สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 59.3 แทรกซึมค่ายศัตรู โต้กลับ (3)
เพิ่งจะรู้สึกตัวก็พบว่าตนเองไร้เรี่ยวแรงทั้งยังอยู่สถานที่ไม่คุ้นตา อย่างไรก็ไม่ควรจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้มิใช่หรอกหรือ?
คนผู้นั้นขมวดคิ้วขึ้นชั่วครู่ คล้อยหลังเห็นได้ชัดว่าไม่มีใจจะคิดอะไรมาก จึงกล่าวด้วยเสียงเย็นออกไปเท่านั้น
“ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องห่วงผู้อื่น ท่านหญิงกังวลเรื่องของตัวเองก็พอแล้ว ท่านไม่อยากรู้รึว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ใดกันแน่? หรือไม่ก็ชะตาชีวิตของตนเองหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร?”
“จะกังวลไปทำไม?” ฉู่สวินหยางเผยยิ้มเล็กน้อยด้วยท่าทีเรียบนิ่ง “อย่างไรพวกเจ้าก็ทำเรื่องซับซ้อนถึงขนาดนำตัวข้ามาถึงที่นี่ ก็คงไม่ได้ต้องการชีวิตข้าหรอก ในเมื่อไม่เกี่ยวพันถึงชีวิต ทั้งตัวข้าก็อยู่ในมือของพวกเจ้า แล้วเรื่องที่เหลือยังมีอะไรที่ต้องให้ข้ากังวลอีกหรือ?”
คนผู้นั้นเมื่อฟังจบก็ตกตะลึงไป อดไม่ได้ที่จะมองนางครั้งแล้วครั้งเล่า
จากข้อมูลที่เขามี ก็พอจะทราบแล้วว่าท่านหญิงฉู่สวินหยางผู้นี้มีความกล้าหาญและรอบรู้อยู่บ้าง แต่ถึงแม้ว่าจะแตกต่างจากผู้อื่นอย่างไร ท้ายที่สุดก็ยังเป็นพียงเด็กสาววัยสิบห้าปีเท่านั้น ทั้งยังเป็นคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์ที่ถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจจนเติบใหญ่…
ดังนั้นการที่ฉู่สวินหยางแสดงท่าทีออกมาเช่นนี้ สำหรับเขาแล้ว ก็เพียงแค่ไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวอะไรเท่านั้น จึงไม่นับว่าเป็นความอาจหาญอันใด
เมื่อคิดได้เช่นนี้ คนผู้นั้นก็คร้านที่จะเสียเวลาคิดอีกแล้ว จึงกล่าวออกไป “ในเมื่อท่านเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ดี ท่านให้ความร่วมมือสักหน่อย พวกเราก็สามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบได้แล้ว ท่านหญิงลำบากเดินทางมาไกล พักเสียหน่อยดีหรือไม่ สักพักข้าจะให้คนนำอาหารเข้ามา”
พูดจบก็หมุนกายออกไปอย่างรีบเร่ง
“ตัวข้าก็อยู่ที่นี่แล้ว ในฐานะที่เป็นแขก ไยเจ้าไม่อธิบายให้ข้าได้ฟังชัดเจนเสียหน่อย?” ฉู่สวินหยางเอ่ยปากพลางจ้องมองแผ่นหลังของเขา
“เป็นที่กล่าวขานในซีเยว่ว่าท่านหญิงฉู่สวินหยางและคังจวิ้นอ๋องเป็นพี่น้องที่รักใคร่กลมเกลียว ข้าที่เป็นแม่ทัพอดไม่ไหวจึงเลือกใช้อุบายนี้ เชิญท่านหญิงมาเป็นแขกที่ค่ายของข้า อาจจะต้อนรับได้ไม่ดีเท่าที่ควร อย่างไรก็ขออภัยท่านหญิงด้วย” คนผู้นั้นชะงักฝีเท้าไว้ ลังเลสักครู่ ก็หันกลับมากล่าว
แม้ว่าจะทำเรื่องสกปรกลงไป แต่ใบหน้าของเขากลับไม่มีท่าทีละอายใจแม้แต่น้อย
“พูดกันว่า การทหารย่อมหนีไม่พ้นเล่ห์อุบาย แม้ว่าแผนการครั้งนี้ของเจ้าจะถูกเปิดเผยไปบ้าง แต่ในเมื่อเจ้าสามารถนำข้าออกมาจากเมืองฉู่ที่มีทหารเฝ้าอย่างเข้มงวดได้ นี่ก็นับว่าเจ้ามีความสามารถแล้ว” ฉู่สวินหยางเผยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว มองดูเขาอย่างเรียบนิ่ง
คนผู้นั้นเห็นว่านางยังคงรักษาท่าทีไม่เปลี่ยนแปลงจึงตกใจไปเล็กน้อย ระหว่างสังเกตสีหน้าของนางก็อดไม่ได้ที่จะระแวงออกมา
ฉู่สวินหยางกลับไม่สนใจเขา เพียงแค่มองไปทางประตูกระโจมด้วยท่าทีสบายๆ กล่าวพลางแย้มยิ้มออกมาเล็กน้อย “ในเมื่อพลาดพลั้งตกไปอยู่ในมือเจ้าแล้ว ข้าก็ยอมรับแต่โดยดี แต่แม้ว่าอยากจะเอาชีวิต เจ้าก็ควรจะอธิบายให้ข้าฟังก่อนตายไม่ใช่รึ? อย่างไรก็ควรเรียกนายของเจ้าออกมาพูดคุยต่อหน้าให้เข้าใจสักหน่อย?”
คนผู้นั้นสีหน้าเปลี่ยนโดยไม่รู้ตัว แต่ก็พยายามปกปิดท่าทีตกใจนั้นอย่างรวดเร็ว กล่าวด้วยเสียงเรียบเย็น
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
“หมายความว่าอย่างไรงั้นรึ?” ฉู่สวินหยางอดเผยยิ้มออกมาไม่ได้ เก็บสายตากลับมา มองเขาขึ้นๆ ลงๆ อย่างดูแคลน ในตอนที่มองจนทำให้เขาขุ่นเคืองขึ้นมาได้จึงค่อยสั่นศีรษะอย่างมั่นใจ “วิธีที่สกปรกและไร้จริยธรรมเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าคนอย่างเจ้าจะสามารถคิดออกมาแล้วลงมือทำได้เสียหน่อย”
แววตาของคนผู้นั้นปรากฏความโมโหขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เวลานี้กลับไม่รู้ว่าจะตอบรับประโยคของนางอย่างไรดี
อย่างแรกอีกฝ่ายด่าเขาว่าไร้จริยธรรม อย่างที่สองก็คือดูแคลนปัญญาของเขา
ประการแรกนั้นเป็นเรื่องจริงที่เขาไม่อาจตอบโต้ได้ ประการที่สองหากเขาแย้งออกไป ก็ยิ่งเท่ากับว่าเป็นยอมรับโดยปริยายว่าตนเองไร้ซึ่งจริยธรรม
ถูกเด็กสาวที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเหยียดหยามเช่นนี้ ใบหน้าคนผู้นั้นจึงแดงก่ำไปชั่วขณะ จ้องมองนางตาเป็นมัน
และในเวลานี้ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบามาจากภายนอกกระโจม
ฉู่สวินหยางรวบรวมสติกลับคืนมา หัวคิ้วตั้งตรง กวาดสายตามองไปตามเสียง
เพียงเพราะว่าถูกกระโจมกั้นอยู่ จึงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
คนผู้นั้นก็ได้ยินการเคลื่อนไหวจากด้านนอกเช่นกัน จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง กล่าวออกมาอย่างโมโห “ทหาร!”
ทหารสองคนแหวกกระโจมเข้ามา
เขาก็ไม่มีใจจะอยู่ที่นี่นานนัก จึงกล่าวออกไปเพียงว่า “จับตามองนางให้ดี อย่าให้เกิดปัญหา!”
พูดจบก็สะบัดชุดคลุมก้าวเท้ายาวแหวกกระโจมออกไป หมุนกายเดินไปทางขวาอย่างรีบเร่งไม่กี่ก้าว ก็พบเข้ากับชายหนุ่มที่อยู่ในชุดคลุมสีทองเข้ม กำลังจัดแขนเสื้อชุดลายมังกรด้านใน ยืนอย่างทะนงตัวท่ามกลางสายลมโชย
ชายหนุ่มผู้นี้อายุราวๆ ประมาณยี่สิบปี ผิวพรรณขาวผ่อง มุมตานั้นตั้งตรงกับจมูก คิ้วโก่งโค้งดุจคันศร เมื่อมองดูแล้ว แม้รูปลักษณ์นั้นไม่อาจพูดได้ถึงขนาดที่ว่างดงามไร้ที่ติ แต่เมื่อมองรวมกันแล้ว กลับดูทรงพลังอย่างหนึ่งที่ไม่อาจพูดได้ชัดเจน มีทั้งความสง่า องอาจ และที่ยิ่งกว่านั้นคือ…
คล้ายกับอบอวลไปด้วยบรรยากาศของความชั่วร้ายก็มิปาน
เวลานี้เขากำลังเม้มริมฝีปากอยู่เล็กน้อย แววตานั้นแฝงด้วยรอยยิ้ม มองไปยังมวลเมฆที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าไกลๆ
คนผู้นั้นออกมาจากกระโจม เมื่อพบเขาก็ทำความเคารพอย่างนับถือ “นายท่าน!”
“อื้ม!” ชายผู้นั้นรับคำ เหลือบมองใบหน้าที่ดำคล้ำของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างอารมณ์ดีออกมา “อย่างไรก็เป็นคำพูดของเด็กสาวที่มีคุณธรรมคนหนึ่งเท่านั้น แม่ทัพฉางจำเป็นต้องคิดจริงจังกับนางขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ขอรับ!” คนผู้นั้นตอบกลับด้วยท่าทีนอบน้อม แต่กลับค่อยๆ ใช้หางตาเหลือบมองท่าทีของชายหนุ่มอย่างพินิจ…
ประโยคที่ว่า ‘ไร้จริยธรรม’ ของฉู่สวินหยาง ที่ด่าตรงๆ ก็คือเขานั่นแหละ!
นิสัยของเจ้านายตนท่านนี้ ขอแค่ได้คลุกคลีกับเขาก็ล้วนรู้แล้วว่า อย่าได้มองเพียงอารมณ์ที่เขามักจะแสดงออกมาอย่างอ่อนโยนเด็ดขาด เพราะแม้ว่าเขาจะแย้มยิ้มให้เห็นชัดเจนอย่างไร ทว่าแววตานั้นอาจจะแฝงไปด้วยความเย็นเยียบ
“นายท่านจะจัดการนางอย่างไรหรือขอรับ? ซีเยว่ทางนั้นล้วนถูกปิดกั้นข่าวสารไว้ เวลานี้หากจู่โจมอีกฝ่ายโดยไม่ทันตั้งตัว ก็อาจจะได้รับอะไรกลับมาก็ได้นะขอรับ!” แม่ทัพฉางกล่าวหยั่งเชิง
ชายหนุ่มกลับไม่ได้ตอบกลับอย่างทันที ยังคงเผินหน้ามองไปไกลสุดลูกหูลูกตา
แม่ทัพฉางจึงไม่กล้าออกความเห็นอันใดอีก เพียงแค่ยืนใจล่องลอยอยู่ข้างๆ
ผ่านไปสักพัก ที่ไกลๆ นั้นก็ปรากฏร่างสายลับคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
“เป็นอย่างไร?” ชายหนุ่มขมวดคิ้วกล่าวถาม
“แปลกมากขอรับ” คนผู้นั้นกล่าว “เช้าตรู่ของเมื่อวานคังจวิ้นอ๋องนำกำลังคนไปฉางโจวเพื่อรับสำเบียง พูดตามหลักการแล้วเที่ยงคืนของเมื่อวานก็ควรที่จะกลับเมืองได้แล้ว แต่ทางด้านแคว้นฉู่นั้นจนถึงเวลานี้ก็ยังไม่ได้รับข่าวอันใดเลย ดูเหมือนว่า…การเดินทางของเขาจะถูกถ่วงเวลาไว้ด้วยเรื่องอะไรบางอย่างขอรับ”
แม่ทัพฉางสูดลมหายใจเข้าลึกอย่างอดไม่ไหว ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังชายหนุ่ม
ชายหนุ่มผู้นั้นหรี่ตาเล็กน้อย ในแววตานั้นกลับปรากฏแสงวาบอย่างเยือกเย็นผ่านไปเลือนราง หลังจากนั้นชั่วครู่จึงค่อยกดเสียงต่ำคล้ายกับเสียดายอยู่บ้าง กล่าวว่า “เช่นนี้เรื่องก็ยากขึ้นมาแล้ว!”
แม่ทัพฉางขบคิดสักครู่ กลับไม่คิดว่าอย่างนั้น “ท่านหญิงสวินหยางผู้นี้ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนขององค์รัชทายาทแคว้นซีเยว่อยู่ดี จวนอ๋องหนานเหอและวังบูรพาแม้ว่าจะไม่ลงรอยกัน แต่ในเรื่องนี้อย่างไรก็คงไม่นึกถึงแต่เรื่องส่วนตัวหรอกกระมัง? หากซื่อจื่อหนานเหอไม่สนใจความเป็นความตายของท่านหญิงสวินหยาง เช่นนั้นก็จะไม่เท่ากับว่าบีบตนเองให้ถึงทางตันต่อหน้าองค์รัชทายาทแคว้นซีเยว่หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากฉู่ฉีเหยียนกล้าเพิกเฉยต่อความเป็นความตายของฉู่สวินหยาง เอาแต่สนใจศึกสงคราม แม้ว่าเขาจะกลับไปพร้อมเป็นฝ่ายชนะในการศึก แต่ฉู่อี้อันย่อมไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน
และฝีมือขององค์รัชทายาทแห่งซีเยว่ผู้นั้นยังคงยอดเยี่ยม ยากที่จะต่อกร
ชายหนุ่มขบเม้มริมฝีปาก ไม่เปล่งเสียงพูดอันใด
แม่ทัพฉางมองดูสีท้องฟ้า เริ่มเกิดความร้อนใจขึ้นมา “นายท่าน เวลาไม่คอยท่า ทัพใหญ่ได้เตรียมการมาทั้งคืนก็เพื่อรอศึกในวันนี้ หรือแม้แต่จะคิดอีกมุมหนึ่ง คังจวิ้นอ๋องไม่อยู่ที่แคว้นฉู่ ก็ยังนับเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเราเช่นกันนะขอรับ”
—————————————————-