ปล่อยวางยังแฝงมาด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด เขาโบกมือเบาๆ จากนั้นก็เดินผ่านเข้าไปทางด้านในสุดของห้องอ่านหนังสือ “ข้าพูดแล้วย่อมไม่คืนคำ เจ้าไปได้แล้ว นับจากวันนี้ต่อไป เรื่องระหว่างเจ้าและซินเป่า ไม่ว่าผู้ใดในวังบูรพาก็ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เจ้าต้องจดจำคำพูดที่ตัวเองพูดออกมาในวันนี้ให้ดี”
เหยียนหลินจวินเผยแววตาสุดจะหยั่งถึงมองตามแผ่นหลังเขา เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีสนใจที่จะสนทนาเรื่องนี้ต่อแล้วก็ไม่รั้งอยู่ที่นี่นาน หมุนกายก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ลู่หยวนที่ขวางอยู่ด้านนอก ไม่ได้เรียกให้ชิงเถิงเข้าไป เวลานี้ชิงเถิงร้อนใจจนไม่รู้จะทำอย่างไร เอาแต่เดินวนไปวนมาอยู่ด้านนอกเรือน
ทันทีที่ได้ยินเสียงเปิดประตู นางก็รีบเดินเข้ามา กล่าวราวกับพบเจอเห็นผู้ที่สามารถช่วยนางได้ “ใต้เท้าเหยียนหลิง ท่านออกมาจนได้ ท่านหญิง นาง…”
——————————————————