สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 54.4 ข้าจะปกป้องนางด้วยชีวิต! (4)
แม้ว่าฉู่สวินหยางจะคอยเตรียมพร้อมอย่างไร แต่เวลานี้เมื่อเผชิญหน้ากับหญิงสาวผู้นี้ก็ทำเพียงแค่แสดงอาการสงสัยออกไปเท่านั้น หากเป็นยามอื่นนางอาจจะสอบถามความจริงของอีกฝ่าย แต่เมื่อเป็นยามนี้ กลับไม่คิดจะมากความ “ในเมื่อเจ้ารู้ว่าข้าจะทำอะไร ก็ควรจะรู้ว่าเจ้าไม่อาจขวางข้าได้ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นคนของใคร หลีกไป เรื่องของข้าไม่จำเป็นที่ต้องให้เจ้ามายุ่ง”
ขณะที่นางพูดก็เดินไปทางม้าศึกที่อยู่ด้านข้าง
หญิงผู้นั้นกลับชิงลงมือก่อนหนึ่งก้าว จับบังเหียนม้าไว้ ก่อนจะเดินไปขวางด้านหน้า
ฉู่สวินหยางขมวดคิ้ว ส่งสายตาเป็นคำถามให้นางอย่างเป็นนัย
“ความเป็นความตายของผู้อื่นไม่เกี่ยวกับเจ้า” หญิงผู้นั้นคล้ายกับจะร้อนใจอยู่บ้าง กล่าวออกมาตรงๆ แต่พูดได้ครึ่งเดียว แววตาก็สั่นไหว ก่อนครู่ต่อมา ใบหน้าจะแฝงด้วยความเสียดสีอยู่เล็กน้อย “แม้นว่าเจ้าทำลงไปแล้ว ก็ไม่แน่ว่าจะมีคนซาบซึ้งใจ!”
คำพูดนี้ของนางดูแปลกประหลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อฟังดูดีๆ กลับคล้ายจะรู้เรื่องทั้งหมดอย่างชัดเจนแล้วก็มิปาน
ฉู่สวินหยางอดไม่ได้ที่จะทำความเข้าใจความหมายของคำพูดนี้ของนาง และคำพูดที่ว่า ‘คนอื่น’ แท้จริงแล้วเป็นใคร จึงย้อนถามไปอีกครั้ง “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
“นี่ไม่ใช่เรื่องของท่าน” หญิงคนนั้นกล่าว ดวงตานั้นกวาดมองไปรอบๆ กะพริบตาไปชั่วครู่ ท่าทีนั้นแม้จะเก็บซ่อนไว้อย่างดี แต่ฉู่สวินหยางที่ตาดียังคงจับได้ว่านางอยู่ในอาการที่ร้อนใจ
ครู่ต่อมานางก็ก้าวมาด้านหน้า ส่งบังเหียนม้าคืนสู่มือฉู่สวินหยาง กล่าวด้วยเสียงแข็งกร้าว “รีบกลับไปดีกว่า เรื่องของแคว้นฉู่ ท่านอย่ายุ่งเลย เรื่องพวกนั้นล้วนไม่เกี่ยวข้องกับท่านแม้แต่น้อย!”
ฉู่สวินหยางใจสั่นสะท้านเล็กน้อย เข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาโดยพลัน กล่าวออกไปอย่างตกใจ “เจ้ารู้ว่าแคว้นฉู่จะมีเรื่องเกิดขึ้นอย่างนั้นรึ? เช่นนั้นพี่ชายข้า…”
นางพูดไม่ทันจบ ตัวเองก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป พลิกตัวขึ้นบนหลังม้าพลางเหวี่ยงแส้ ยังคงยืนกรานที่จะไปต่อ
หญิงคนนั้นประกายแววตาแน่วแน่ กลับยืนขวางอยู่ด้านหน้าม้าของนางอีกครั้ง
“หลีกไป!” ฉู่สวินหยางกล่าวอย่างโมโห
“ข้าพูดไปแล้ว เรื่องของคนอื่น เจ้าอย่าได้ยุ่ง!” หญิงสาวกล่าว ขณะที่พูดก็ทำท่าจะเข้ามาแย่งบังเหียนในมือนางอีก
“แต่ว่าตอนนี้กลับเป็นเจ้าที่กำลังยุ่งเรื่องของข้าอยู่!” ฉู่สวินหยางถูกท่าทีแข็งกร้าวของนางจนทำให้รู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง ระหว่างที่พูดก็ยกบังเหียนขึ้นสะบัดออกไปทันที
เงาของแส้ม้าพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังตามมาด้วยเสียงลมหวีดหวิว พุ่งเข้ามาทั้งด้านหน้าและหลัง
หญิงผู้นั้นสุดท้ายก็จนปัญญา หมุนกายหลีกไปด้านข้าง
“ไป!” ฉู่สวินหยางตะโกนออกไป ฟาดแส้ม้าก็วิ่งทะยานออกไปด้านหน้าทันที
หญิงสาวคนนั้นตั้งกายอย่างแน่วแน่ แทบจะไม่คิดสักนิดก็กระโดดขึ้นไปกลางอากาศ ถลาลงไปยังหลังม้าของนาง ก่อนจะโอบนางเอาไว้ ใช้แรงพลิกกายออกจากตัวม้า ทั้งสองคนจึงตกลงมาด้วยกัน
“ท่านหญิง!” เจี๋ยหงและเฉี่ยนลวี่ที่ตามมาด้านหลังตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ก่อนจะค่อยๆลงจากหลังม้า ชักดาบถลาเข้ามา
หญิงผู้นั้นกอดฉู่สวินหยางกลิ้งหลุนๆ อยู่ที่พื้น เมื่อเห็นว่าคมมีดพุ่งเข้ามา ก็ไม่ใส่ใจฉู่สวินหยางอีกแล้ว พลิกกายกลับขึ้นมา ก่อนจะชักดาบโค้งที่เอวออกมาต้านไว้
คนไม่กี่คนด้านนี้เพิ่งจะชุลมุนวุ่นวายกัน ด้านหลังก็มีม้าอีกตัวฝ่าทะลวงความมืดเข้ามา
และขณะเดียวกัน ด้านประตูเมืองไกลๆ ก็ปรากฏเงาคนผู้หนึ่งขึ้นมา พยายามใช้แรงภายในถลาเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ที่ตามมาด้านหลังคือเหยียนหลิงจวิน ส่วนคนตรงข้ามที่เข้ามากลับเป็นซูอี้
“จวินอวี้!” เมื่อเห็นสถานการณ์ด้านนี้อยู่ไกลๆ ซูอี้ก็เป็นฝ่ายตะโกนเสียงดังขึ้นก่อน “บอกให้พวกนางหยุดที เป็นคนกันเองทั้งนั้น!”
เห็นได้ชัดว่าเหยียนหลิงจวินไม่ได้ยอมรับคนกันเองที่ปรากฏขึ้นมาอย่างมาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยขนาดนั้น ฉู่สวินหยางเวลานี้เพิ่งจะหยัดกายขึ้นมาจากพื้น คิดย้อนไปถึงการเคลื่อนไหวของผู้หญิงคนนั้นเมื่อครู่ ทั้งเมื่อได้ยินคำพูดของซูอี้ก็ตกใจเล็กน้อย กล่าวเสียงดังออกไป “หยุดก่อน!”
เจี๋ยหงและเฉี่ยนลวี่ยั้งมืออย่างไม่เต็มใจ
ซูอี้และเหยียนหลิงจวินก็ถลาเข้ามาตามๆ กัน
ซูอี้วิ่งเข้าไป ดึงตัวหญิงผู้นั้นออกมาหนึ่งก้าว กล่าวด้วยขมวดคิ้ว “เจ้ากลับมาเมืองหลวงจริงๆ ด้วย เจ้า…”
เดิมเขามีคำพูดนับร้อยพันที่อยากจะพูด แต่สถานการณ์กลับไม่เอื้ออำนวย จึงรีบหยุดคำพูดเอาไว้ หันไปกล่าวกับ
เหยียนหลิงจวินและฉู่สวินหยาง “นางไม่ได้มีเจตนาร้าย…”
เขายังอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับพลิกข้อมือสะบัดมือของเขาออก ม้วนตัวข้ามกำแพงที่อยู่ไม่ไกลก่อนจะหายตัวไป
ซูอี้จึงวิ่งตามหลังออกไปติดๆ
ฉู่สวินหยางกลิ้งตลบบนพื้นไปครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่บนเสื้อผ้าก็เปื้อนฝุ่นดินไปไม่น้อย นางมองตัวเองก่อนจะค้อมกายปัดอยู่สองที…
เวลานี้ทหารที่เฝ้าอยู่ที่ประตูไกลๆ ได้ยินการเคลื่อนไหวจึงรีบมาที่นี่
“ใครมาต่อสู้กันที่นี่?” คนยังไม่มาแต่เสียงกลับลอยมาก่อน
เหยียนหลิงจวินก้าวเท้ายาวไปด้านหน้า บังคนเอาไว้ ก่อนจะกล่าวราบเรียบ “ข้าเอง!”
ทหารกลุ่มนั้นวิ่งมาถึงด้านหน้า พอเห็นเขาก็ตะลึงไป ทั้งเมื่อมองเห็นฉู่สวินหยางที่อยู่ด้านหลังเขาก็ยิ่งมีท่าทีงงงวยขึ้นมา “ท่านหญิงสวินหยาง ใต้เท้าเหยียนหลิง พวกท่าน…”
“ว่างจากกิจธุระ จึงมาเดินเล่นกันเท่านั้น!” เหยียนหลิงจวินกล่าว
เขาไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายอะไรให้กับคนพวกนี้ทั้งนั้น และคนพวกนี้เป็นคนรู้ความ ย่อมไม่อาจถามให้มากเรื่องเพียงแค่ส่งสายตาใคร่ซักถามทั้งสองคนอย่างลังเลใจ “เมื่อครู่ ผู้น้อยคล้ายจะได้ยินเสียงต่อสู้กันทางด้านนี้ ไม่รู้ว่า…ท่านหญิง
สวินหยางและใต้เท้าเหยียนหลิงเห็นคนน่าสงสัยบ้าง…”
“เป็นบ่าวสองคนของท่านหญิงหยอกล้อกันเท่านั้น!” เหยียนหลิงจวินกล่าว
เจี๋ยหงและเฉี่ยนลวี่ยืนอยู่ด้านข้างพร้อมดาบที่ยังคงอยู่ในมือ แม้ว่าคนพวกนั้นไม่อาจเชื่อทั้งหมด แต่เมื่อตรึกตรองดูก็ไม่ได้พบความผิดปกติอันใดจึงไม่คิดอะไรมาก ก็ประสานมือพูด “เป็นพวกผู้น้อยที่เสียมารยาท ไม่รบกวนท่านหญิงและใต้เท้า
เหยียนหลิงแล้วขอรับ”
พูดจบก็โบกมือนำคนพวกนั้นย้อนกลับไปทางประตูเมืองด้วยความรวดเร็ว
รอจนคนพวกนั้นเดินจากไปแล้ว ท่าทีของเหยียนหลิงจวินและฉู่สวินหยางก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมโดยไม่ได้นัดหมาย ทั้งสองคนสบสายตามองกัน ส่วนซูอี้และคนผู้นั้นที่ตามกันไปที่กำแพงของลานเมื่อครู่ได้หายไปตัวแล้ว
ในลานนั้นซูอี้กำลังจับข้อมือหญิงสาวเอาไว้ ทั้งสองคนยืนคุมเชิงกัน
ซื่อหรงรู้สึกคล้ายกับพบชายหนุ่มที่กำลังตามตื๊อหลอกลวงนางก็มิปาน เมื่ออดทนอย่างถึงที่สุดแล้วก็กล่าวเสียงเย็นออกไป “ปล่อยมือเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าจะไม่เกรงใจท่านแล้ว!”
“หากเจ้าจะไม่เกรงใจข้าจริงๆ ก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้หรอกกระมัง” ซูอี้กล่าว น้ำเสียงที่เปล่งออกไปยังแฝงด้วยรอยยิ้มขมขื่น เมื่อรู้สึกว่านางพยายามใช้แรงต่อต้านเขา มือของเขาก็ยิ่งกำข้อมือนางแน่นไปอีก “เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว เจ้าจะยังไม่ยอมพูดความจริงอีกรึ? แท้จริงแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่? หรือไม่ก็…เจ้าเป็นคนของผู้ใดกัน?”
“ท่านคิดว่าข้าจะบอกท่านหรือไม่ล่ะ?” ซื่อหรงถามกลับไป แขนก็โน้มไปด้านหน้า ดันใบมีดนั้นออกมาเล็กน้อย กดไว้ที่ข้างคอของซูอี้
ท่าทีของนางดูเย็นชาทั้งไร้อารมณ์จนเยือกเย็นอย่างสิ้นเชิง
ซูอี้กลับไม่ใช้ท่าทีเรียบเย็นกลับไปมองนางแม้แต่น้อย “ได้! พวกนี้ล้วนเป็นเรื่องส่วนตัวของเจ้า ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูด ข้าก็จะไม่ฝืนใจ เวลานี้พวกเราต่างก็ทำตามหน้าที่ เช่นนั้นพูดแต่เรื่องที่ทั้งสองฝ่ายควรรู้ก็พอแล้ว”
ซื่อหรงขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดใจ ยังคิดที่จะต่อต้าน
ซูอี้กลับเอ่ยปากขึ้นอย่างไม่สนใจ “เย็นวันนั้นเจ้าฆ่าคนที่ถนนไฉ่ถังเพราะเหตุใดกัน?”
ซื่อหรงฟังจบก็สะท้านใจไปชั่วครู่ แรงขัดขืนที่มือก็อ่อนแรงตามอย่างไม่รู้ตัว
————————————————–