สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1096 คุณโห้คะ ช่วยให้เกียรติตัวเองหน่อยได้ไหมคะ
- Home
- สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน
- บทที่ 1096 คุณโห้คะ ช่วยให้เกียรติตัวเองหน่อยได้ไหมคะ
เมื่อพาแรบบิทกลับไปที่ห้องของเธอแล้ว โห้หลีเฉินก็นั่งรถเข็น และกำลังเลื่อนไปบนระเบียงทางเดินอย่างช้าๆ
เขาเลื่อนรถเข็นไปพลาง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นไปพลางว่า “เว่ยชี”
“คุณผู้ชาย มีคำสั่งอะไรครับ”
เว่ยชีเดินออกมาจากด้านข้าง และยืนอยู่ข้างหลังโห้หลีเฉิน จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าตามความเร็วของเขา
น้ำเสียงของโห้หลีเฉินดูหนักอึ้ง แต่กลับมีความหนักแน่นอย่างมาก
เขาพูดไปอย่างชัดเจนว่า “ให้ทีมแพทย์เข้ามา”
เว่ยชีประหลาดใจอย่างที่สุด
แม้ว่าคุณผู้ชายจะให้ความร่วมมือในการรักษาแล้ว แต่ทีมแพทย์นั้นเป็นทีมที่จัดมาโดยหยูฉู่สอง ซึ่งจะมีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งจะเข้ามาด้วย และพวกเขาก็จะเข้าไปก้าวก่ายและยุ่งเกี่ยวกับหลายอย่าง ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับการเอาตัวตรวจสอบที่นับไม่ถ้วนมาไว้ในบ้าน
โห้หลีเฉินปฏิเสธมาโดยตลอด ทำไมจู่ๆ เขาถึงปล่อยให้ทีมแพทย์เข้ามาได้ล่ะ?
“คุณผู้ชายครับ คุณผู้ชายตัดสินใจแล้วจริงๆ เหรอครับ?” เว่ยชีถามอย่างไม่แน่ใจอีกครั้ง
รถเข็นของโห้หลีเฉินหยุดลง จากนั้นเขาก็มองลงไปยังทิศทางของชั้นล่างด้วยสายตาที่หนักอึ้ง
จากนั้นไม่นาน เขาก็ค่อยๆ เอ่ยปากพูดว่า
“แรบบิทอยากเจอแม่ของเธอมาก”
เขาจะไปจากที่นี่ ดังนั้นสิ่งแรกเลยสุขภาพร่างกายของเขาจะต้องดีให้ได้เสียก่อน ก่อนที่จะมีทุนทำภารกิจ
เว่ยชีตาเป็นประกาย และเต็มไปด้วยน้ำตา
หลังจากรอมาตั้งครึ่งปี ในที่สุดก็เห็นว่าคุณผู้ชายคิดปลุกเร้าใจแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะแรบบิท แต่ที่จริงแล้ว เขาก็รู้ดีว่าในใจของโห้หลีเฉินคิดถึงเย้นหว่านและรีบร้อนอยากออกไปมากขนาดไหน
เพราะเขาอยากพบเย้นหว่านมากกว่าใครๆ
แต่ถ้าอยากเจอเย้นหว่าน และอยากไปหาเธอ หนทางข้างหน้าคงจะยากลำบากอย่างมาก
พวกเขาคงไปไม่พ้นจากตระกูลหยูหรอก เพราะนั่นมีหนทางเดียว คือโค่นล้มตระกูลหยู
ด้วยความที่โห้หลีเฉินและเขา มีสาวใช้ไม่กี่คนเท่านั้น
และด้วยสถานการณ์ที่ถูกศัตรูโอบล้อมทั้งสี่ทิศ โดยไม่มีคนช่วยเช่นนี้อีกด้วย
แต่ในอกของเว่ยชี นั้น กลับมีไฟลุกโชนที่ไม่เคยมีมาก่อนในสองปีนี้ ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น และรู้สึกฮึกเหิม
แต่การต่อต้าน ก็ยังดีกว่า การมีชีวิตอยู่ภายใต้สภาวะที่ยากลำบาก
“เพียงแต่ คนที่หยูฉู่สองส่งมานั้น จะรักษาแค่สุขภาพของคุณผู้ชายเท่านั้น แต่จะไม่ทำให้ขาทั้งสองข้างของคุณผู้ชายดีขึ้น ดังนั้นคุณผู้ชายว่าผมควรส่งคนไปหาวิธีรักษาอย่างลับๆ ไหมครับ?”
“แล้วคนที่แกส่งไป จะเข้ามาได้เหรอ?”
โห้หลีเฉินถามกลับ จนทำให้เว่ยชีพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง
หยูฉู่สองควบคุมตัวพวกเขาเหมือนกับนักโทษเก้าชั่วโคตรเลย และในทุกๆ วันพวกเขาก็ถูกห้อมล้อมด้วยสายตาที่มากมายหนาแน่น และละเอียดรอบคอบ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะลงมือกระทำการใดๆ ด้วยตนเอง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึง การจัดหาหมอที่มีชีวิตเข้ามาเลย
แม้ว่าทำการจัดการได้สำเร็จ และคนที่จะเข้ามาได้นั้น อาจเป็นคนของหยูฉู่สองก็เป็นได้ จากนั้นมันจะยิ่งทำให้การรักษาขาของโห้หลีเฉินจะยิ่งพิกลพิการขึ้นกว่าเดิม
เว่ยชีโมโห “บ้าเอ๊ย!”
“อย่ากังวลไปเลย ค่อยๆ ทำไปทีละขั้นเถอะ”
โห้หลีเฉินเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น แล้วควบคุมรถเข็น จากนั้นก็ค่อยๆ เลื่อนไปข้างหน้า
แม้ว่าจะพิการทั้งสองขา และถูกมัดมือมัดเท้าไว้ แต่ตราบใดที่หัวใจของเขายังไม่ยอมแพ้ การต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่มีวันสิ้นสุด
ตระกูลหยูวางท่าทางทะนงองอาจอยู่เหนือจุดสูงสุดของโลก แล้วมองตระกูลและกองกำลังอื่นๆ อย่างหยิ่งยโส ส่วนตระกูลยักษ์ใหญ่นั้นก็ได้ยืนอยู่ในที่สูงสุด
มันทั้งแข็งแกร่ง และคงกระพัน
และไม่มีอำนาจใดกล้ายั่วยุพวกเขา ดังนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงแค่คนคนเดียวอย่างเขาเลย
หนทางข้างหน้ามันช่างยากลำบาก
สายตาของโห้หลีเฉินยิ่งดูเยือกเย็นลง
……
สามวันต่อมา
ทีมแพทย์บำบัดรักษาก็กำลังเข้ามาในวิลล่าแห่งนี้พอดี
ซึ่งกลุ่มคนนั้นมีคนทั้งหมด 12 คนด้วยกัน ซึ่งพวกเขาเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ และมีหน้าที่หลักในการรักษาภายในและโรคต่างๆ กับกามโรคที่ยังตกค้างอยู่ในร่างกายของโห้หลีเฉิน
โดยมีจุดประสงค์บำรุงรักษาสุขภาพร่างกายของเขาให้หายดี และช่วยฟื้นฟูให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เพื่อให้เขามีชีวิตอยู่ไปอีกนาน
เพื่อไม่ให้กลับมากำเริบอีก และไม่ให้เกิดการเสียชีวิตอย่างกะทันหันอีกต่อไป
แต่ในนั้น กลับไม่มีแพทย์ด้านกระดูกเลยสักคน และไม่มีใครจะรักษาขาของเขาด้วย
วันนี้แดดดีมาก และมันก็สาดส่องผ่านทางหน้าต่าง มาสู่พื้น ทำให้ทั่วทั้งห้องอบอุ่นและสว่างโล่ง
และโห้หลีเฉินที่กำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้น มองดูกลุ่มคนในชุดคลุมยาวสีขาวเดินเข้ามาทีละคน
โดยในนั้นมีคนวัยกลางคนสามคนด้วยกัน ส่วนอีกเก้าคนนั้นอายุยังน้อย พวกเขาสวมหน้ากากไว้ ด้วยท่าทีที่ดูเคร่งขรึมอย่างมาก เหมือนกับว่ากำลังตึงเครียดอย่างมาก และสำรวมกิริยา
พวกเขาเดินเข้ามาทีละคน แล้วแนะนำตัวทีละคนเรียงกันไปตามลำดับ
โดยมีกลุ่มแพทย์ทั้งหมดมีหกกลุ่มด้วยกัน
ซึ่งจะมีแพทย์ประจำและผู้ช่วย
และคุณวุฒิก็จัดอยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุดในโลกอีกด้วย
“สวัสดีครับคุณโห้ ผมเป็นแพทย์ด้านพันธุศาสตร์ ชื่อกงหยาน และนี่คือผู้ช่วยของผม เสี่ยวเยว่”
“สวัสดีค่ะคุณโห้ ผมเป็นแพทย์ด้านจิตวิทยา…”
พวกเขาเดินเข้ามาตามลำดับ และยืนอยู่ที่ข้างเตียง พร้อมกับแนะนำตัวเรียงกันไปตามลำดับ
โห้หลีเฉินนอนอยู่บนเตียง แล้วมองดูพวกเขาอย่างว่างเปล่า
ด้วยสีหน้าที่ดูเย็นชาอย่างมาก
ไม่นาน กลุ่มแพทย์กลุ่มสุดท้ายก็เดินเข้ามา
“สวัสดีครับคุณโห้ ผมเป็นแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ผมชื่อว่าเสิ่นเคอหาน นี่คือผู้ช่วยของผมเย่ซือซือ”
สายตาของโห้หลีเฉินกวาดมองไปทั่วพวกเขาอย่างแผ่วเบา
เขาไม่ได้สนใจกับคนเหล่านี้เลย แต่คนเหล่านี้จะอยู่กับเขาที่นี่ในช่วงนี้ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นเต็มไปด้วยสายตาที่คอยจับตาดูเขา และไม่ว่าจะดีร้ายยังไง เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าพวกเขาแต่ละคนเป็นใครบ้าง
และเขาแค่กวาดตามองลักษณะของพวกเขา แต่สายตาของเขากลับหยุดอยู่ที่ตัวเย่ซือซือ ดูเหมือนว่าเขาจะถูกดึงดูดด้วยแม่เหล็ก และแค่ครู่เดียวเขาก็ละสายตาออกไปทันที
หัวใจของเขา สั่นอย่างรุนแรง
“เธอ…เธอเป็นใคร?”
โห้หลีเฉินพยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก
เมื่อเห็นว่าเธอถูกพูดถึง เย่ซือซือจึงรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย และขยับไปข้างหลังเสิ่นเคอหานโดยไม่รู้ตัว
เธอพูดอย่างเสียงเบาว่า “คุณโห้คะ ฉันชื่อเย่ซือซือ”
สายตาของโห้หลีเฉินยังคงจับจ้องไปที่ตัวเธออย่างดุเดือด จากนั้นเขาก็ยื่นมือออกไปหาเธอ
“เธอเข้ามานี่สิ”
เข้าไปเหรอคะ?
เย่ซือซืองุนงง และดูเหมือนว่าเธอจะตกใจกลัวอย่างมาก
คำขอนี้มันช่างหยาบคายจริงๆ
เธอตื่นตระหนกเล็กน้อย จากนั้นจึงดึงแขนเสื้อของเสิ่นเคอหานเพื่อขอความช่วยเหลือ
เสิ่นเคอหานก็แปลกใจมากเช่นกัน เขาจึงก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว และพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณโห้ ผมเป็นแพทย์ประจำสาขาเวชศาสตร์ฟื้นฟู และเย่ซือซือก็เป็นแค่ผู้ช่วยของผม ถ้ามีอะไร คุณสามารถสั่งกับผมได้โดยตรง แฟนของผม ค่อนข้างคนเฉื่อยชา ยิ่งเพิ่งจะมาเริ่มงานคงไม่สามารถปรับตัวได้ไวขนาดนั้นครับ”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว “แฟนของคุณงั้นเหรอ?”
รอยยิ้มที่มีความสุขปรากฏบนใบหน้าของเสิ่นเคอหาน “ครับ อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันแล้วครับ”
โห้หลีเฉินจ้องมองไปอย่างเงียบสงบ แล้วหดมือกลับ
เขาละสายตาที่ดูเย็นชานั้นออกจากตัวเย่ซือซือ
แล้วพูดว่า “ในเมื่อจะมารักษา ก็ถอนหน้ากากออกให้หมด ผมไม่ได้เป็นโรคติดต่อซะหน่อย”
แพทย์ทุกคนรู้ดีว่าพวกเขามาที่ไหน และทำการรักษากับคนแบบไหน ดังนั้นพวกเขาจึงให้ความร่วมมืออย่างดี จากนั้นจึงถอดหน้ากากออก
แต่เย่ซือซือกลับดูเหมือนจะตกใจกลัวจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่นั้น เธอจึงรู้สึกระแวงเล็กน้อย
สายตาของโห้หลีเฉินจ้องไปที่เธอราวกับหนามแหลมคม แล้วพูดอย่างเยาะเย้ยว่า
“ทำไม เย่ซือซือ ไม่กล้าถอดหน้ากากออกเหรอ? กลัวว่าตัวเองจะสวยเกินไป จนผมถูกใจ แล้วจะทำอะไรกับคุณงั้นเหรอ?”
สถานการณ์ตอนนั้น ก็เงียบสงัดขึ้นมาทันที
เพราะทุกคนต่างก็พากันมองไปที่โห้หลีเฉินอย่างทั้งตกใจทั้งตะลึงงัน ราวกับเห็นผี
นี่มันจะ จะเหลาะแหละเกินไปแล้ว ครั้งแรกที่เจอหน้ากัน แล้วพูดแบบนี้ต่อหน้าแฟนของคนอื่น มันจะ…หยาบคายเกินไปแล้วจริงๆ!
สีหน้าของเสิ่นเคอหานดูซีดและแย่ทันที
จู่ๆ ก็รู้สึกผิดที่พามาแฟนมาที่นี่ด้วย
นึกไม่ถึงเลยว่าคุณโห้จะเป็นคนแบบนี้
เว่ยชีที่ยืนอยู่ข้างประตูเกือบจะก้มหน้าลงกับพื้นในขณะนั้น จากนั้นก็มองไปที่โห้หลีเฉินด้วยความตกใจและงุนงง
เขากลัวว่าหูของเขาจะอื้อไป จนทำให้ได้ยินผิดไป
นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้ยินคุณผู้ชายพูดคำเหล่านี้จากปากของคุณผู้ชายเองล่ะ
นั่นมัน เป็นแค่สาวน้อยที่อ่อนแอของคนอื่นนะ?
ทั้งยังเป็นแฟนของคนอื่นอีกด้วย?
หรือว่า…
เว่ยชีเดินไปข้างๆ โห้หลีเฉินอย่างตื่นตระหนก แล้วจ้องไปที่คอและกกหูของเขาอย่างใกล้ชิด แต่ก็ไม่มีแผลอะไร และคนคนนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ให้รังแกได้ง่ายๆ ด้วย
ท่าทีลังเลที่จะถอดหน้ากากของเย่ซือซือนั้นกลับกลายเป็นว่ากุมหน้ากากไว้แน่นกว่าเดิมเสียอีก
สายตาของเธอนั้นฉายวาบด้วยความหวาดกลัวและสับสนวุ่นวาย จากนั้นก็มองไปที่โห้หลีเฉิน อย่างทั้งเคารพยำเกรง ทั้งหวาดกลัวและรังเกียจ
“คุณโห้คะ ช่วยให้เกียรติตัวเองหน่อยค่ะ”