สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 59.4 แทรกซึมค่ายศัตรู โต้กลับ (4)
ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากครุ่นคิด ยังคงตัดสินใจไม่ได้อยู่บ้าง ในตอนที่กำลังชั่งน้ำหนักคิดอยู่ในใจนั้น ก็ได้ยินเสียงของฉู่สวินหยางกล่าวอย่างไม่ยินดีขึ้นมาในกระโจมเสียก่อน “ไหนบอกว่าจะไปนำอาหารมาให้ข้าไม่ใช่หรือ? อย่างไรข้าในตอนนี้ก็ยังมีประโยชน์กับนายของพวกเจ้าอยู่บ้าง ปล่อยให้ท้องข้าหิวเช่นนี้ นับเป็นธรรมเนียมของพวกเจ้าแคว้นหนานฮวาหรือกระไร?”
แม่ทัพฉางได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าก็ดำทะมึนลง
สักพัก บ่าวที่สวมชุดดำคนนั้นก็เดินออกมาจากด้านในอย่างร้อนรน กดหน้าต่ำกล่าวด้วยเสียงเบา “ฝ่าบาท ท่านแม่ทัพ…”
“หึ…” ชายหนุ่มกลับไม่มีท่าทีว่าจะหงุดหงิดใจ เพียงเค้นหัวเราะออกไปเท่านั้น “ท่านหญิงสวินหยางผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก!”
หญิงสาวที่หยิ่งผยองนั้นเขาล้วนพบเจอมามาก ทว่าคนที่กล้ายกยอความฉลาดเฉลียวของตน ทั้งยังไม่รู้จักกาลเทศะกลับ…
เพิ่งพบจากฉู่สวินหยางเป็นคนแรก
แม่ทัพฉางเผยใบหน้าเยือกเย็น กล่าวพลางโบกมือ “ไปตระเตรียมให้เรียบร้อย!”
“เจ้าค่ะ!” สาวใช้รับคำสั่ง ก่อนจะคำนับหมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว
“นายท่าน…” แม่ทัพฉางเวลานี้ยังคงกล่าวกับชายผู้นั้นอย่างร้อนใจ
ชายหนุ่มเบนสายตามองไปทางด้านอื่น ผ่านไปสักครู่จึงค่อยทำท่าคล้ายกับยินยอม ผงกศีรษะเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้ามีความมั่นใจ เช่นนั้นก็ไปเถิด!”
“ขอรับ!” แม่ทัพฉางถอนหายใจอย่างโล่งอก รีบตอบกลับด้วยท่าทีที่องอาจ เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีเรื่องกำชับอันใดแล้วก็ปลีกตัวออกไปเตรียมการก่อน
รอจนเขาจากไปแล้ว เมื่อเห็นชายหนุ่มผู้นั้นยังเอาแต่ยืนไม่ขยับไปไหน องค์รักษ์ข้างกายของเขาจึงกล่าวอย่างลองเชิงออกมา “นายท่านท่านจะไม่ไปเตรียมนำทัพหรือขอรับ?”
“นำทัพ?” ชายหนุ่มพึมพำทวนคำนั้น คล้อยหลังในดวงตาก็ปรากฏรอยยิ้มพาดผ่านไป ทั่วทั้งใบหน้านั้นเผยให้เห็นท่าทีเยือกเย็นและมืดมนอย่างแปลกประหลาด ถอนหายใจทั้งสั่นศีรษะ “ศึกครั้งนี้…มองไม่เห็นประโยชน์แม้แต่น้อย!”
องครักษ์ผู้นั้นตะลึงไป มีท่าทีสับสนงงงวย “เช่นนั้นเหตุใดพระองค์ยังปล่อยให้แม่ทัพไปเล่าขอรับ?”
ชายหนุ่มฉีกยิ้มที่มุมปาก มองเขาไปอย่างมีความนัยแฝง ทั้งไม่พูดอันใดออกมา เพียงแค่กระชับชุดคลุมก่อนจะหมุนกายจากไป
———————-
ฉู่สวินหยางถูกควบคุมตัว การเคลื่อนไหวจึงไม่ค่อยสะดวกนัก ดังนั้นในมื้อเช้าจึงมีสาวใช้คอยปรนนิบัติอยู่ ส่วนด้านนอกนั้นก็ได้เตรียมเกี้ยวไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว
สาวใช้สองคนช่วยกันประคองนางขึ้นเกี้ยว นางไม่เอ่ยถามอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว ก็ถูกทหารคุ้มกันอย่างแน่นหนาออกจากค่ายไป
เวลานี้แม่ทัพฉางได้เดินนำกองกำลังทหารอยู่ด้านหน้า ห่างจากที่รกร้างข้างหน้ากว่าสามลี้ก็เป็นฉู่ฉีเหยียนที่คอยประจันหน้าอยู่
ทั้งสองฝ่ายจัดเตรียมกองกำลังไว้อย่างพรั่งพร้อม สถานการณ์รบเริ่มขึ้นด้วยความตึงเครียด
ฉู่ฉีเหยียนประกายตาเย็นเยียบมองดูอีกฝ่าย กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ก่อนหน้านี้ ไม่ใช่พวกเราต่างตกลงกันไปแล้วหรือว่าจะพักรบกันสามวัน? กลับกลอกไปมาเช่นนี้ นับเป็นการกระทำที่ภาคภูมิของแม่ทัพอย่างเจ้ารึ?”
“กลับกลอกแล้วอย่างไร? ก่อนหน้านี้ที่ทหารลับของซีเยว่ลอบโจมตีก็ไม่ใช่ว่าจะสง่าผ่าเผยอะไร? เพิ่งจะทำลายทหารชั้นยอดของข้าไปกว่าห้าพันนาย แค้นนี้ ข้าที่เป็นแม่ทัพย่อมต้องชำระความกับเจ้า!” แม่ทัพฉางกล่าว
เพราะว่าปีที่ผ่านมาก็ถูกฮั่วกังลอบโจมตีทำให้เกิดความสูญเสียครั้งใหญ่ไปแล้วครั้งหนึ่ง ฮ่องเต้แคว้นหนานฮวาจึงไม่พอใจเขาเป็นอย่างมาก ดีที่ภายหลังยังได้นำทัพทหารมาโต้ตอบอีกครั้ง ไล่ต้อนทัพซีเยว่จนติดแอกอยู่ในเมืองฉู่ จึงนับว่าได้กู้หน้ากลับคืนมาได้บ้าง
หลายเดือนมานี้ หลังจากที่รุ่ยชินอ๋องมาประจำที่เมืองฉู่ ก็แทบใช้เวลาหมดไปกับการจัดระเบียบภายใน ป้ายสงบศึกจึงแขวนอยู่บนนั้น ส่วนปัญหาเก่าในเมืองฉู่ ทางฮ่องเต้เองนั้นก็ยังไม่พอใจเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นรอยต่อที่สำคัญนี้ก็มาถูกฉู่ฉีเหยียนและฉู่ฉีเฟิงทำให้เรื่องยุ่งไปอีก
“เช่นนั้นหากพูดไปก็คงเปล่าประโยชน์แล้ว?” ฉู่ฉีเหยียนก็ไม่มีความจำเป็นต้องพูดอะไรกับเขา เพียงแค่การที่ฉู่ฉีเฟิงหายไปทั้งคืนไม่กลับมา กลับทำให้เขาเกิดลางสังหรณ์อย่างหนึ่งที่ไม่ดีนัก ทั้งยังมีความระแวดระวังมากเป็นพิเศษเท่านั้น
ขณะที่พูด เขาก็ค่อยๆ ยกมือเตรียมที่จะออกคำสั่ง
“ช้าก่อน!” แม่ทัพฉางที่อยู่ตรงข้าม จู่ๆ ก็เผยยิ้มเย็นขึ้นมา
มือของฉู่ฉีเหยียนจึงชะงักไว้ชั่วครู่
เขาค่อยยิ้มอย่างฝืดเคืองขึ้นอีกครั้ง “แค้นนั้นจะเร็วจะช้าข้าก็จะคิดบัญชีกับเจ้าอยู่ดี แต่ว่าไม่ใช่ในวันนี้ ข้าจะไม่พูดกับเจ้าให้มากความ แต่วันนี้เจ้าต้องถอนทัพออกไป ให้ข้าได้ออกไปจากเมืองฉู่!”
“ถือสิทธิ์อันใด?” ฉู่ฉีเหยียนยิ้มเย็นที่มุมปากขึ้น
“เป็นตัวหมากที่ยากจะประเมินค่า อย่างไรข้าก็ไม่เสนอเงื่อนไขอย่างส่งเดชให้เจ้าอยู่แล้ว” แม่ทัพฉางกล่าวขึ้น ก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณ ทัพทหารด้านหลังก็เปิดทางอย่างรู้งาน เกี้ยวคันหนึ่งที่ดูธรรมดาเล็กน้อย ค่อยๆ เข้ามาพร้อมกับกลุ่มทหารที่คุ้มกันอย่างเข้มงวด
ภายใต้ผ้าม่าน ปรากฏเงาร่างหนึ่งที่อ้อนช้อยงดงาม
ผู้คนต่างพากันมองด้วยความตึงเครียด ทางแม่ทัพฉางก็ไม่มากความ ใช้หอกยาวในมือเปิดมุมหนึ่งของผ้าม่านขึ้นมา เผยให้เห็นถึงใบหน้าครึ่งซีกที่เยือกเย็นของหญิงสาว
“ผู้ที่นั่งอยู่ในรถนี้เป็นใคร เจ้าคงจะคุ้นเคยอยู่กระมัง?” แม่ทัพฉางกล่าว “ท่านหญิงที่แต่งตั้งโดยฮ่องเต้แห่งแคว้นซีเยว่ของเจ้า ทั้งยังเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนขององค์รัชทายาท นางมีค่าเพียงใด ก็คงไม่จำเป็นต้องให้ข้ากล่าว?”
หลี่หลินอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เบนสายตามองไปทางฉู่ฉีเหยียนด้วยเป็นกังวล
แววตาของฉู่ฉีเหยียนสั่นไปเล็กน้อย ก่อนหัวคิ้วจะขมวดมุ่นตามมา
เพียงแต่เมื่อสายตาเขากวาดมองไปบนหน้าของฉู่สวินหยาง ก็หันไปเผชิญกับแม่ทัพฉางอย่างทันที “แล้วอย่างไรล่ะ? เจ้าก็จะใช้ชีวิตของสวินหยางมาข่มขู่ข้าเช่นนั้นหรือ?”
“ใช้เมืองฉู่แลกกับลูกสาวสุดที่รักขององค์รัชทายาทกลับไปอย่างปลอดภัย ข้อแลกเปลี่ยนนี้นับว่าเจ้าไม่เสียเปรียบ!” แม่ทัพฉางกล่าวด้วยเสียงเรียบเย็น ใบหน้านั้นเผยท่าทีราวกับสามารถเอาชนะเขาได้อย่างแน่นอน
ฉู่ฉีเหยียนขมวดคิ้วแน่น…
เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าฉู่สวินหยางจะมาที่เมืองฉู่ ทั้งยังปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันที่นี่ ทว่าตอนที่เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง กลับได้ยินเสียงฉู่สวินหยางหัวเราะออกมาจากรถม้าเสียก่อน “ใช้ข้าแลกกับเมืองฉู่อย่างนั้นหรือ? นี่ฉางซือหมิง สำหรับเจ้าแล้ว ชีวิตของข้าไร้ค่าเช่นนั้นเชียวหรือ?”
น้ำเสียงของนางแม้จะฟังดูสบายๆ แต่กลับแฝงไปด้วยความเหน็บแนมอย่างเห็นได้ชัด
แม่ทัพฉางขมวดคิ้วขึ้น ยิ่งหงุดหงิดขึ้นในใจ…
ฉู่สวินหยางรู้ชื่อของเขาได้อย่างไร? อีกทั้งเมืองฉู่นี้มีความสำคัญมากเพียงใด นางที่เป็นหญิงสาวไม่ประสาเรื่องราวคนหนึ่งจะเข้าใจได้อย่างไร
แม้ว่าจะเป็นเพียงเมืองหนึ่ง แต่แคว้นฉู่กลับเป็นประตูด่านแรกของซีเยว่ที่พวกเขาจะต้องฝ่าฟันไป
หากตีประตูเมืองฉู่แตกแล้ว สถานการณ์ภายหลังก็คงยากที่เตรียมการป้องกัน และถ้าหากทัพหนานฮวาอยากจะบุกตะโรมเข้าไปก็แทบพูดได้เลยว่าอาจจะไร้ทางหยุดยั้งได้เช่นกัน
เมืองฉู่นั้นเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง แต่นาง…
ก็ทำอย่างกับมั่นใจเสียเต็มประดา
ในใจของฉางซือหมิงมีความรู้สึกรุนแรงพรั่งพรูออกมาอย่างเลือนราง ก่อนจะรีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว กวาดหอกในมือตัดผ้าม่านบนรถม้านั้นลง ทั้งยังเล็งหอกแหลมสะท้อนแสงนั้นชี้ไปทางฉู่สวินหยางที่นั่งอยู่ในรถม้า แล้วหันกลับไปกล่าวกับฉู่ฉีเหยียน “ว่าอย่างไร? เจ้าจะยอมหรือไม่?”
หัวหอกที่สว่างวาบนั้นสะท้อนกับใบหน้าของเด็กสาว เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่งดงามอย่างชัดเจน ความสดใสนั้นยังสะท้อนท่าทีที่ดูเยือกเย็นและอันตรายออกมา
ฉู่ฉีเหยียนเม้มริมฝีปาก ใช้สายตาจ้องมองทางนี้อย่างซับซ้อน แม้ว่าจะทำท่าราวกับกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่แสดงท่าทีอันใดออกมา
ฉู่สวินหยางก็ไม่ได้สนใจเขา กวาดสายตามองฉางซือหมิงที่ยกหอกขึ้นมาด้านหน้านาง มุมปากฉีกยิ้มขึ้น ร้อยเรียงเป็นรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
หลังจากนั้นชั่วครู่ ฉู่ฉีเหยียนก็เบนสายตามองไปทางด้านข้างอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
จู่ๆ ฉู่สวินหยางก็ลงมืออย่างทันที พลิกมือขึ้นจับ ก่อนจะใช้อีกมือหนึ่งเคลื่อนกำลังภายในผลักไปที่ด้ามหอก จนข้อมือของฉางซือหมิงสั่นชาด้วยความเจ็บปวด
ครู่ต่อมา เด็กสาวที่เดิมนั่งนิ่งในรถม้าก็หมุนกาย กระโดดขึ้นแผ่วเบาอย่างคล่องตัว อยู่เหนือทัพทหารนับหมื่นนับพัน จับหอกในมือถลาเข้าไปจ่อลงที่ลำคอของฉางซือหมิง
ดวงอาทิตย์โผล่พ้นขึ้นมาอย่างช้าๆ แสงยามเช้าสาดส่องไปทั่วทิศทาง แม้เงาที่สะท้อนจะทำให้นางดูบอบบางแต่ก็เปล่งรัศมีที่ดูทะนงองอาจเช่นกัน
เด็กสาวนั้นเผยใบหน้าสดใสเจิดจ้าท่ามกลางแสงตะวัน ในมือจับหอกยาว เผชิญหน้ากับทัพทหารที่ชาญศึกมากมายเบื้องล่างด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง
———————————————