สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1135 ผู้ชายอิจฉาขึ้นมานี่หน่อ
ผ่านไปสักพักป่ายฉีถึงเดินเข้ามาอย่างเฉื่อยช้า
เขาเข้ามาก็เจอเย้นหว่านเป็นคนแรกเลย มองหน้าของเธออึ้งไปสักพัก เหมือนจะไม่ค่อยชิน และไม่ค่อยเต็มใจเลย
จากนั้น สายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่บนปากของเย้นหว่าน
ทั้งแดงและบวม เห็นได้ชัดเลยว่าเมื่อกี้ถูกคนจูบ
อารมณ์ของป่ายฉีก็ไม่ดีขึ้นมาทันที เหมือนกับว่าสัตว์น้อยที่ขังไว้ในใจ ได้คำรามอย่างโมโห
เย้นหว่านถูกเขามองจนขนลุกไปหมด “ป่ายฉี นายเป็นอะไร?”
ป่ายฉีเหมือนกับพึ่งตื่นจากฝัน รีบเบี่ยงสายตาออกจากเย้นหว่าน แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร เรียกฉันทำไม?”
“เริ่มทำการรักษาขาของโห้หลีเฉินตอนนี้เลย รักษาเร็วหน่อย เขาก็จะได้เดินเร็วหน่อย”
เย้นหว่านรีบพูดอย่างตื่นเต้น พอนึกได้ว่าโห้หลีเฉินนั่งอยู่บนรถเข็นมาเป็นเวลา 1 ปีกว่าแล้ว เธอก็รู้สึกอึดอัดและปวดใจมาก
ถ้าสามารพรักษาให้หายเร็วๆ เขาก็จะได้เดินได้เร็วขึ้น จะได้ไม่ต้องคอยนั่งอยู่บนรถเข็นแบบนี้อีกแล้ว
ป่ายฉีพยักหน้าแล้วหันหลังมองไปทางโห้หลีเฉิน
มองผู้ชายที่นอนอยู่บนเตียง ได้สบตาเข้ากับสายตาเยือกเย็นของเขา ความโกรธในใจของป่ายฉีที่ยังไม่ได้กดลงไป ก็ได้พุ่งขึ้นมาอีกครั้ง ไม่ว่าจะมองโห้หลีเฉินยังไงก็ไม่พอใจ ไม่ชอบใจเลย
อยากจะฉีกใบหน้าที่หล่อเหล่าของเขานั้นให้แหลกจริงๆ
เขาหายใจเข้าลึกๆ หายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง สุดท้ายตัดสินใจ “ฉันไม่รักษาแล้ว”
“อะไรน่ะ?”
เย้นหว่านมองเขาอย่างแปลกใจ สงสัยว่าหูตัวเองฟังผิดไป
เธอมองหน้าป่ายฉีที่หน้ามืด “นายเป็นอะไร ใครไปทำอะไรให้นายอีก?”
“ไม่มีใคร” ป่ายฉีส่ายหัวอย่างหงุดหงิด “ค่อยรักษาเขาหลังจากแก้การสะกดจิต ถ้าเริ่มตอนนี้ ฉันไม่รับรองว่าฉันจะทนไม่วางยาใส่เขาได้”
เย้นหว่าน: “……..” ผลกระทบต่อการสะกดจิตของเขารุนแรงขนาดนี้เลยหรอ
โห้หลีเฉินจ้องป่ายฉีไว้ ขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นชาเหมือนกับถามว่า
“นายยังชอบเย้นหว่าน?”
ป่ายฉีจ้องโห้หลีเฉินกลับอย่างหงุดหงิด เถียงกลับอย่างมั่งเลว่า “ที่กูชอบคือเย่ซือซือ”
พูดเสร็จ เขาก็งงไปทันที ในใจกำลังด่าอยู่นับไม่ถ้วน
เขาชอบเย่ซือซือนี่มันบ้าอะไรกัน
นี่มันเป็นผลการสะกดจิตที่ทำให้เขาประสาทไม่ปกติแล้ว
โห้หลีเฉินยิ้มอย่างเย็นยะเยือก เสนอขึ้นมาว่า : “ไม่อย่างนั้น ฉันพาเย่ซือซือมา ให้นายได้อยู่กับเธอ”
“ไสหัวไปเลย” ป่ายฉีคำรามอย่างโกรธ “ถึงแม้ว่ากูจะไม่ถูกสะกดจิต ก็เกลียดนาย”
พูดเสร็จ เขาก็ได้ก้าวเท้าใหญ่ๆ เดินจากไป
ไม่อยากอยู่ที่นี่แม้แต่วินาทีเดียว
เย้นหว่านยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ มองแผ่นหลังของป่ายฉีอย่างทำอะไรไม่ได้ รู้สึกสงสารเล็กน้อย
การสะกดจิตครั้งนี้ ทำร้ายเขามากเกินไปแล้ว
หวังว่าพรุ่งนี้น้าเมย์จะกลับมาได้ตามเวลา จะได้รีบช่วยป่ายฉี
เย้นหว่านกำลังคิดอยู่ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่เย็นยะเยือกมองอยู่บนตัวของเธอ ทำให้เธอรู้สึกเย็นไปหมด
เธอรีบหันกลับไปมอง ก็ประสบกับตาที่เย็นชาของโห้หลีเฉิน
เขาพูดออกมาทีละคำว่า “เธอก็เสียดายที่เขาไป?”
เย้นหว่านได้กลิ่นความหึงฟุ้งไปหมด
เธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะ หัวเราะไปด้วยส่ายหัวไปด้วย “เป็นไปได้ยังไง ฉันไม่ใช้แต่งงานกับนายแล้วหรอ”
คำพูดนี้ ทำให้สีหน้าของโห้หลีเฉินดีขึ้นมาเล็กน้อย
เขาได้ดึงเธอเข้าอ้อมกอดของตัวเอง กดไว้บนเตียง น้ำเสียงที่เหมือนกับคำสั่ง ไม่ให้ปฏิเสธ
“ก่อนที่จะแก้การสะกดจิต ห้ามเธออยู่กับป่ายฉีตามลำพังอีก ห้ามสบตากันด้วย ถ้าไม่คุยกับเขาได้ก็ไม่ต้องคุยกับเขา”
เย้นหว่านฟังข้อห้าม 3 ข้อนี้ไว้ รู้สึกตลกและทำอะไรไม่ถูก
การหึงของโห้หลีเฉินนี่ไร้เหตุผลจริงๆ
แต่ว่า ใครให้เธอรักเขาล่ะ พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ได้เลย ฉันฟังนายทั้งหมด”
สภาพตอนนี้ของป่ายฉีเลวร้ายและหงุดหงิดมาก เย้นหว่านเองก็รู้ ไม่ควรไปยุ่งกับป่ายฉี ดีที่สุดคือไม่ต้องไปเดินให้เขาเห็นหน้า ถึงจะไม่กระตุ้นให้เขาระเบิด
เธอไม่อยากสร้างปัญหาอะไรที่ไม่จำเป็นก่อนที่จะแก้สะกดจิต
ต่อไปแก้สะกดจิตแล้ว ก็จะเสียใจทีหลัง
“เอาล่ะ พวกเรามานอนด้วยกันเถอะ”
เย้นหว่านลูปคิ้วที่ขมวดของโห้หลีเฉิน เพื่อคลายให้เขา เหมือนกับกระต่ายน้อยที่พิงอยู่ในอกของเขา
กอดเธอไว้ ระยะที่ใกล้กัน ทำให้อารมณ์ของโห้หลีเฉิน ดีขึ้นมามาก
นานแล้วที่เขาไม่ได้กอดเย้นหว่านนอนดีๆ
ถึงจะไม่รักษาขาให้หายดีเร็วๆ ก็ไม่เป็นอะไร ขอแค่ มีเธออยู่เคียงข้างกันก็พอ
ช่วงเวลาเงียบๆ ทุกอย่างก็สมบูรณ์แบบแล้ว
โห้หลีเฉินจูบที่หน้าผากของเธอ แล้วหลับตาลงอย่างมีความสุข “ฝันดีนะ ที่รัก”
เย้นหว่านเอาหัวมุดเข้าไปในอ้อมกอดของเขา มีรอยยิ้มหวานๆ บนหน้าเล็กๆ ของเธอ
เธอหลับตาลง มีความสุขไปกับช่วงเวลาที่ถูกเขากอดนอนไว้
และแล้ว ในเวลานี้เอง
ประตูก็ถูกคนผลัก “ปั้ง” ดังขึ้นมาทีหนึ่งจากด้านนอก
ป่ายฉีอุ้มแรบบิทเดินมาถึงหน้าประตู ปลอบเด็กว่า : “คืนนี้เธอก็นอนกับพ่อแม่ของเธอละกัน”
เย้นหว่านและโห้หลีเฉิน: “?? ”
เย้นหว่านรีบลุกขึ้นนั่ง ก็เห็นแรบบิทที่ใส่ชุดนอนกระต่ายที่น่ารักไว้ จ้องมองเธอด้วยตาที่ทั้งโตและดำเหมือนดั่งไข่มุก
ผมของเธอยังยุ่งไปหมด เหมือนกับว่าถูกคนขุดออกมาจากบนเตียงเลย
เย้นหว่าน : “……” ป่ายฉีตั้งใจใช่ไหม
สายตาที่เย็นชาของโห้หลีเฉินตกอยู่บนตัวของป่ายฉี เหมือนกับว่าอยากจะทำลายเขาให้หายไปจากโลกนี้เลย
ป่ายฉีไม่กลัว “แรบบิทคิดถึงพวกเธอแล้ว”
เพราะแรบบิทคิดถึงพวกเขาแล้ว หรือว่าเขาไม่อยากให้เธอและโห้หลีเฉินได้นอนอย่างมีความสุขกันแน่?
ผู้ชายอิจฉาขึ้นมานี่น่ากลัวจริงๆ
ถึงจะไม่เป็นความจริง
เย้นหว่านก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ว่าสำหรับแรบบิท กลับเต็มไปด้วยความกระตือรือร้นและคาดหวัง
เธอยิ้มแล้วมองแรบบิทไว้ ยื่นมือไปทางเธอ
“แรบบิท จะนอนกับแด๊ดดี้และหม่ามี๊ไหม?”
ตาโตๆ ของแรบบิทจ้องเย้นหว่านไว้ เหมือนกับว่าตานั้นจะติดอยู่บนหน้าของเย้นหว่านแล้ว
เธอจ้องมองเป็นเวลานาน จากนั้นถึงพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า
“คุณคือหม่ามี๊?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนรถ เย้นหว่านและแรบบิทได้เชื่อมกันแล้ว แต่ว่าเด็กน้อยเอาแต่ร้องไห้ ไม่พูดอะไรเลย และไม่เข้าใกล้เธอด้วย
ตอนนี้ กลับถามเธอเอง
เย้นหว่านจับหน้าของตัวเองแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน : “หม่ามี๊เอง แรบบิทมานี่”
“หม่ามี๊……”
แรบบิทพูดพึมพำเบาๆ มองเย้นหว่านไว้ ขอบตายิ่งอยู่ยิ่งแดง
หยดน้ำตาที่ใหญ่เท่ากับถั่วได้ตกลงไปเป็นเม็ดๆ
“หม่ามี๊ หม่ามี๊…….”
เธอร้องแต่ละครั้ง เสียงดังกว่าเดิม เหมือนกับเด็กที่หายไปนาน ในที่สุดก็ได้เจอกับแม่ของตัวเองแล้ว
เสียงสะอื้นและคิดถึง ก็ทำให้สะเทือนใจจริงๆ
เย้นหว่านอยากจะร้องไห้ รีบลงมาจากเตียง แล้วอุ้มแรบบิทไป
เด็กน้อยพึ่งอยู่ในอ้อมกอดของเธอ มือน้อยๆ ทั้งสองก็ได้จับหน้าของเย้นหว่านไว้ จับไปทั่วหน้า
เธอทั้งร้องไห้และหัวเราะ “หม่ามี๊ เป็นหม่ามี๊จริงๆ ด้วย……หนูเคยเห็นรูปของหม่าหมี๋ คุณเป็นหม่ามี๊ของหนูจริงๆ ด้วย……”