สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1063 เย้นหว่าน
จากการวิดีโอคอลในหลายวันนี้ กู้จื่อเฟยก็สังเกตเห็นว่า ใต้ตาของเย้นหว่านค่อนข้างจะดำเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าเธอนอนหลับไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก
แต่ว่าเธอกำลังตั้งท้องอยู่ ควรจะพักผ่อนเยอะๆ สิถึงจะถูก
เมื่อเวลากลางคืน กู้จื่อเฟยกับเย้นโม่หลินไม่ได้นอนหลับ รอจนเลยเวลาเที่ยงคืนมาเล็กน้อย แล้วก็วิดีโอคอลไปหาเย้นหว่าน
เสียงรอสายดังอยู่เพียงครู่หนึ่งเท่านั้น แล้วปลายสายก็รับ
หน้าจอปรากฏให้เห็นใบหน้าเล็กๆ เย้นหว่าน และแววตาของความผิดหวัง
มันเพียงแค่แป๊บเดียวเท่านั้น แต่ว่ากู้จื่อเฟยก็สามารถสังเกตเห็นได้
ใบหน้าของเย้นหว่านมีรอยยิ้ม แล้วพูดอย่างอ่อนโยนมากกว่า
“จื่อเฟย โทรมาหาฉันดึกขนาดนี้ มีอะไรหรือเปล่า?”
กู้จื่อเฟยเห็นรอยยิ้มของเย้นหว่าน แต่กลับไม่รู้สึกดีใจเลยแม้แต่นิดเดียว
เย้นหว่านรับสายในตอนนี้ แถมในห้องยังเปิดไฟอยู่ ท่าทางเหมือนเธอยังไม่นอน ทุกอย่างมันเป็นเหมือนที่เธอคาดเดาเอาไว้
แม้แต่……
“เธอนอนคนเดียวเหรอ?โห้หลีเฉินยังไม่กลับมาเหรอ?”
เย้นโม่หลินคนแข็งกร้าวถามออกมาตรงๆ
เขาขมวดคิ้วแน่นมาก ความเป็นศัตรูในสีหน้าของเขามันไม่สามารถควบคุมได้เลย
มุมปากของกู้จื่อเฟยกระตุกอย่างรุนแรง แล้วก็หันไปมองหน้าเย้นโม่หลินจะไม่มีทางเลี่ยง เธอไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงถึงจะดี
บอกว่าจะทำแบบเลี่ยงๆ ไม่ให้เย้นหว่านรู้สึกกดดัน แต่ว่าเย้นโม่หลินไม่สามารถแซงได้
เย้นหว่านอึ้งไปเพราะคำถามนี้ แก้วตาเป็นประกายความทำอะไรไม่ถูก
เธอตอบว่า “ช่วงนี้เรื่องเยอะ เขายุ่งอยู่”
พอพูดจบนั้น เย้นหว่านก็ยิ้มและพูดติดตลก “พี่ ตอนนี้ปลดอาวุธและยอมศิโรราบแล้วเหรอ ยังไม่ทันจะแต่งงานเลยนะ ทำไมถึงนอนกับกู้จื่อเฟยได้อย่างสบายใจขนาดนั้น?”
ก่อนหน้านี้เวลาพูดถึงเรื่องนี้ เย้นโม่หลินจะหน้าบูดเป็นอย่างแรก
แต่ว่าวันนี้ สีหน้าเขากลับดูจริงจังเป็นพิเศษ
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง เล่าเรื่องของเธอมา โห้หลีเฉินยุ่งอะไร ทำไมเวลานี้ยังไม่กลับมา?”
“เรื่องของตระกูลหยูไง สถานการณ์ปัจจุบันวุ่นวายมาก พี่ไม่รู้หรอก”
เย้นหว่านพูดอย่างสบายๆ และผ่อนคลายมาก “ตอนนี้ฉันท้องใหญ่แล้ว หมอไม่ให้ฉันยุ่งวุ่นวายอะไรมากมาย ดังนั้นฉันก็เลยไม่ไปปวดหัวกับเรื่องพวกนี้ ส่วนรายละเอียดว่ามันยุ่งเรื่องอะไรนั้นฉันก็พูดไม่ได้เท่าไหร่”
“ยุ่งอยู่จริงๆ เหรอ?”เย้นโม่หลินมองเธอด้วยสายตาสงสัย
สีหน้าของเย้นหว่านดูสงบมาก แต่ว่าเธอก็แสร้งทำเป็นไม่พอใจแล้วพูดว่า
“พี่ นี่หมายความว่ายังไงกัน? ตอนนี้กำลังสงสัยว่าฉันโกหกพี่อยู่เหรอ”
“พี่กลัวว่าเธอจะปิดบังพี่”
เย้นโม่หลินพูดด้วยเสียงที่ชมต่ำ “เสี่ยวหว่าน ถึงแม้ว่าตอนนี้พี่จะไม่ได้อยู่ข้างๆ เธอ แต่ว่าพี่ก็จะเป็นญาติที่สนิทที่สุดของเธอตลอดไป เป็นการสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของเธอ ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร พี่ก็จะปกป้องเธอ ดังนั้นเธอต้องไม่ปิดบังพี่ ถ้าเกิดว่าเจอเรื่องอะไรที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วไม่บอกพี่”
ดวงตาของเย้นหว่านเป็นประกาย เธอรู้สึกแสบจมูกขึ้นในทันที
เธอยิ้มแล้วพูดว่า “กลางดึกขนาดนี้ จะมาพูดคำพูดแบบนี้ทำไมกันเนี่ย?”
“ฉันสบายดีมากจริงๆ โห้หลีเฉินรักฉันขนาดนั้น จะยอมปล่อยให้ฉันได้เจอกับความไม่เป็นธรรมได้ยังไง เขายุ่งจริงๆ ยุ่งจนฟ้ามืดก็เลยไม่มีเวลาอยู่เป็นเพื่อนฉัน”
“ตอนนี้ท้องของฉันก็คงที่แล้ว ฉันก็เลยบอกเขาว่าไม่ต้องมาคอยดูแลฉันตลอดเวลาก็ได้”
เย้นหว่านอธิบายอย่างจริงใจมาก ทำให้เย้นโม่หลินรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
แต่ว่ายังรู้สึกไม่เชื่อมากกว่า
แต่ว่าท่าทางของเย้นหว่าน มีทั้งอ่อนและแข็ง เกรงว่าเธอจะไม่ยอมพูดความจริง
เย้นโม่หลินถอนหายใจออกมา และพูดอย่างจริงใจ
“เสี่ยวหว่าน ถ้าเกิดว่าเจอเรื่องอะไรต้องบอกพี่นะ”
“โอเค ฉันรู้แล้ว พี่นี่จู้จี้จุกจิกจริงๆ เลย”
เย้นหว่านยกมือขึ้นและหาวนอน “โอเค ฉันง่วงแล้ว นอนเถอะ ฝันดีนะ ฟังแล้วนะ”
เย้นโม่หลินก็เลยจำเป็นต้องวางสาย
แต่ว่าสายตาของเขายังคงมองที่หน้าจอโทรศัพท์ คิ้วขมวดเข้าหากันจนเป็นปม จีน่าดูวิตกกังวล
สีหน้าของกู้จื่อเฟยก็ดูจริงจังและหนักแน่นเหมือนกัน
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็พูดว่า
“พี่เย้น คิดยังไง?”
“เสี่ยวหว่านมีเรื่องปิดบังฉันอยู่” เย้นโม่หลินพูดอย่างเฉียบขาด
เขารู้สึกอารมณ์เสีย เขาเป็นพี่ชาย เป็นญาติที่สนิทที่สุดของเธอ มีเรื่องอะไรที่บอกเขาไม่ได้กัน? พอคิดว่าเขาอยู่ที่ตระกูลหยูเพียงคนเดียวเขาก็รู้สึกปวดใจ
เขากระแทกหมัดไปที่เตียง “ถ้าเกิดว่ารู้แบบนี้จะไม่ยอมปล่อยให้เสี่ยวหว่านอยู่ที่ตระกูลหยูคนเดียวอย่างแน่นอน!”
“นายอย่าเพิ่งรีบร้อนไป มันอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ร้ายแรงขนาดนั้นก็ได้ พวกเราต้องเชื่อมั่นในตัวของโห้หลีเฉิน เขาดีกับเสี่ยวหว่านมากมาโดยตลอด แม้แต่ฉันยังรู้สึกซาบซึ้งใจ”
“ฉันต้องคิดวิธีไปสืบมาให้ได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับตระกูลหยูกันแน่”
เย้นโม่หลินเดินไปข้างเตียงและถอดเสื้อคลุมชุดนอนออก
เขามองไปที่กู้จื่อเฟยแล้วพูดว่า “เธอนอนก่อนไหม? ฉันจะออกไปจัดการอะไรนิดหน่อย”
กู้จื่อเฟยดูดีว่าถ้าเขาไม่ออกไปทำอะไรบางอย่างในตอนนี้ เขาจะเป็นห่วงเย้นหว่านจนนอนไม่หลับ ความรักที่เขามีต่อเย้นหว่านนั้น มันสำคัญเป็นอย่างมาก
เธอพยักหน้า “โอเค รีบไปรีบกลับ อย่าวิตกกังวลจนเกินไปนะ”
“อืม”
เย้นโม่หลินตอบรับและก็เดินออกไปข้างนอก
กู้จื่อเฟยมองเขาออกไป เพราะเห็นว่าประตูปิดลงเธอก็ถอนหายใจยาวออกมา
เธอมองไปที่โทรศัพท์ยังไม่มีทางเลือก รู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
เสี่ยวหว่านต้องเจอกับเรื่องอะไรกันแน่?
……
หลังจากตัดสายไปแล้ว แทบจะในทันที น้ำตาของเย้นหว่านก็ไหลลงมา
ติ๋ง ติ๋ง
น้ำตาหยดลงที่หน้าจอโทรศัพท์ของเธอ
ถ้าเกิดว่าเมื่อกี้วางสายช้ากว่านี้นิดเดียว เธอคงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาต่อหน้าเย้นโม่หลิน
เวลาที่คนเราเปราะบางและทุกข์ใจ ความห่วงใยจากญาติพี่น้อง มันมักจะอ่อนโยนที่สุดที่สัมผัสส่วนลึกที่สุดของหัวใจ
แต่ว่าเรื่องของเธอนั้น เธอไม่รู้ว่าควรจะเล่าให้เย้นโม่หลินกับกู้จื่อเฟยฟังอย่างไรดี
สถานการณ์ตอนนี้มันเละเทะเกินไปหมด
ตระกูลเย้นเจอกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก ก็ไม่ควรจะต้องมาใส่ใจกับเรื่องของเธออีก และอีกอย่าง ก็เขาอยู่ไกลมาก ต่อให้รู้ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้หรอก
เธอกับโห้หลีเฉิน……
เย้นหว่านมองดูประตูห้องที่ปิดสนิท สายตาเต็มไปด้วยความผิดหวัง
วันนี้รอเขากลับมาไม่ทันอีกแล้ว
เย้นหว่านรู้สึกหดหู่ใจ และในตอนนี้เอง ลูกน้อยในท้องของเธอก็ดิน
ความเศร้าในดวงตาของเธอหายไปในทันที เธอมองไปที่ท้องของตัวเองอย่างอ่อนโยน แล้วก็ยื่นมือไปลูบเบาๆ
“ลูกน้อยเป็นเด็กดีนะ แม่สบายดีมาก จะไม่เสียใจหรือถูกใจ โอเค พวกเราไปนอนกันเถอะ ไม่โต้รุ่งเนาะ”
ตอนนี้ 4 เดือนกว่าแล้ว บางทีลูกก็เริ่มขยับบ้างแล้ว
การมีเจ้าตัวเล็กทั้งสองคนอยู่ด้วย ในค่ำคืนที่หนาวเย็นแบบนี้ เย้นหว่านก็รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความสุข
พลังของคนเป็นแม่นั้นยิ่งใหญ่เสมอ
เพื่อลูกในท้องของเธอ เธอต้องเข้มแข็งและมองโลกในแง่ดีตลอดทางการตั้งครรภ์ทั้งสิบเดือนของเธอ
วันที่ 2 ฟ้าเพิ่งจะสว่าง เย้นหว่านก็ตื่นขึ้นมาแล้ว
เธอมองไปที่ด้านข้างของตัวเองโดยอัตโนมัติ
มันมีร่องรอยของการนอนหลับ แต่ว่ามันเย็นแล้ว ไม่รู้ว่าโห้หลีเฉินออกไปนานแค่ไหนแล้ว
ออกไปแต่เช้ากลับก็ดึก
เธอตั้งท้องอยู่ ตัวหนัก หลับลึกจนไม่รู้ว่าเขากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และก็ไม่รู้ว่าเขาออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน
ขอเป็นแบบนี้ บางทีก็ไม่เจอกันหลายวัน ไม่ได้พูดกันสักประโยคเดียว
เย้นหว่านถอนหายใจออกมา
เธอลงมาจากเตียง หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว ก็ลงไปกินอาหารเช้าด้านล่างตามปกติ
พอเดินมาถึงห้องอาหาร กลับเห็นคนคนหนึ่งอย่างประหลาดใจ