สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1004 มาอวยพรหรือมาก่อกวน
สวมแหวนให้กับเย้นหว่านแล้ว โห้หลีเฉินก็ได้ลุกขึ้น โดยที่ยังคงจับมือเย้นหว่านไว้แน่น
บาทหลวงมองสองคนที่รักใคร่กันอยู่ตรงหน้า ยิ้มแล้วเตือนขึ้น
“คุณเย้นถึงเวลาคุณสวมแหวนให้กับคุณโห้หลีเฉินแล้วครับ”
เย้นหว่านถึงได้รู้สึกตัว แล้วปาดน้ำตาด้วยความเขินอาย
เธอตำหนิเขา “เป็นเพราะคุณเลยที่พูดซาบซึ้งกินใจขนาดนี้ เครื่องสำอางฉันเลอะหมดแล้ว ต้องมาดูน่าเกลียดในโอกาสสำคัญเช่นนี้”
โห้หลีเฉินยิ้มแล้วมองเธอด้วยความรัก “ไม่เป็นไร ต่อให้คุณจะดูน่าเกลียดแค่ไหน ผมก็ไม่รังเกียจคุณ”
เย้นหว่านสำลัก เขาจะบอกว่าเครื่องสำอางคุณไม่ได้เลอะ ยังดูสวยไม่ได้เลยหรือไง
คำพูดที่จี๊ดเช่นนี้ กลับใช้ได้ผลกับเธอมาก
ใบหน้าของเธอแดงก่ำ ค่อยๆ หยิบแหวนฝ่ายชายออกมา
เธอจับมือของเขา กำลังจะนำแหวนมาสวมใส่นิ้วมือของโห้หลีเฉิน
หากสวมแหวนเสร็จ ก็เป็นอันสิ้นสุดพิธี
เธอกับโห้หลีเฉินก็จะเป็นสามีภรรยาอย่างเป็นทางการ เป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดที่สุดในโลก
ครั้นแล้ว ขณะกำลังนำแหวนมาสวมใส่นิ้วมือของฝ่ายชายนั้น ได้มีเสียงที่ไม่เป็นมิตรดังขึ้น
“ฉันยังไม่มาเลย จะเริ่มได้อย่างไรกัน ไม่มีผู้เฒ่าผู้แก่อยู่อวยพรในพิธีงานแต่ง จะมีความสุขได้รึ”
เป็นคำถาม และก็เป็นคำถามเชิงตำหนิ
ฟังคำพูดที่พูดหยอกเย้าด้วยรอยยิ้ม แต่ในความเป็นจริงกลับช่างเฉียบคมบาดลึก
ร่างของเย้นหว่านเกร็งขึ้นทันที เงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นหยูฉู่สองเหยียบอยู่บนหาดทรายสีทอง กำลังก้าวเท้าใหญ่เดินเข้ามาดุจดาวตก
คนที่มาชมพิธีการนี้ส่วนใหญ่เป็นคนบ้านตระกูลเย้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ตระกูลเย้นสถานการณ์ค่อนข้างจะซับซ้อน แต่อย่างไรหยูฉู่สองก็เป็นหัวหน้าครอบครัว
ผู้คนยังคงให้ความเคารพต่อเขา
เมื่อเห็นเขามา ผู้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ต่างก็ลุกขึ้น แล้วโค้งคำนับให้
จิตใจที่มีความสุขของเย้นหว่าน บัดนี้กลับหนักหน่วงๆ ขึ้นทันใด และเต็มได้ด้วยความวิตกกังวล
เธอจับมือของโห้หลีเฉินไว้ แล้วถามขึ้นเบาๆ
“เขามาได้อย่างไร”
งานแต่งครั้งนี้ไม่ได้ทำการเชิญหยูฉู่สอง ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคุณปู่ของโห้หลีเฉินก็ตาม
เขาเช้าไม่มาเย็นไม่มา ดันมาในเวลานี้ หรือมาเพื่อก่อกวนเหรอ
เขาต้องการทำลายตระกูลเย้น ไม่ชอบเย้นหว่านหลานสะใภ้คนนี้มาก
โห้หลีเฉินดึงเย้นหว่านไปยืนอยู่ที่ด้านหลังของตัวเอง ร่างที่สูงใหญ่ตรง มองหยูฉู่สองด้วยแววตาที่เยือกเย็น
เขากล่าวอย่างเย็นชา “อย่างนั้นคุณปู่มาเพื่ออวยพรหรือเปล่าครับ”
ในคำพูดที่เคร่งขรึม มีความบาดคม บังคับและข่มขู่ในความรู้สึก
ดอกไม้ไฟปะทุขึ้น
ถ้าหากว่าหยูฉู่สองมาเพื่อก่อกวน อย่างนั้นเขาก็จะไม่ยอมให้หยูฉู่สองอยู่ดีมีสุขอย่างแน่นอน เพียงแต่เกรงว่าการต่อสู้นั้นจะเริ่มขึ้นในทันที
หยูฉู่สองหยุดยืนอยู่ด้านนอกห่างออกไปไม่กี่เมตร เขาจ้องตรงมาที่โห้หลีเฉินด้วยสีหน้าเชือดเฉือนยำเกรง ไม่มีร่องรอยของความเมตตา มีเพียงความเย็นชาที่ไร้ความปรานีแทรกซึมเข้ามาในกระดูก
บรรยากาศฉับพลันราวกับลดลงต่ำกว่าศูนย์องศา
คนอื่นๆ ร่างเกร็งกันหมด ตั้งหน้าตั้งตารอชมโดยไม่กล้าพูดจา
หากผู้นำกับนายน้อยเกิดทะเลาะกันในงานแต่งงานขึ้นมา อย่างนั้นคงต้องเป็นเรื่องใหญ่ ไม่กล้าที่จะจินตนาการภาพที่จะเกิดขึ้นเลย
แต่ว่าบรรยากาศเช่นนี้ ไม่อาจทำให้พวกเขาหยุดจินตนาการได้
กลัวว่าหากเกิดทะเลาะกันขึ้นมา
คงไม่มีทางดีกันได้อีก
ในขณะเดียวกัน บอดี้การ์ดที่ซ่อนอยู่ใต้ต้นมะพร้าวบนชายหาดได้เดินเข้า กระจัดกระจายกันเป็นรูปพัด ค่อยๆ ล้อมเข้ามาในพิธีงานแต่งอย่างระมัดระวัง
โห้หลีเฉินมีการเตรียมการไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นใครที่มาก่อกวนงานแต่ง เขาก็ไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ
ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหยูฉู่สองก็ตาม
แต่หยูฉู่สองทำราวกับมองไม่เห็นบอดี้การ์ดที่ห้อมล้อมบีบกันเข้ามา หลังจากที่มองโห้หลีเฉินด้วยใบหน้าเย็นชาอยู่สักพักแล้ว ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้น
เขากล่าวอย่างเสียงดัง “หลานชายแต่งงานทั้งที ฉันก็ต้องมาอวยพรสิ”
เสียงหัวเราะทำลายบรรยากาศในงานอันเยือกเย็นลงทันที
แต่ยังคงมีความรู้สึกความกดดันอันยิ่งใหญ่ที่กดทับอยู่บนศีรษะ ใครๆ ก็รู้ หยูฉู่สองคงจะไม่ได้มาอวยพรจากใจจริง
แต่ อย่างน้อยก็ไม่ได้มาเพื่อปั่นป่วน
“พวกแกแต่งงาน ชื่นมื่นมีความสุข ในฐานะที่เป็นคุณปู่ฉันย่อมเปรมปรีดิ์อย่างแน่นอน หวังว่าชีวิตการแต่งงานของพวกแกจะครองคู่กันจนแก่เฒ่า และนี่ก็เป็นของขวัญที่ฉันมอบให้กับพวกแก”
เมื่อพูดจบลง พ่อบ้านที่อยู่ข้างๆ ก็ยื่นกล่องๆ หนึ่งมาด้านหน้าหยูฉู่สองอย่างนอบน้อม
หยูฉู่สองเปิดกล่องต่อหน้าผู้คน
ในนั้นเป็นงานฝีมือชุดทารกสีแดง ด้านบนมีการปักเสือน้อยตัวหนึ่งที่ทรงพลัง ไร้เดียงสา และซุกซนตามประสาเด็กๆ
นี่เป็นชุดของเด็กผู้ชาย
หยูฉู่สองปรายตาไปมองเย้นหว่าน “เสี่ยวหว่าน ชอบไหม”
นับตั้งแต่วันที่หยูฉู่สองลอบโจมตีพี่ชาย เย้นหว่านก็ไม่ชอบหยูฉู่สอง และก็ยิ่งไม่อยากที่จะข้องเกี่ยวกับเขาอีก
แต่ว่าเขาเป็นผู้อาวุโส นำของขวัญมามอบให้ เพื่อรักษาหน้า เย้นหว่านก็ไม่อยากทำอะไรที่ไม่งาม
เพราะนี่เป็นพิธีแต่งงานของเธอ เธอไม่อยากทะเลาะกันเพราะสาเหตุนี้จนไม่มีความสุข และพังทลายลง
เธอพยายามยิ้มเพื่อแล้วพยักหน้า “ชอบค่ะ”
“ชอบก็ดี”
หยูฉู่สองหัวเราะดังฮ่าๆ และสายตาเพ่งมองไปยังท้องของย้นหว่าน “นี่คือของขวัญที่ฉันมอบให้หลานสุดรักของฉัน เมื่อเขาคลอดออกมา จะต้องให้เขาได้สวมใส่นะ
ใช่แล้ว ไปตรวจกันมาหรือยัง เพศของเด็กมั่นใจว่าเป็นเพศชายแล้วใช่ไหม”
เย้นหว่านอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกอึดอัดมากๆ
น้ำเสียงท่าทีของเขาเช่นนี้ คือจะต้องให้เธอคลอดออกมาเป็นเด็กผู้ชาย
แล้วถ้าหากว่าเป็นเด็กผู้หญิงล่ะ ก็จะไร้ค่าเป็นส่วนเกินอย่างนั้นเหรอ
เย้นหว่านทำหน้าขรึม “เด็กยังเล็กมาก ยังไม่สามารถดูเพศได้ค่ะ หนูกับหยูฉู่สองก็ไม่ได้คิดที่จะตรวจด้วย ไม่ว่าจะเป็นลูกผู้หญิงหรือลูกผู้ชาย พวกเราก็รักเหมือนกันค่ะ”
“อย่างนั้นไม่ได้”
เสียงหยูฉู่สองดังก้องขึ้น และคัดค้านตรงๆ “เด็กคนนี้เป็นสายเลือดโดยตรงเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลหยู ภายภาคหน้าเป็นทายาทโดยแท้ที่จะต้องสืบทอดตระกูลหยู สถานะสูงส่ง แบกรับหน้าที่อันใหญ่หลวง
เขาจะต้องเป็นเด็กผู้ชาย ต่อไปต้องเป็นผู้สืบทอดธุรกิจครอบครัว”
เย้นหว่านขมวดคิ้วด้วยความอึดอัด
เด็กเพิ่งจะโตได้เพียงเดือนเศษ หยูฉู่สองก็มอบภาระความรับผิดชอบที่มากมายนี้ให้กับเขา
ทั้งหมดนี้ควรเป็นสิ่งที่เด็กต้องรับผิดชอบเหรอ
หยูฉู่สองกล่าวต่อ
“เมื่อเด็กคนนี้คลอดออกมา จะกลายเป็นคุณชายน้อยของตระกูลหยูของพวกเรา เป็นทายาทสืบทอดของตระกูลหยู โดยที่มีฉันเป็นคนอบรมเลี้ยงดูด้วยตัวเอง เลี้ยงเขาให้โตมาเป็นผู้นำที่โดดเด่นที่สุด”
เย้นหว่านสีหน้าเปลี่ยนทันที ปฏิเสธโดยที่ไม่ต้องไตร่ตรอง “ไม่ได้!”
ลูกของเธอ คลอดออกมาแล้วจะให้หยูฉู่สองอบรมเลี้ยงดูได้อย่างไร
ยังไม่ต้องพูดถึงความสัมพันธ์ตอนนี้ของพวกเขาที่ไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ ต่อให้ปรองดองกันดี ก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้คุณทวดมารับเลี้ยงดูลูก
มือที่หนาใหญ่ของโห้หลีเฉินกุมมือน้อยๆ ของเย้นหว่านไว้ บีบเบาๆ ส่งสัญญาณให้เธออย่าวิตกกังวล
เขามองหยูฉู่สองอย่างเย็นชา กล่าวแต่ประโยคแต่ละคำออกมาชัดเจนอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผมจะอบรมเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง คงไม่ไปรบกวนท่าน”
“สำหรับเรื่องทายาทสืบทอด ลูกของผมยังไม่รู้ว่าเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย ยังไม่จำเป็นต้องตัดสินใจในตอนนี้ อีกอย่าง ถึงแม้จะเป็นผู้ชายก็ต้องดูด้วยว่าเขามีความต้องการที่จะรับช่วงตระกูลหยูต่อหรือไม่ ถ้าหากว่าไม่ ผมก็จะไม่บังคับฝืนจิตใจเขา”
ความหมายในคำพูดก็คือ ตำแหน่งของหัวหน้าตระกูลหยูอาจจะไม่รับก็ได้
หยูฉู่สองหน้ามืดทันที ใบหน้าเคร่งขรึม
“เรื่องการสืบทอดทายาทไม่ใช่เรื่องที่นายตัดสินใจเองได้ นี่เป็นกฎของตระกูลหยู! หลานใหญ่จากครอบครับลูกคนโตก็ต้องสืบทอดทายาทตระกูลหยู เมื่อเด็กคนนี้เกิดมาก็ต้องเป็นทายาทสืบทอดเพียงหนึ่งเดียว”