สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 60.1 องค์รัชทายาทช่างร้ายกาจ! (1)
“ท่านแม่ทัพ!” เรื่องเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทหารโดยรอบที่ดึงสติกลับมาได้ จึงยกหอกขึ้นมาอย่างทันที
“พวกเจ้าก็ลองขยับดูสิ!” ฉู่สวินหยางขมวดคิ้วขึ้น ปราดสายตามองไปเหนือศีรษะคนของที่อยู่เบื้องล่าง “ดูซิว่าการเคลื่อนไหวของพวกเจ้าจะเร็วกว่า หรือว่าจะเป็นหัวหอกเล่มนี้ของข้าที่ได้ลิ้มรสเลือดก่อนกัน!”
นางเผยท่าทีดุดันองอาจ แม้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่อยู่ท่ามกลางค่ายศัตรูเพียงหนึ่งเดียว แต่กลับไม่เผยท่าทางหวาดกลัวออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย
เกี้ยวเล็กคันนั้นถูกล้อมไปด้วยทหารหนานฮวาจำนวนมหาศาล คมหอกกระแทกบรรจบกันนับร้อย บีบเค้นนางจากทั่วทิศทาง
ฉู่สวินหยางยืนอยู่บนเกี้ยวนั้น หนีบหอกยาวกับศอกชี้ไปยังลำคอของฉางซือหมิง
สายลมที่พัดผ่านในสนาม ม้วนเอากระโปรงสีม่วงเข้มของนางปลิวไสวลอยอยู่ในอากาศ แสดงให้ผู้คนเห็นทั้งความอ่อนหวานและบ้าคลั่งในเวลาเดียวกัน ภายใต้แสงแดดนั้น ได้ปรากฏภาพคล้ายกับรูปวาดหมึกแสนงดงามและทรงพลัง ดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมาก
ฉู่ฉีเหยียนที่อยู่ด้านตรงข้ามทำเพียงแค่มองอย่างเงียบเชียบ มุมปากนั้นติดกันแน่นจนเห็นเป็นเส้นเดียว ในดวงตาปรากฏเงาสั่นไหวพาดผ่านอย่างเลือนราง
สถานการณ์ที่ศัตรูบุกประชิดทั้งยังตึงเครียดเช่นนี้ เขา…
กลับทำราวกับจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่
แต่ถึงกระนั้น เวลานี้ก็ไม่มีผู้ใดสนใจเขาอีกแล้ว เพราะทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ร่างของเด็กสาวอย่างพร้อมเพรียงกัน
ใบหน้าของฉางซือหมิงดำคล้ำ อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี แต่อย่างไรเขาก็ยังนั่งสูงเด่นอยู่บนหลังม้า จึงทำให้ทหารทั้งสองฝ่ายล้วนแต่ได้เห็นถึงสภาพที่อับอายของเขาอย่างชัดเจน
“เหตุใดท่านจึง…” ฉางซือหมิงเปิดปาก แทบที่จะเป็นเสียงคำรามอยู่รอมร่อ
“ถามเอาตอนนี้ยังจำเป็นอยู่อีกรึ?” ฉู่สวินหยางกลับไม่รอให้เขาได้พูดจบก็ถามกลับด้วยเสียงเย็นเสียก่อน
ฉางซือหมิงปราดสายตากวาดมองทหารที่รายล้อมเกี้ยวอย่างแน่นหนา ก่อนจะค่อยมีความมั่นใจขึ้นมาบ้าง กล่าวออกไปอย่างเรียบนิ่ง “ท่านคิดจะทำอะไร?”
“ก็ไม่ได้จะทำอันใดมากหรอก!” ฉู่สวินหยางกล่าว “จำได้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้ข้าเคยพูดอะไรกับเจ้า? มาทำข้อแลกเปลี่ยนกับข้า…” ขณะที่นางพูด ก็ส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างดูแคลน “เจ้าไม่คู่ควรสักนิด!”
ฉางซือหมิงกัดฟัน กล้ามเนื้อที่แก้มบีบรัดแน่น กดเสียงต่ำกล่าวอย่างอดกลั้น “ท่านก็ฝันหวานเกินไปแล้ว ถึงขนาดบีบบังคับข้าต่อหน้ากองทัพทั้งสองฝ่ายเช่นนั้นรึ? คงจะเห็นพวกเราชาวหนานฮวาเป็นพวกไร้ความสามารถอย่างนั้นสินะ?”
“พวกเขาจะไร้ความสามารถหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับข้า เพียงแต่พวกเจ้าทำให้ข้าสูญเสียเวลาและกำลังไปมากขนาดนี้ อย่างไรก็ไม่ควรให้ข้ามาเสียเที่ยว เจ้า…” ฉู่สวินหยางปราดตามองไปยังทหารส่วนตัวที่อยู่ด้านล่างฉางซือหมิงคนหนึ่ง ยกคางชี้พลางกล่าวออกคำสั่ง “กลับค่ายไปกล่าวรายงานกับเจ้านายที่แท้จริงของพวกเจ้าเดี๋ยวนี้ ข้าให้เวลาเขาแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น หากเขาไม่มา…”
ขณะที่นางพูด ก็หยุดไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวอย่างเรียบเย็น “แม้ว่าดาบเล่มนี้ของข้าจะเร็วอย่างไร กลับไม่อาจให้ผู้อื่นหยิบยืมไปใช้ได้ง่ายๆ หรอก!”
ทหารผู้นั้นตะลึงไปชั่วครู่ เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของนาง จึงทำได้เพียงแค่เงยหน้ามองไปทางฝั่งฉางซือหมิง
ทว่าฉางซือหมิงกลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ในดวงตานั้นปรากฏความสงสัยอยู่บ้าง
ฉู่สวินหยางจึงกล่าวกับทหารคนนั้นไปอีกครั้ง “ถ่ายทอดคำพูดเมื่อครู่ของข้าให้เขาฟังก็พอแล้ว จะมาหรือไม่มาก็ตามประสงค์เขาเถิด!”
ฉางซือหมิงเอาแต่ก้มหน้า ไม่เผยสีหน้าใดออกมา
ทหารผู้นั้นเมื่อเห็นเช่นนี้ก็ร้อนใจขึ้นมา
ฉู่สวินหยาง ไม่ใช่ฉู่เหยียนและฉู่ฉีเฟิงพวกนั้น หากเป็นเด็กสาวที่ถูกตามใจจนเสียคนก็แล้วไป แต่ดูท่าทางนางแล้ว หากทำเรื่องให้นางขัดใจ ฉางซือหมิงก็คงยากที่จะเอาชีวิตรอดเป็นแน่
กัดฟันเพียงครู่ ทหารผู้นั้นก็ไม่รอช้า พลิกกายขึ้นหลังม้า วิ่งกลับไปทางค่ายทหารทันที
ด้านฉู่สวินหยางยังคงเผยสีหน้าเรียบนิ่งเช่นเคย หยัดกายยืนตรงอยู่บนเกี้ยว ตกเป็นเป้าสายตาท่ามกลางการโอบล้อมของทหารทั้งสองฝ่าย
ฉู่ฉีเหยียนนั่งอยู่บนหลังม้า ใช้แววตาคลุมเครือนั้นจ้องมองไปที่นาง
ระยะทางอยู่ห่างกันช่วงหนึ่ง แต่กลับมองเห็นใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นอย่างชัดเจน รูปลักษณ์งดงามที่ดึงดูดสายตาจากผู้คน ทั้งท่าทางที่องอาจและเยือกเย็น
เมื่อก่อนเขาเพียงรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญที่แตกต่างจากผู้อื่น แต่เมื่อถึงยามนี้ ตอนที่นางถูกจ้องมองโดยผู้คนมากมายของสองทัพทหาร ราวกับว่าแสงสว่างที่ซ่อนไว้ภายในตัวนาง ถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมดในเวลานี้
คล้ายกับว่า…
นางมีพรสวรรค์เช่นนี้ตั้งแต่กำเนิด แววตาที่ดูถูกผู้คนและอยู่เหนือผู้คนในคราเดียว ทั้งที่ถูกจ้องมองจากทั่วทุกสารทิศในสนามรบ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ได้การหลอมรวมจนปรากฏเป็นรังสีความสว่างไสวที่สุดออกมา
อาจพูดได้ว่า ฉู่สวินหยางในเวลานี้ ทำให้คนสั่นสะท้านทั้งยังตกตะลึงจนแทบไม่อาจละสายตาจากไปได้จริงๆ
เพียงแค่เป็นความรู้สึกที่ใจไม่สงบนิ่ง ความรู้สึกเช่นนี้ได้บังเกิดขึ้นในใจของเขา ถึงจริงๆ แล้ว…
แม้ว่ายามนี้จะมีศัตรูคู่แค้นร่วมกัน แต่อย่างไรจุดยืนของพวกเขาก็แตกต่างกันอยู่ดี
ลอบถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ ฉู่ฉีเหยียนก็บังคับตัวเองให้เบนสายตาออกไป
“ซื่อจื่อ เหตุใด จู่ๆ ท่านหญิงก็มาปรากฏตัวขึ้นที่นี่? หรือว่า…” หลี่หลินควบม้าเข้ามาข้างกายเขาอย่างเงียบเชียบ พลางกล่าวด้วยกดเสียงต่ำ
“ทางเมืองหลวงคงจะเกิดเรื่องขึ้น” ฉู่ฉีเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ มองไปยังทุ่งหญ้ารกที่ถูกลมหนาวกดไว้ เผยท่าทีจริงจังขึ้นมา “นางมาที่นี่ แปดส่วนคงจะได้กลิ่นแปลกๆ จากเรื่องครั้งนี้ของรุ่ยชินอ๋อง จึงมาเพราะห่วงฉู่ฉีเฟิง แต่ที่น่าขำคือการเดินทางของนางครั้งนี้ พวกเรากลับถูกปิดบังไม่ให้รู้เสียอย่างนั้น”
หลี่หลินสูดลมเข้าอย่างเฝื่อนๆ “มีคนตั้งใจปิดข่าวอย่างนั้นหรือขอรับ?”
การเดินทางของฉู่สวินหยางถูกคนจงใจปกปิดเอาไว้ อีกทั้งเมื่อสักครู่ยังเปิดเผยตัวท่ามกลางค่ายของศัตรู เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือที่ซับซ้อนของพวกหนานฮวา
แต่แม้ว่าสองทัพจะเผชิญหน้ากัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็ใช้แผนการเล็กๆ ที่ไม่เป็นปัญหาใหญ่อะไรมาก ทว่าสิ่งที่ทำให้คนรู้สึกไม่อาจสงบจิตสงบใจลงได้ก็คือ…
การปิดข่าวทางด้านเมืองหลวง อีกทั้งไม่เปิดเผยร่องรอยการลักพาตัวของฉู่สวินหยาง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้ หากพูดว่าไม่ได้เป็นปัญหาจากฝ่ายของเขา ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ
ฉู่ฉีเหยียนเผยสายตาเย็นเยียบ ทั้งยังแฝงด้วยความว้าวุ่นอยู่บ้าง
หลี่หลินไม่รอให้เขาได้ตอบ ก็เบนสายตามองไปยังทัพของศัตรูที่อยู่ตรงข้าม กล่าวอย่างเรียบนิ่ง “ฉางซือหมิงเป็นแม่ทัพของหนานฮวา เมื่อครู่ที่ท่านหญิงพูดว่าเจ้านายที่แท้จริงคือเรื่องอันใดกันหรือขอรับ? หรือจริงๆ แล้วเบื้องหลังของเขา…”
“เรื่องราวของคนผู้นี้ข้าก็เพิ่งสืบหาอย่างละเอียดเมื่อไม่นานมานี้ แม้ว่าทางด้านทหารจะมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงอยู่ไม่น้อย แต่ว่า…” ฉู่ฉีเหยียนกล่าว ก่อนมุมปากจะกระตุกยิ้มเย็นขึ้นมา จ้องมองไปทางฉางซือหมิงที่อยู่ไกลๆ ด้านนั้น ตาคมทอประกายเย็นเยียบ “หากจะพูดถึงอำนาจด้านข่าวสารของแคว้นพวกเรา การที่ฉู่สวินหยางถูกจับกุมอย่างเงียบเชียบ…กลอุบายเช่นนี้ ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาจะทำได้ง่ายๆ”
ฉางซือหมิงดำรงตำแหน่งแม่ทัพ นับเป็นผู้บัญชาการทหารที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของแคว้นหนานฮวา เพียงแต่คนผู้นี้นั้นมีนิสัยใจร้อนทั้งยังกระหายที่จะประสบความสำเร็จ ในด้านการวางแผนแล้วกลับไม่อาจเรียกได้ว่ามีฝีมือเพียงพอ
ช่วงนี้เขาได้เสาะหาข้อมูลของอีกฝ่ายมาคร่าวๆ เช่นกัน ทำให้ได้ผลสรุปเช่นนี้ออกมา แต่ยังไม่ทันนำมาใช้ประโยชน์ กลับมาถูกฉู่สวินหยางแย่งไปเสียก่อน…
เหตุใดเด็กคนนี้ถึงคาดการณ์เบื้องลึกเบื้องหลังของฉางซือหมิงออกมาได้?
ฉู่ฉีเหยียนหดรูม่านตาโดยไม่รู้ตัว ประกายแววตาแน่วแน่มองไปยังเด็กสาวที่ยืนปะทะสายตาอยู่ฝั่งตรงข้าม ทั้งทำท่าทีราวกับกำลังขบคิดอะไรอยู่
————————————————