สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - บทที่ 60.3 องค์รัชทายาทช่างร้ายกาจ! (3)
กองทัพนับหมื่นที่อยู่ตรงหน้านั้น ต่างก็ก้มหมอบราบคาบลงไป ท่ามกลางเสียงทหารจำนวนมากที่แซ่ซ้องสรรเสริญ องค์รัชทายาทแคว้นหนานฮวาในชุดคลุมสีทองปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน ดูสง่างามอย่างไร้ที่ติ
กองทัพของแคว้นหนานฮวาเกิดความปั่นป่วนขึ้นอย่างทันที มีเพียงทางเกี้ยวด้านนี้เท่านั้นที่ยังคงแผ่บรรยากาศตึงเครียดออกมา
ฉู่สวินหยางไม่แม้แต่จะกะพริบตา ทำเพียงใช้แววตาที่เคร่งขรึมมองออกไปทางอื่น ฟังเสียงเกือกม้าที่ค่อยๆ ย่ำเข้ามา
องค์รัชทายาทพระองค์นี้ของแคว้นหนานฮวาอายุยังไม่เกินยี่สิบเอ็ดปี กลับมีนิสัยแตกต่างไม่ไร้ความสามารถเฉกเช่นกับฮ่องเต้ กล่าวกันว่ามีฝีมือยอดเยี่ยม เป็นผู้สืบทอดของราชวงศ์ที่โดดเด่นอย่างมากคนหนึ่ง ระยะเวลาหลายปีมานี้ ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้แคว้นหนานฮวาที่หละหลวมและไม่ได้เรื่องได้ราว เขากลับยังสามารถควบคุมพวกพี่น้องมากเล่ห์พวกนั้นเอาไว้ได้…
มองจากจุดนี้แล้ว ก็คงจะไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่นี้อย่างแน่นอน
ชายหนุ่มควบม้าเข้ามาจากท้ายขบวนทัพ โผทะยานอย่างงดงาม สายตานั้นมองตรง ทว่าก็ยังสามารถมองเห็นกระโปรงสีม่วงเข้ม พลิ้วไสวดึงดูดสายตาผู้คนจากที่ไกลๆ ได้อยู่ดี
เด็กสาวที่รูปร่างสูงเด่นทั้งยังดูบอบบางเล็กน้อยยืนตระหง่านอยู่เพียงผู้เดียว ในตอนที่ยังมองเห็นใบหน้านั้นไม่ชัดเจนก็ตกตะลึงขึ้นเสียก่อน
ผู้ที่มาเป็นองค์รัชทายาทแห่งแคว้นหนานฮวาจริงๆ
ฉู่ฉีเหยียนไม่ได้คาดคิดมาก่อน จึงชะงักลมหายใจไปชั่วครู่
เมื่อคนผู้นั้นควบม้ามาใกล้แล้วจึงค่อยหยุดลง มองไปที่ฉู่สวินหยางเป็นอันดับแรก ก่อนจะกวาดสายมองไปยังกลุ่มคนที่ล้อมรอบเกี้ยวนั้นอย่างแน่นหนา ทั้งยังกำหอกยาวไว้ในมือ จึงค่อยขมวดคิ้วกล่าว “กับหญิงสาวผู้เดียวยังต้องทำเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าน่าอายไปหน่อยรึ?”
ทหารพวกนั้นค่อยๆ คลายมืออย่างสองจิตสองใจ แต่ก็ยังระแวดระวังอยู่รอบๆ เกี้ยว ไม่กล้าจะห่างออกไปแม้แต่น้อย
เวลานี้ฉางซือหมิงกลับหน้าแดงขึ้นมาอย่างจริงๆ กัดฟันกล่าวขึ้นอย่างลำบากใจ “ขอองค์ชายโปรดอภัยที่บ่าวไร้ความสามารถ จึงทำให้พระองค์เสียหน้าเช่นนี้!”
“แม่ทัพฉางยังคงจงรักภักดีกับองค์รัชทายาทเสียจริง” ไม่รอให้ผู้นั้นได้ทำอะไร ฉู่สวินหยางกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน
แววตาขององค์รัชทายาทหนุ่มหนานฮวามีประกายแสงวาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว กระตุกมุมปากขึ้นปรากฏเป็นรอยยิ้มเย็น เวลานี้ได้จ้องมองไปยังร่างของนาง ไม่ได้พินิจอันใดมาก ก็กล่าวอย่างสบายๆ ออกไป “ท่านหญิงตั้งใจให้คนมาส่งข่าว ไม่ใช่กล่าวว่ามีเรื่องที่อยากจะพูดกับข้าหรอกหรือ? ยามนี้ข้ามาแล้ว ท่านก็ปล่อยตัวแม่ทัพฉางก่อนเถิด!”
“ยากที่จะพบตัวองค์รัชทายาทเสียเหลือเกิน!” ฉู่สวินหยางร้อยเรียงมุมปากขึ้นอย่างได้รูปคล้ายจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เผชิญสายตากับเขาอย่างไม่สะทกสะท้าน กลับไม่ได้มีความคิดที่จะปล่อยคนไปแม้แต่น้อย “ก่อนหน้านี้อยู่ในค่ายทหารของท่าน ข้าอยากจะพบท่าน ท่านกลับไม่ยอมให้พบ ดึงดันจะเปิดฉากสงครามใหญ่โต จนถึงเวลานี้ที่ได้พบกัน แม่ทัพฉางผู้นี้ยังเป็นฝ่ายที่เสียมารยาทกับข้าก่อน องค์รัชทายาทยังจะคิดว่าข้าสามารถพูดดีๆ ด้วยอย่างนั้นรึ? แค่ฟังคำพูดท่านเพียงประโยคเดียวก็จะยอมปล่อยเขาไปแล้ว?”
“ท่าน…” ฉางซือหมิงคิดว่าตนเองเป็นชายที่มีศักดิ์ศรีผู้หนึ่ง ออกรบทัพจับศึกกว่ายี่สิบปี แต่นี่กลับเป็นหนแรกที่ถูกหยามเกียรติเช่นนี้
แววตาของรัชทายาทแคว้นหนานฮวาประกายความเยือกเย็นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “แม่ทัพฉางก็ทำไม่ถูกที่ล่วงเกินต่อท่านหญิง เช่นนั้นข้าจะชดใช้ให้ท่านแทนเขาเอง ยังมีอันใดที่ท่านต้องการ ข้าจะรับผิดชอบให้ เวลานี้ท่านปล่อยคนก่อนเถิด พวกเรามาคุยกันดีๆ”
น้ำเสียงของเขาเรียบนิ่ง ท่าทีก็ดูเป็นธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด
“ดูเหมือนว่า องค์รัชทายาทจะเป็นเจ้านายที่ดีคนหนึ่ง ช่างยากเสียเหลือเกินที่จะพบเจ้านายที่อภัยให้ลูกน้องเช่นนี้” ฉู่สวินหยางแย้มยิ้ม พลางเบ้ปาก ค่อยๆ หมุนหอกในมือคล้ายกับรู้สึกเบื่อหน่ายอยู่บ้าง
หอกแหลมเล่มนั้นเดิมทีก็อยู่ใกล้ลำคอของฉางซือหมิงมากพอแล้ว เมื่อขยับขึ้นมา แม้ว่าจะไม่ได้สัมผัสถูกเนื้อหนัง แต่กลับเห็นได้ชัดว่าทำให้คนรู้สึกราวกับถูกลมหนาวที่เย็นยะเยือกพัดผ่านจนบาดผิวกายไปก็มิปาน
ฉางซือหมิงชะงักทั่วทั้งสรรพางค์กาย เพื่อที่จะไม่ให้ขายหน้าต่อลูกน้องไปมากกว่านี้ จึงทำได้เพียงพยายามควบคุมไม่ให้ตนเองแสดงอาการแปลกประหลาดอันใดออกไป
รัชทายาทหนานฮวามองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้า…
ความนัยที่นางกล่าวมา เขาเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้ในใจเขาปรากฏความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นมา
“กล่าวตรงๆ ก็แล้วกัน ท่านต้องการสิ่งใดกันแน่?” เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งเฮือก ตอนที่กล่าวออกมานั้นยังเห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของเขายังอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ดีอยู่บ้าง
“เช่นนั้นก็บอกข้า ว่าผู้ที่แฝงตัวทำงานให้ท่านในราชสำนักซีเยว่ แท้จริงแล้วเป็นใคร?” ฉู่สวินหยางกล่าว ทั้งยังไม่อ้อมค้อมกับเขา “ผู้ที่ล่วงรู้การเดินทางของข้า ทั้งยังมีความสามารถปิดกั้นข่าวสาร ร่วมมือกับท่านวางแผนทำเรื่องอย่างไร้ที่ติเช่นนี้ ตัวตนของคนผู้นี้คงจะไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่ ข้าเพียงอยากจะรู้ว่าเขาเป็นใคร และอีกอย่าง…”
ขณะที่นางพูด ก็เผยรอยยิ้มอย่างหยอกล้อขึ้น เหลือบตามองไปทางฉางซือหมิง “ท่านและข้าต่างก็อยู่คนละฝั่งกัน เรื่องทางด้านหนานฮวาของพวกท่านข้าไม่มีความสนใจที่สืบหาเรื่องอันใดหรอก”
บนใบหน้าขององค์รัชทายาทแคว้นหนานฮวาไม่ปรากฏรอยยิ้มแม้แต่น้อย ทำเพียงมองนางอย่างเย็นเยียบเท่านั้น
ฉู่สวินหยางมองปะทะกับสายตาของเขา เขาไม่ท่าทีว่าจะยอมนางแต่ก็ไม่ได้บีบบังคับมากเกินไป ทว่านางกลับสูดลม หายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยเปิดปากกล่าวอย่างช้าๆ “เริ่มตั้งแต่ปีที่ผ่านมาครั้งนั้น เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมืองฉู่ที่นี่ก็ล้วนอยู่ในการควบคุมขององค์รัชทายาท ผ่านการวางแผนครั้งแล้วครั้งเล่า จนเป็นแผนการที่ไร้ข้อบกพร่อง? ตั้งแต่การพ่ายศึกในคืนวันปีใหม่นั้น จนภายหลังที่กองทัพซีเยว่ของข้าเกิดการเปลี่ยนตัวแม่ทัพอย่างกะทันหัน ทั้งยังเมื่อเร็วๆ นี้ จู่ๆ รุ่ยชินอ๋องก็ถูกวางพิษจนไม่ได้สติ แม่ทัพภายในเมืองฉู่ถูกเปลี่ยนตัวอีกครา เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ในแผนการของท่านอย่างไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อยใช่หรือไม่?”
ฉางซือหมิงฟังจบ ในดวงตานั้นก็ปรากฏอาการตกตะลึงแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว เบนสายตาไปมองสีหน้าเจ้านายของตนอย่างทันที
รัชทายาทแคว้นหนานฮวาเผยใบหน้าสุขุมนุ่มลึก ทว่าแววตากลับปกคลุมไปด้วยชั้นน้ำแข็ง กล่าวอย่างหยอกล้อว่า “ท่านกำลังพูดเรื่องอันใดกัน?”
“ข้ากำลังพูดว่า องค์รัชทายาทช่างมีหูตากว้างไกลเสียจริง!” ฉู่สวินหยางกล่าว ในน้ำเสียงในแฝงด้วยความชื่นชมอยู่กลายๆ “แผนการยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ แท้จริงที่ท่านรอก็คือฉากในตอนนี้ ทุกอย่างก่อนหน้าล้วนเป็นแค่ภาพลวงตา ท้ายที่สุดสิ่งที่ท่านต้องการก็มีเพียงบีบให้พี่รองของข้าและซื่อจื่อหนานเหอมาที่นี่ เพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนเป็นราชนิกุลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของแคว้นซีเยว่ในยามนี้ รัชทายาท ท่านทะเยอทะยานที่จะเป็นหนึ่งในใต้หล้า หากไม่สามารถชิงตัดแขนขาของฮ่องเต้แคว้นข้า กำจัดผู้สืบทอดที่มีความสามารถที่สุดของราชวงศ์ซีเยว่ให้สิ้นซาก หรือไม่อาจตัดหนทางของพวกเขาได้ ในภายภาคหน้าพวกเขาก็ย่อมต้องกลายเป็นอุปสรรคสำหรับท่านอย่างแน่นอน สงครามที่พ่ายแพ้นับเป็นสิ่งใด? ชีวิตผู้คนที่สูญเสียนับหมื่นนับเป็นสิ่งใด? เพียงแค่สามารถกำจัดเสี้ยนหนามที่อยู่ด้านหน้าออกไป การเสียสละทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็ล้วนเป็นเรื่องที่คุ้มค่า”
สิ่งเหล่านี้ฉู่สวินหยางก็เพิ่งจะใช้เวลาที่ถูกล้อมอยู่ท่ามกลางทัพของหนานฮวาคิดขึ้นมาจนกระจ่างใจ
แม้ว่าจะมีคนหนานฮวาแฝงตัวในราชสำนักซีเยว่ ครั้งนี้อีกฝ่ายสามารถช่วยลักพาตัวนางมาเป็นตัวประกัน ทั้งยังเข้าร่วมมือลับๆ อย่างไร้ข้อบกพร่อง เช่นนั้นการร่วมมือกันเช่นนี้ จะเป็นการถูกดึงมาเกี่ยวพันโดยบังเอิญได้อย่างไร? คิดให้ลึกกว่านี้อีกหน่อย นำเรื่องราวทั้งหมดมาเชื่อมต่อกันจึงค่อยเข้าใจแจ่มชัดขึ้นมา
อีกทั้งแม้เมืองฉู่จะมีคนของเขาอยู่ หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นกับรุ่ยชินอ๋อง ทางด้านหนานฮวาก็คงจะได้รับข่าวคราวในทันที เวลานั้นแม่ทัพไม่สามารถดูแลกองทัพได้ หากจุดประสงค์ของพวกเขามีเพียงโจมตีเมืองฉู่ แค่ชิงลงมือในยามนั้นก็อาจจะสำเร็จไปแล้ว
แต่พวกเขากลับแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวรั้งทัพไว้
นี่ก็พูดได้เพียงว่า การวางแผนทั้งหมดของพวกเขา จะต้องเป็นผลประโยชน์ที่เมืองฉู่ก็ไม่อาจเทียบติดอย่างแน่นอน
เช่นนั้นขอถามว่า ยังจะมีอะไรที่น่ากลัวไปกว่าไม่มีผู้สืบทอดต่อในราชวงศ์ล่ะ?
————————————————–