สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 59.1 แทรกซึมค่ายศัตรู โต้กลับ (1)
“ท่านหญิงกำลังพูดอันใดอยู่หรือขอรับ บ่าวไม่เข้าใจ!” หูเฉิงนั้นเผยใบหน้าแข็งกระด้างออกมา แม้จะพยายามรักษาท่าทีอย่างสุดกำลัง แต่น้ำเสียงก็ยังรู้สึกได้ถึงความแข็งทื่ออยู่ดี
“ไม่เข้าใจงั้นรึ?” ฉู่สวินหยางกล่าว ขณะที่พูดก็ลังเลการเคลื่อนไหวที่มือเล็กน้อย
หูเฉิงเดิมทีก็ถูกนางทำให้ตกใจไม่น้อย เวลานี้เห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงค่อยคลายใจลงได้บ้าง “ท่านหญิง บ่าวจะเอาความกล้าขนาดนั้นมาจากที่ใดกันขอรับ? เมืองฉู่เป็นที่เช่นใด? หากว่าบ่าวมีใจคิดไม่ซื่อแฝงแม้แต่น้อย เช่นนั้นก็ไม่เท่ากับทำให้ตนเองตายโดยไร้ที่กลบฝังหรอกหรือขอรับ?”
ยามนี้ทั้งฉู่ฉีเฟิงและฉู่ฉีเหยียนต่างก็อยู่ที่แคว้นฉู่ อีกทั้งยังมีอำนาจทางทหารอยู่ในมือ เว้นเสียแต่ว่าสองคนนี้จะรู้เห็นเป็นใจ มิฉะนั้น…
ไม่ว่าผู้ใดจะหาญกล้าหรือมีความสามารถขนาดไหน ก็ไม่อาจทำอะไรนางที่เมืองฉู่อย่างเปิดเผยได้หรอก
ฉู่สวินหยางฟังจบก็มีท่าทีผ่อนคลายลงบ้าง
เหยียนหลิงจวินก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว ก่อนจะเก็บมีดสั้นในมือนางไป “เจ้ารีบเร่งเดินทางติดต่อกันหลายวัน คงจะตึงเครียดอยู่มาก ไม่ว่าเห็นอะไรจึงระแวงไปหมด”
ฉู่สวินหยางเม้มริมฝีปาก กลับไม่ได้พูดอะไร
หูเฉิงเห็นเช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวๆ ออกมา เวลานี้จึงค่อยเช็ดเหงื่อเย็นที่หน้าผาก พลางกล่าว “ท่านหญิงได้โปรดรอสักครู่ บ่าวจะเรียกคนเปิดประตูให้ท่านเดี๋ยวนี้”
พูดจบก็มองพินิจพวกฉู่สวินหยางอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนไม่มีท่าทีผิดปกติอันใด ก็รีบเดินขึ้นบันได เคาะประตูไปสองสามครั้ง
ไม่นานนัก ก็มีคนคลำเปิดประตูจากด้านใน
หูเฉิงบอกกล่าวจุดประสงค์กับคนผู้นั้น เขาจึงออกมายืนคารวะทั้งสองคนด้วยความนอบน้อม “คารวะท่านหญิงและใต้เท้าเหยียนหลิง ทั้งสองท่านเดินทางมาไกลคงจะลำบากไม่น้อย เชิญเข้ามาก่อนเถิดขอรับ ”
ฉู่สวินหยางยังคงมีท่าทีเตรียมพร้อมอยู่เล็กน้อย กวาดสายตามองไปรอบๆ ก่อนกล่าว “เสด็จปู่พักอยู่ที่นี่ เหตุใดจึงไม่มีทหารคอยอารักขาอยู่ด้านนอกประตู?”
“ท่านหญิงน่าจะไม่ทราบ ท่านอ๋องได้ล้มป่วยสักพักหนึ่งแล้ว ท่านหมอกำชับว่าให้พักผ่อนอย่างเงียบๆ ทั้งขณะนี้เป็นสถานการณ์พิเศษ ดังนั้นทางด้านนี้จึงถูกจัดการอย่างไม่ทั่วถึงอยู่บ้าง” คนผู้นั้นตอบกลับด้วยท่าทีอย่างเช่นเคย “ท่านหญิง รีบเข้าไปก่อนเถิดขอรับ!”
ฉู่สวินหยางมองซ้ายมองขวาอีกครั้ง เมื่อไม่พบอะไร จึงค่อยเดินเข้าไปโดยมีเหยียนหลิงจวินตามอยู่ด้านหลัง
ในเรือนนั้นก็ดูปกติ มีสาวใช้และองครักษ์เดินตามกันเข้ามา ทั้งยังไม่พบสิ่งใดผิดแปลกไป
คนผู้นั้นนำคนไม่กี่คนเข้ามาในห้องโถงใหญ่ พร้อมทั้งสั่งให้คนยกน้ำชามา ยังคงกล่าวอย่างนอบน้อม “ท่านหญิงและใต้เท้าเหยียนหลิงโปรดคอยสักครู่นะขอรับ บ่าวจะไปตามพ่อบ้านสวีทางด้านหลังเข้ามา”
พ่อบ้านจวนอ๋องรุ่ยชินสกุลสวี ครั้งนี้ได้ตามรุ่ยชินอ๋องมาที่แคว้นฉู่ด้วย
อีกฝ่ายถึงขนาดเดาได้ว่านางรู้เรื่องที่รุ่ยชินอ๋องถูกพิษ ทั้งยังยกเรื่องพ่อบ้านสวีขึ้นมาด้วย? เห็นทีครั้งนี้นางคงต้องทำเป็นหลงกลเสียหน่อยแล้ว
ฉู่สวินหยางกระตุกยิ้มเย็นอย่างได้รูปขึ้นมา ไม่ปริปากพูดใดใด
คนผู้นั้นจึงก้าวออกไปที่เรือนด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ฉู่สวินหยางและเหยียนหลิงจวินต่างก็ดื่มชาไปคนละสองคำก่อนจะล้มพับไปอย่างเป็นธรรมชาติ
“ท่านหญิง!” พวกอิ้งจื่อไม่กี่คนเห็นเหตุการณ์ เมื่อกำลังจะเข้าไปดู แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้กลิ่นหอมประหลาดลอยมา ก่อนจะขาอ่อนล้มลงไป
ผ่านไปสักพัก คนที่หลบตัวอยู่ด้านหลังก็รีบวิ่งออกมา ไม่พูดพร่ำอันใดก็อุ้มฉู่สวินหยางออกไปตามแผน ก่อนจะวางนางไว้ในรถม้าคันหนึ่งปล่อยให้วิ่งไกลออกไป
ดูท่าแล้วคงจะมีความเชื่อมั่นในการวางยาอยู่ไม่น้อย เวลานี้พวกเขาจึงปล่อยเหยียนหลิงจวินทิ้งไว้อย่างไม่สนใจ
รอจนหูเฉิงและคนกลุ่มนั้นคอยส่งรถม้าของฉู่สวินหยางออกจากประตูใหญ่ไปแล้ว คนอีกกลุ่มหนึ่งจึงรีบเร่งย้อนกลับไปจัดการกับพวกของเหยียนหลิงจวิน ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่เมื่อเร่งฝีเท้าเข้าไปในเรือน ยังไม่ทันได้เข้าไปใกล้ ก็เห็นโคมไฟสว่างจ้ามาจากห้องโถงใหญ่เสียก่อน ภายในห้องนั้นปรากฏร่างชายสวมชุดสีเขียวไผ่ ในมือถือถ้วยชา รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า นั่งอย่างเงียบเชียบ
แต่พวกอิ้งจื่อและสาวใช้ไม่กี่คนนั้นกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เจ้า…” คนกลุ่มนั้นทำท่าทางราวกับเห็นผี รีบร้อนบุกเข้ามาด้านใน โอบล้อมชายที่นั่งอยู่ในห้องเอาไว้ ทั้งกล่าวด้วยน้ำเสียงตกใจระคนโมโห “เหตุใดเจ้า…”
คำพูดด้านหลัง เขากลับไม่ถามออกมาอีก
จะถามให้ได้เรื่องอันใด? เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตกหลุมพราง
แต่ว่าเป็นไปได้อย่างไรกัน?
เวลานี้เขากลับไม่สนใจเรื่องที่เหยียนหลิงจวินเอาตัวรอดจากหลุมพรางของพวกเขาได้อีกแล้ว ในหัวนั้นมีความคิดลอยยุ่งเหยิงไปหมด ฉับพลันก็ตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างตื่นตระหนก
“เช่นนั้นท่านหญิงสวินหยาง นาง…”
หากเหยียนหลิงจวินไม่เป็นอะไร แล้วเหตุใดจึงทนมองฉู่สวินหยางถูกพาตัวไปได้เล่า?
คนผู้นั้นเมื่อฉุกคิดได้ก็คิดที่จะส่งคนตามออกไป ทว่าเมื่อมองเห็นชายหนุ่มตรงหน้ายังคงเผยรอยยิ้ม ก็ร้อนใจเตรียมการตั้งรับ ลังเลอยู่อย่างนั้น
“พันราตรีมิสร่างนี้เป็นตำรับยาสูตรลับเฉพาะในราชวงศ์ของหนานฮวา” เหยียนหลิงจวินเผยรอยยิ้มที่สง่างามน่าชม ข้อมือสั่นไหวเล็กน้อย ชาร้อนสีเขียวในมือนั้นจึงสั่นเป็นระลอก เขามองดูน้ำชาในถ้วย กลับมีท่าทีคล้ายกับชื่มชมอยู่บ้าง กล่าวอย่างช้าๆ “พวกเจ้านำออกมารับแขกที่นี่หรอกหรือ? หากไม่ทราบก็คงจะคิดว่ายามนี้แคว้นฉู่ได้ตกไปอยู่ในมือของคนหนานฮวาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!”
พันราตรีมิสร่าง ความจริงแล้วเป็นอีกชื่อหนึ่งของพิษที่ทำให้ร่างกายไร้ซึ่งกำลัง แม้จะถูกพิษเพียงเล็กน้อยก็มากพอ
ที่จะทำให้คนล้มพับไปได้ทันที อีกทั้งมีฤทธิ์ที่รุนแรง อย่างน้อยที่สุดสามารถอยู่ได้สามถึงห้าวันก็ยังไม่จางหายไป ในขณะ เดียวกัน ฮ่องเต้ของแคว้นหนานฮวาบางครั้งก็ใช้ยานี้แฝงในงานเลี้ยง กำจัดพวกขุนนางในราชสำนักที่คิดต่อต้านเขาออกไปเช่นกัน
สรรพคุณของยานี้ไม่นับว่าโดดเด่นมาก แต่เพราะไร้สีไร้กลิ่นยากที่แยกแยะ จึงทำให้คนที่ได้ฟังต่างก็พากันหวาดผวา
คนกลุ่มนั้นหน้าเปลี่ยนสีอย่างทันที สุดท้ายคนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าจึงค่อยแสร้งทำเป็นกล่าวออกมาเรียบนิ่ง
“รออะไร? ยังไม่ลงมืออีก?”
คนอื่นๆ เวลานี้จึงราวกับเพิ่งดึงสติกลับมาได้ ชักดาบออกจากฝักเตรียมจะถลาเข้าไป
เหยียนหลิงจวินนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ คล้ายกับไม่เกรงกลัวอันใด
คนกลุ่มนั้นเมื่อเห็นก็ลังเลใจ พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาด้วย ขณะที่เพิ่งจะชักดาบออกจากฝัก มือไม้ก็ค่อยๆ อ่อนแรง เสียงอาวุธตกกระทบพื้นเป็นวงกว้าง คนก็ค่อยๆ ตัวอ่อนยวบล้มลงกับพื้นทีละคนราวกับโครงกระดูกก็มิปาน
“เจ้า…เจ้า…” ร่างกายไร้ซึ่งแรงที่จะขยับ คนสิบกว่าคนล้มพับไปกับพื้น ยังคงเบิกตาค้างมองดูชายหนุ่มที่นั่งแย้มยิ้มอย่างยากที่จะเชื่อ
เหยียนหลิงจวินเขย่าถ้วยชาในมือเล็กน้อย ก่อนจะวางลง ไม่กล่าวอันใดออกมา ก็ก้าวเท้ายาวเหยียบผ่านพวกทหารที่ระเกะระกะอยู่บนพื้นด้านหน้าเดินออกจากประตูไป
—————————————