สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1050 กอด
เธอมาส่งของ แต่กลับไม่อยาก เมื่อกี้ผลักประตูออก ก็เห็นกู้จื่อเฟยและเจิ้งเหลียงกอดอยู่ด้วยกัน
สนิทสนมกันขนาดนั้น
เจิ้งเหลียงยังพูดคำว่า ผมอยู่ที่นี่ เหมือนดังคำพูดของคนรักกัน
ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นพวกเขาจะแยกกันแล้ว บอกว่าเป็นเพราะยามวิกฤตถึงปลอบโยนเธอแบบนั้น ทว่าเธอกลับรู้ว่า สิ่งที่เจิ้งเหลียงพูดคือคำเท็จ
เขาเป็นคุณหมอที่รักษาโรคเบื่ออาหาร และจะมีการชี้นำทางด้านจิตใจ ทว่าไม่เคยปลอบโยนใครด้วยความอ่อนโยน โอบกอดผู้ป่วยขนาดนี้!
ความสนิทสนมของเขาและกู้จื่อเฟย ดูก็รู้ว่าไม่ปกติ
พอนึกคิดไปถึงเรื่องที่กู้จื่อเฟยตั้งใจปิดบังเย้นโม่หลินเรื่องที่เธอมารักษาโรคเบื่ออาหารกับเจิ้งเหลียง ก็ยิ่งรู้สึกว่า พวกเขาทั้งสองแค่ใช้นามในการรักษา และทำเรื่องไม่ดีลับหลัง……
หน้าไม่อาย
หน้าไม่อายมากๆ
ผ่านไปสักพัก อารมณ์ของกู้จื่อเฟยจึงจะค่อยๆ ดีขึ้น
เจิ้งเหลียงยิ้มอย่างอ่อนโยนพลางพูดว่า “คุณไม่ต้องรู้สึกกดดันมากเกินไป สถานการณ์แบบนี้ จะค่อยๆ ลดลงและดีขึ้น วันนี้หากคุณเหนื่อยแล้ว สามารถกลับไปพักผ่อนก่อนได้ พรุ่งนี้เราค่อยมาต่อ”
กู้จื่อเฟยส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันทำต่อได้”
เจิ้งเหลียงรู้สึกแปลกใจมาก เขาเป็นคุณหมอในด้านนี้ ก็ยิ่งเข้าใจ ในตอนที่ผู้ป่วยรักษาในด้านนี้ ความกดดันและการบาดเจ็บที่หัวใจจะรับไหมมากเท่าไหร่
ครั้งแรกก็ยังเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุด ปกติแล้วสถานการณ์แบบนี้ หากสามารถกลับไปพักผ่อนรอพรุ่งนี้ค่อยมา ไม่มีผู้ป่วยคนไหนปฏิเสธเลย
ยืนหยัดจะทำต่อด้วยตัวเอง กู้จื่อเฟยคือคนแรกที่เขาเจอ
รู้สึกนับถือกู้จื่อเฟย พยักหน้า “โอเค งั้นพวกเราต่อ”
……
เหนื่อยมาทั้งวัน
หลังจากที่กู้จื่อเฟยออกจาโรงพยาบาล อยู่กับเย้นโม่หลิน ยังคงมีสีหน้าที่พลังงานเต็มเปี่ยม
เย้นโม่หลินมองเธอด้วยความสุขุม จากนั้นเอนศีรษะพิงลงบนเก้าอี้
ปิดตาลง พูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ฉันนอนสักพัก ถึงแล้วเธอเรียกฉันนะ”
“โอเค”
กู้จื่อเฟยพยักหน้าตอบรับ แล้วเห็นเย้นโม่หลินหลับตานอนไป
ไม่มีการจ้องมองของเขา รอยยิ้มที่รักษาไว้บนใบหน้าตลอดมา ในที่สุดก็ค่อยๆ ปล่อยวางลง
เธอเหนื่อยมาก
ทรมานกับฝันร้ายทั้งเย็น ถึงแม้ว่าเธอจะผ่านมาหมดแล้ว ทว่าร่างกายและพลังงาน ต่างก็เหนื่อยมาก
ทว่าเธอมาในนามว่ามานวดบำบัด ไม่สามารถเหนื่อยกลับไปได้สินะ?
ตอนแรกเธอฝืนตัวเอง ทว่าพอเย้นโม่หลินหลับไปแล้ว เธอก็ไม่ต้องแกล้งเสแสร้งอีกแล้ว
กู้จื่อเฟยก็พิงอยู่บนเก้าอี้ หลับตา แล้วนวดขมับ
เธอหลับตา รู้สึกว่ารถหยุดลง ก็รีบลืมตาขึ้น
นอกหน้าต่างรถ ก็คือโรงแรม
“พี่เย้น ถึงแล้ว”
เย้นโม่หลินจึงจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น “อื้ม” ตอบกลับ แล้วลงรถเปิดประตูให้เธอ
ท่าทางพลิ้วไหวมาก ราวกับว่าเมื่อกี้เขาไม่ได้หลับเลย
กู้จื่อเฟยมีความสงสัยเล็กน้อย
เย้นโม่หลินเดินมาถึงข้างประตูรถ มองเธอแล้วพูดขึ้นว่า
“เหนื่อยแล้วเหรอ? ให้ฉันอุ้มเธอลงมาไหม?”
กู้จื่อเฟยตะลึงงัน การบริการของเย้นโม่หลินนี้ ช่างเอาใจเกินไปแล้ว
เปิดประตูให้ก็ช่างเถอะ ยังอุ้มแบบเจ้าหญิงอีกด้วย
แก้มเธอแดงกระหน่ำ จากนั้นก็ยื่นแขนออกไป “กอด”
เย้นโม่หลินยิ้มด้วยความเอ็นดู อุ้มเธอลงมาจากบนรถ
คนขับรถขับรถออกไปอย่างเงียบๆ
กู้จื่อเฟยซุกอยู่ในอ้อมกอดของเย้นโม่หลินอย่างสบาย ไม่มีความคิดที่จะลงมา
พูดขึ้นอ้อนๆ ว่า “พี่เย้น ฉันยังเหนื่อยอยู่เลย นายอุ้มฉันเข้าไปด้วยเลยสิ?”
ตามหลักการเลย ได้คืบจะเอาศอก
ยังอดปฏิเสธไม่ได้อีกด้วย
เย้นโม่หลินอุ้มกู้จื่อเฟยเข้าไปในโรงแรมด้วยเก้าเท้าใหญ่และกว้าง
เขายืนอยู่หน้าประตูลิฟต์ ลังเลไปสักพัก ถามขึ้นว่า
“เธออยากกลับห้องก่อน หรือว่าไปห้องครัวก่อน?”
ความหมายคือ เขาจะเข้าครัวทำอาหารด้วยตัวเองอีกแล้ว สองวันนี้ก็เป็นแบบนี้มาโดยตลอด
กู้จื่อเฟยรู้สึกซึ้งใจมาก “ฉันไปอยู่กับนายที่ห้องครัว”
เธอชอบดูเขาทำอาหาร ดูท่าทางที่เขาจับหม้อจับกระทะ
เย้นโม่หลินอุ้มกู้จื่อเฟยออกไปนอกห้องครัวอย่างคุ้นชิน ให้เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ สามารถมองเห็นเขาผ่านหน้าต่างได้
ส่วนผสมที่เขาต้องการ ได้เตรียมไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว
เย้นโม่หลินสวมผ้ากันเปื้อนด้วยความชำนาญ เริ่มจุดไฟ ผัดอาหาร
ท่าทางดูแล้ว ชำนาญเชี่ยวชาญมากๆ
กู้จื่อเฟยเอามือดันคาง มองเขาโดยไม่กะพริบตา จะพูดถึงเธอ สามารถพูดว่าเป็นเจ้ามนต์เสน่ห์ได้เลย ไม่เช่นนั้นจะได้คืบแล้วเอาศอกกับแฟนแบบนี้ได้อย่างไร ถึงขั้นลงไม้ลงมือทำเองแล้ว
เย้นโม่หลินทำอาหารเสร็จแล้ว ถืออาหารจานแรกด้วยตัวเอง แล้วเดินออกมาจากในครัว
กู้จื่อเฟยดูลักษณะแล้ว ดมกลิ่นหอมนั้น รู้สึกว่ารสชาติน่าจะครบเครื่อง
เธอพูดเล่นขึ้นว่า “พี่เย้น นายตัดสินใจจะทำอาหารให้ฉันตลอดเลยเหรอ?”
“อืม” เย้นโม่หลินพยักหน้า
แววตาของกู้จื่อเฟยเปล่งประกายเล็กน้อย เสียงก็ทุ้มต่ำลงเล็กน้อย มีความเศร้าปะปน “แต่ว่าฉันทานได้น้อยมาก สิ้นเปลืองความหวังดีของพี่มากเลย”
“เธอสามารถทานได้มากขึ้น ความหวังดีของฉันไม่ถือว่าสิ้นเปลือง”
เย้นโม่หลินพูดด้วยความจริงจัง
ถึงแม้ว่าเขาจะหลงตัวเองว่าฝีมือของตัวเองสามารถเอาชนะเชฟได้ เป็นที่หนึ่งบนโลกนี้ ทว่าความจริงแล้วเป็นเพราะว่าเขาเป็นคนทำ กู้จื่อเฟยจึงทานมากขึ้น
ถึงแม้ว่าแค่สองสามคำ ก็คุ้มค่าที่เขาจะไปวิจัยเมนูอาหาร
“เธอชอบ ฉันจะทำให้เธอทุกวันเลย ทำทั้งชีวิตก็ได้”
เย้นโม่หลินพูดด้วยความจริงจัง
กู้จื่อเฟยมองท่าทางสัญญาณที่จริงจังของเขา ในใจก็รู้สึกซึ้งใจและมีความสุขมาก
ทว่าข้างๆ กลับมีเสียงไม่พอใจดังขึ้น “ให้ตายเถอะ”
ป่ายฉีปิดปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความรังเกียจ
“ข้าวยังไม่ทันกินลงท้อง ก็สวีทหวานจนคลื่นไส้แล้ว พวกนายยังจะให้ฉันทานข้าวอยู่ไหม?”
กู้จื่อเฟยเอียงหัว ยิ้มพลางพูด “ในเมื่อกินความสวีทจนอิ่มแล้ว งั้นนายก็ไม่ต้องกินข้าวแล้ว ยังไงก็ไม่หิวอยู่ดี”
“เชอะ เธออยากจะครอบครองอาหารของพี่ชายใหญ่คนเดียวล่ะสิ ฝันไปเถอะ”
ป่ายฉีเดินมาด้วยความเกรี้ยวกราด แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ หยิบตะเกียบขึ้นมาเตรียมพร้อม “พี่ชายใหญ่เข้าครัวทำอาหารเอง กินหนึ่งครั้งล้วนแต่เป็นความโชคดี กินสองครั้งสามารถมีอายุยืนยาว เธออย่ามาแย่งกับฉัน ฉันจะกินหลายคำเลย”
กู้จื่อเฟยไม่พอใจทันที ยัยนี่ไม่มีเรื่องดีเลยจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะมาแย่งกิน
อาหารอย่างอื่นก็ช่างเถอะ อาหารที่เย้นโม่หลินทำเองกับมือจะเหมือนกันเหรอ?
กู้จื่อเฟยจับตะเกียบข้างหนึ่ง จับช้อนข้างหนึ่ง “พี่เย้น เอาอาหารมาวางตรงหน้าฉันเถอะ ห่างจากป่ายฉีหน่อย”
ป่ายฉี “ขี้โกง หน้าไม่อาย”
กู้จื่อเฟยแลบลิ้นไปทางป่ายฉี
ป่ายฉีโมโหแล้ว ลุกขึ้นมาเลย ใช้รูปร่างที่สูงของเขา คีบอาหารหนึ่งในสามของจานมาโดยคีบตะเกียบครั้งเดียว
“เรื่องคีบตะเกียบได้สามรอบ แน่จริงเธอก็มาแย่งกับฉันสิ”
พูดจบ ป่ายฉีก็อ้าปากกว้าง ยัดเข้าไปในปาก
กู้จื่อเฟยเบ้ปากขึ้น คนคนนี้เป็นหมูเหรอ?
ทานผักได้เยอะขนานี้ นี่เทลงปากล่ะไม่ว่า ทำลายข้าวของชัดๆ สิ้นเปลืองฝีมือของพี่เย้นเลย
จากนั้น กู้จื่อเฟยยังพร่ำบ่นในใจไม่ตบ ยัยป่ายฉีก็กินข้าวแล้ว มาคีบตะเกียบรอบสองอีก
กู้จื่อเฟยลุกขึ้นด้วยความตกใจ รีบคีบผัก แล้วกินขึ้นมา
ถ้ายังไม่รีบกิน ก็จะถูกยัยป่ายฉีแย่งไปหมดแล้ว
เย้นโม่หลินนั่งอยู่ข้างๆ มองทั้งสองแย่งผักกัน ในแววตามีรอยยิ้มอ่อนๆแฝงอยู่
เฟยเอ๋อ เหมือนจะทานเยอะขึ้นกว่าตอนเช้าแล้ว