สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1142 เรื่องจิ๊บจ๊อย
หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์
การรักษาของโห้หลีเฉินก็มาถึงการเปลี่ยนยา
ยาชนิดนี้ป่ายฉีตั้งใจผสมขึ้นมาเอง ทำให้ขาของโห้หลีเฉินหายเร็วขึ้น แล้วลุกขึ้นมาเดินได้ แต่ขั้นตอนค่อนข้างลำบาก หลังจากที่กินยาแล้ว ทุกวันจะต้องนวดสองชั่วโมงอย่างตรงเวลา
ภารกิจนี้ ก็ต้องเป็นของเย้นหว่านอยู่แล้ว
คนปกตินวดติดต่อการหนึ่งชั่วโมง นิ้วก็ต้องเมื่อยเป็นธรรมดา ตอนเริ่มโห้หลีเฉินก็ไม่อยากให้เย้นหว่านนวดนานขนาดนั้น เขาไม่อยากให้เธอต้องมาเหนื่อย
แต่ในหนึ่งปีนี้เย้นหว่านเตรียมตัวเอาไว้หมดแล้ว ขนาดแรงของนิ้วหรือข้อมือก็ฝึกมาหมดแล้ว
“ฉันคุยกับป่ายฉีเอาไว้แล้ว เวลานวดให้ฉันจัดการเอง ฉันฝึกความอดทนและเทคนิคการนวดตลอดเลยนะ ตอนนี้นวดหนึ่งชั่วโมง สำหรับฉันแล้วมันเป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยมากเลย”
เย้นหว่านนวดอย่างสบายๆ ดูจะชำนาญมาก
โห้หลีเฉินจ้องมองท่าทางของเธอ แววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดูแล้วปวดใจ
ความสบายของเธอในตอนนี้ แสดงว่าก่อนหน้านั้นเธอต้องแบกรับความลำบากมามาก
โห้หลีเฉินยื่นมือไปลูบผมของเย้นหว่าน เม้มปากไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีคำพูดนับล้านที่พร้อมจะพรั่งพรูออกมา
เย้นหว่านรู้ว่าเขาเจ็บปวดใจ ก็เลยพูดขำๆไปว่า:
“คุณโห้คะ ที่ฉันนวดตอนนี้เนี่ย ไม่ได้ฟรีนะคะ”
โห้หลีเฉินมองเธอด้วยแววตาที่เอ็นดู แล้วรอเธอพูดต่อไป
เย้นหว่านกรอกตากลมๆขึ้นลง เหมือนกับจิ้งจอกน้อย “ฉันก็ไม่โลภมากหรอก ก็จ่ายด้วยบัตรเครดิตของนายก็ได้แล้ว ยังมีแรงอีกนิดหน่อย ต่อไปงานบ้าน ทำอาหาร ซักผ้า ส่งลูกๆไปโรงเรียน สอนการบ้านพวกเขา ก็ให้เป็นหน้าที่นายแล้วกัน!”
โห้หลีเฉินขมวดคิ้ว “นี่ฟังแล้ว เหมือนจะไม่ใช่ข้อแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรมเลย เหมือนเป็นการปล้นมากกว่า”
เย้นหว่านบีบขาเขาอย่างเป็นจังหวะ แล้วเพิ่มแรงลงไปกะทันหัน
เธอทำหน้าบีบบังคับเหมือนโจร “ปล้นแล้วยังไง นายจะยอมไม่ยอมล่ะ?!”
โห้หลีเฉินถอนหายใจ “ฉันไม่ยอมได้ไหม?”
“ไม่ได้”
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปพอดี เย้นหว่านผละมือออกจากขาของเขา แล้วบีบคางของโห้หลีเฉินไว้
เธอหัวเราะแล้วพูดว่า: “ตอนนี้นายอยู่ในมือฉันแล้ว ไม่ยอมก็ต้องยอม”
“ก็ได้” โห้หลีเฉินทำหน้าเหนื่อยใจที่ถูกบังคับ “ในเมื่อฉันตกลงเงื่อนไขที่ไม่ยุติธรรมนี้แล้ว เธอก็ควรให้รางวัลปลอบใจฉันหน่อยไหม?”
รางวัลปลอบใจ?
หรือว่าเหลือเงินเก็บส่วนตัวให้เขาบ้างเหรอ?
เย้นหว่านหัวเราะแล้วมองโห้หลีเฉิน “ลองพูดมาสิ ถ้ามีเหตุผล ฉันก็จะอนุญาต” เช่นให้เงินเดือนละสองร้อยอะไรแบบนี้
โห้หลีเฉินมองดูดวงตากลมโตแป๋วแหววนั้นของเธอ ก็อดไม่ได้หัวเราะเสียงเบา “อืม มีเหตุผล”
ว่าแล้ว ทันใดนั้นโห้หลีเฉินก็โน้มตัวไปข้างหน้า ประทับริมฝีปากลงไปบนริมฝีปากนุ่มของเย้นหว่าน
ทั้งนุ่ม ทั้งอุ่น เย้นหว่านหน้าแดงแปร๊ดกับจูบที่เธอตั้งรับแทบไม่ทัน
คำขอของเขาคือแอบแต๊ะอั๋งเธองั้นเหรอ!
“ปาปาคะ หม่ามี๊คะ ระวังหน่อยสิ หนูยังอยู่ตรงนี้อยู่เลยนะ?”
เสียงหน่อมแน้มดังขึ้นข้างๆทั้งสองคน
มือเล็กๆที่กำลังนวดให้โห้หลีเฉินอยู่ก็รีบชักกลับมา แล้วก็รีบปิดตาตัวเองไว้ แต่นิ้วมือกลับแง้มเปิดดูเล็กน้อย เผยดวงตากลมดำสองข้างนั้น กำลังมองพ่อแม่ตัวเองด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
สมองเย้นหว่านระเบิดดังวิ้ง แก้มเธอแดงแปร๊ดไปถึงใบหู
เธอลืมไปเลยว่าแรบบิทก็อยู่นวดขาโห้หลีเฉินกับเธอตรงนี้ด้วย!
โห้หลีเฉินจูบเธอต่อหน้าเด็กเลยเหรอ
ขายหน้าไม่ไหวแล้ว
เย้นหว่านผลักโห้หลีเฉินออกด้วยความเขิน แล้วรีบปิดตาของแรบบิทไว้แน่น
“เมื่อกี้ไม่เห็นอะไรใช่ไหม เห็นแล้วก็รีบลืมไปเลย”
แรบบิทซบเข้าที่อ้อมกอดของเย้นหว่าน มือเล็กนั้นก็ดึงมือของเธอออก
แววตาเปล่งประกายของเธอนั้นมองเย้นหว่านด้วยความคาดหวัง
“แม่คะ ต่อไปหนูจะไปเรียนหนังสือกับพี่ชายค่ะ?”
เธอไม่ค่อยสนใจเรื่องต่อไปใครจะเป็นคนทำอาหารหรือทำงานบ้านสักเท่าไหร่ แต่สนใจแค่เรื่องเรียนเท่านั้น
เย้นหว่านยิ้มแล้วพยักหน้า “แน่นอนสิ ต่อไปลูกก็จะได้ไปเรียนกับพี่ชายนะ”
“ดีจังเลย หนูชอบอยู่กับพี่ชาย” แรบบิทปรบมืออย่างดีใจ “แม่คะ หนูกลับไปแล้วจะได้ไปเรียนกับพี่ชายเลยไหมคะ? หนูอยากเรียนอนุบาลกับพี่ชายค่ะ”
อายุขวบกว่าจะส่งไปอนุบาลเลย ก็คงเร็วเกินไป
เย้นหว่านถามเธอว่า “ลูกอยากไปเรียนตอนนี้เลยเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ไปเรียนพร้อมพี่ชาย”
แรบบิทพยักหน้าอย่างดีใจ ใบหน้าและแววตาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“แม่คะ พวกเราจะไปเมื่อไหร่เหรอคะ? นี่ก็รอมาเจ็ดวันแล้ว”
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉิน อาการป่วยของเขายังต้องใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์ แต่สามารถนวดเขาที่บนเครื่องบินได้ สิ่งเดียวที่ต้องรอเลยคือ รอให้ป่ายฉีคลายตัวออกจากการสะกดจิตก่อน
“น้าเมย์บอกว่า ใช้เวลาประมาณสามสี่วันก็ได้แล้ว อีกสามถึงสี่วัน พวกเราก็จะได้กลับบ้านกันแล้ว พี่ชายกำลังรอหนูอยู่เลยนะ”
ว่าแล้ว เย้นหว่านก็รู้สึกอ่อนไหวและคาดหวังขึ้นมาอย่างอดใจไม่ไหว
หมอนั่นแม้จะเย็นชาสันโดษ แต่เธอก็ยังคิดถึงเขามากเลย
“ดีจังเลย เดี๋ยวสามสี่วันก็จะใกล้ถึงแล้ว เย้ หนูจะได้เจอพี่ชายแล้ว”
แรบบิทดีใจอย่างมาก โบกไม้โบกมือในอ้อมกอดของเย้นหว่าน
ค่ำคืนนี้
แองเจล่าเดินเข้าห้องน้าเมย์ไปด้วยความโมโห
กลางดึก น้าเมย์ยังไม่นอน และกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา มองแองเจล่าแล้วยิ้มอ่อน
เธอมองดูแองเจล่าที่กำลังโมโหอยู่ ก็ไม่แปลกใจเลย เหมือนคาดการณ์เอาไว้แล้ว
เธอแสยะยิ้มด้วยริมฝีปากแดง แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า: “ดื่มชาหน่อยไหม? จะได้อารมณ์ดีขึ้น”
“รู้ว่าฉันโกรธด้วยเหรอ?”
แองเจล่าเดินเข้าไปอย่างโมโห ยืนค้ำหัวน้าเมย์แล้วมองค้อนอย่างแรง “ฉันให้เธอพยายามยื้อเวลาการรักษาของป่ายฉีออกไป ทำไมถึงไปบอกเย้นหว่านว่า พวกเขาจะได้ออกไปในสามวันนี้ล่ะ? ฉันให้เธอยื้อเวลาไว้สิบวันถึงครึ่งเดือน ไม่ใช่สามสี่วัน!”
“แองเจล่า ฉันตกลงคำขอของเธอ ให้ยื้อเวลาอาการป่วยของป่ายฉีไว้ แต่เพื่อให้เธอเห็นชัดๆว่า แม้หลายวันมานี้เธอจะอยู่กับโห้หลีเฉินสองต่อสอง ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาบ่อยๆ แต่สายตาเขาไม่เคยมองเธอเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะสามวัน หรือสามสิบวัน เธอก็ไม่มีทางทำให้โห้หลีเฉินหวั่นไหวได้หรอก เธอเข้าใจไหม?”
“นั่นมันเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวกับเธอ ฉันสั่งให้เธอยื้อเขาไว้ เธอก็ยื้อไว้ก็พอแล้ว ไม่ใช่ให้เธอตัดสินใจปล่อยให้พวกเขาไปเอง” แองเจล่าด่าด้วยความโมโห
น้าเมย์ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “ฉันบอกแล้วไง การสะกดจิตของป่ายฉีจะคลายออกเองในสามวันนี้ จากนั้นพวกเขาก็กลับได้”
ทุกอย่างไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว
แองเจล่าโมโหกับคำพูดของน้าเมย์จนต้องกระทืบเท้า อยากจะตบหน้าเธอไปสักฉาดจริงๆ
แต่เพิ่งขยับมือนั้น ก็ต้องข่มอารมณ์เอาไว้ให้ถึงที่สุด
เธอกัดฟันพูดว่า: “ได้ เธอจะปล่อยพวกเขาไป ก็ปล่อยไปเลย เรื่องนี้ฉันไม่ต่อรองกับเธอแล้ว แต่โห้หลีเฉินฉันจะต้องได้เขามาให้ได้ เธอเอาน้ำยาสะกดจิตมาให้ฉัน”
น้าเมย์ขมวดคิ้วมองด้วยความระแวง
“เธอจะเอาน้ำยาสะกดจิตไปทำไม? ของสิ่งนี้เป็นของต้องห้าม ทำร้ายร่างกายและสติมาก ถ้าไม่ใช่เพราะจัดการศัตรู จะเอาออกมาใช้ไม่ได้เด็ดขาด เธออยากได้คิดเลยนะ”