สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1161 ในที่สุดก็ได้เจอพี่ชายแล้ว
ความเร่าร้อนที่อยู่รอบตัวเย้นโม่หลินได้หายไปกว่าครึ่งในชั่วพริบตา
เขารีบหยิบมือถือออกมาอย่างรวดเร็ว แล้วโทรหาป่ายฉี
เนื่องจากต้องการจะระวังหยูฉู่สอง พวกเขาจึงไม่ค่อยติดต่อกันด้วยมือถือ เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดักฟัง แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันค่อนข้างคับขัน จึงไม่มีเวลามาสนใจอะไรพวกนั้นแล้ว
พอโทรหาป่ายฉี เขาก็รับสายแทบจะทันที “พี่ใหญ่” ป่ายฉีเป็นฝ่ายพูดก่อน “เสี่ยวหว่านกลับถึงบ้านรึยังครับ?”
เย้นโม่หลินก็เข้าใจเรื่องราวขึ้นมาทันที ว่าป่ายฉีนั้นก็เป็นห่วงเย้นหว่านเหมือนกัน
แล้วมันก็ผิดปกติแล้วจริงๆ
เขาถามด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “เสี่ยวหว่านเพิ่งถึง นี่มันเกิดอะไรกับพวกแกกันแน่?”
“ถึงบ้านก็ดีแล้วครับ” ป่ายฉีพึมพำออกมาเอาๆ โดยไม่ได้ตอบเย้นโม่หลินไปทันที แต่กลับหันไปพูดกับคนที่อยู่ข้างๆ ว่า “เสี่ยวหว่านได้กลับไปถึงบ้านอย่างปลอดภัย ไม่เป็นอะไรแล้ว”
พอเย้นโม่หลินได้ยินเสียงพูดของเขา จึงได้ซักถามไปว่า “นี่แกพูดกับใคร? โห้หลีเฉินใช่มั้ย?”
“ครับ เรากำลังนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับไปอยู่ อย่างน้อยก็ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็น่าจะถึงแล้ว”
ป่ายฉีรู้ว่าเย้นโม่หลินกำลังสงสัย จึงได้อธิบายไปว่า “เกิดเรื่องเข้าใจผิดขึ้นระหว่างเสี่ยวหว่านกับโห้หลีเฉิน เสี่ยวหว่านที่เข้าใจผิด จึงโมโหแล้วกลับบ้านไป ผมยืนยันได้ว่านี่คือเรื่องที่เข้าใจผิด แค่อธิบายก็น่าจะโอเคแล้วครับ”
เข้าใจผิดอย่างนั้นเหรอ?
มันง่ายขนาดนั้นเลย?
“เข้าใจผิดเรื่องอะไรกัน?” เย้นโม่หลินถามต่อ
เย้นฉีลังเลไปแป๊บหนึ่ง ไม่ได้พูดไปตามตรง “พี่ใหญ่ พี่กลายเป็นคนสอดรู้สอดเห็นขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย สนใจเรื่องของครอบครัวคนอื่นถึงขนาดนั้นเลย โบราณว่าไว้ ปัญหาระหว่างคู่รัก ทะเลาะกันที่หัวเตียงมาถึงปลายเตียงก็ดีกันแล้ว โห้หลีเฉินแค่ไปปลอบเสี่ยวหว่านนิดหน่อยก็พอ พี่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ก็ได้”
เย้นโม่หลิน “……” พูดอย่างกับเขาเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นไปซะได้
เขาขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงแข็งไปว่า “กลับมาถึงก็อธิบายให้ฉันฟังด้วย เสี่ยวหว่านเป็นน้องสาวฉัน ไม่ว่าเป็นเรื่องอะไร ก็ห้ามใครมารังแกเด็ดขาด!”
นี่มันคือการห่วงน้องสาวอย่างไร้หลักการเลยนะเนี่ย!
ป่ายฉีไม่รู้จะพูดยังไงกับความหัวรั้นของเขาแล้ว ได้แต่ตอบส่งๆ ไปสองคำ
แล้วพูดต่อว่า “เสี่ยวหว่านยังเข้าใจผิดอยู่เลย ก่อนที่เราจะกลับไปถึง พี่ต้องดูแลเธอให้ดี อย่าปล่อยให้เธอหนีไปไหนอีกนะครับ จริงด้วย เรื่องที่โห้หลีเฉินมาด้วยก็อย่าเพิ่งบอกให้เธอรู้ เพื่อเลี่ยงที่เธอจะหลบหน้าไม่ยอมออกมาเจอใคร”
เย้นโม่หลิน “ถ้าเสี่ยวหว่านไม่อยากเจอ ก็ไม่ต้องเจอ”
ป่ายฉี “……”
“ช่วยเอาโทรศัพท์ให้กู้จื่อเฟยหน่อยได้มั้ย? ฉันไม่อยากคุยกับแกแล้ว”
__
เย้นหว่านพยายามทำให้สมองของตัวเองไม่ได้คิดเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวกับโห้หลีเฉิน แล้วอุ้มแรบบิทไปหาโห้หยูเซิง
เธอดีใจอย่างเงียบๆ เป็นห้องที่อยู่ด้านในสุด
เขาใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่แต่ในห้อง ไม่ยอมออกไปข้างนอก
หลังจากที่เขาสามารถเดินได้ด้วยตนเอง ก็แทบจะไม่ยอมเดินออกมาง่ายๆ เลย เย้นหว่านอยากพาเขาออกไปเดินเล่นข้างนอกอยู่เป็นประจำ แต่เขาก็ปฏิเสธไปด้วยความเย็นชา
ถึงแม้อายุจะแค่ขวบกว่า แต่นิสัยกลับเอาแต่ใจ และยากที่จะเข้าถึงได้
เย้นหว่านเดินมาถึงที่หน้าประตู ความรู้สึกเมื่อยล้าก็เกินขึ้นในใจ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ค่อยมีเวลาให้โห้หยูเซิงอยู่แล้ว รอบนี้ก็จากไปซะนาน ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้จะยังจำเธอได้อยู่รึเปล่านะ
สงสัยคงลืมไปแล้วว่ายังมีแม่คนนี้อยู่
เย้นหว่านกลับอารมณ์ความรู้สึกลงไป จูงมือของแรบบิท แล้วค่อยๆ เปิดประตูออก
นี่คือห้องที่ตกแต่งผสมหลากหลายสไตล์เข้าด้วยกัน
ที่ห้องนั่งเล่น เป็นห้องที่คุมโทนด้วยการตกแต่งและเฟอร์นิเจอร์สีดำ เป็นห้องที่เป็นระเบียบและสะอาดสะอ้าน ดูเรียบๆ ไม่เหมือนห้องของเด็กอายุขวบกว่าเลยสักนิด
แต่โห้หยูเซิงก็ชอบแบบนี้
เขาเป็นคนนิ่งๆ แต่ก็แฝงด้วยความสง่างาม และยังดูเป็นเด็กเก็บกดนิดหน่อย
ทุกครั้งที่เย้นหว่านเข้ามาในห้องนี้ มันก็ทำให้สภาพจิตใจแย่ลงไปทุกที ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดและรู้สึกผิด
โห้หยูเซิงไม่ได้อยู่ในห้องนั่งเล่น
ในเวลาแบบนี้ เขาน่าจะอยู่ในห้องหนังสือ
เย้นหว่านเดินไปทางห้องหนังสือ ค่อยๆ เปิดประตูออก และแล้วก็ได้เจอเขา
ตอนนี้ได้มีตัวต่อมากมายวางอยู่ที่พื้น โห้หยูเซิงกำลังนั่งอยู่ตรงพื้น ตรงหน้าก็มีตึกที่ถูกสร้างขึ้นจากตัวต่อขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ส่วนมือเล็กๆ ของโห้หยูเซิงก็กำลังหยิบตัวต่อชิ้นหนึ่งประกอบขึ้นไป
พอได้ยินเสียงเปิดประตู การกระทำของเขาก็หยุดชะงัก เงยหน้าแล้วมองไปที่ประตู
พอเห็นว่าเป็นเย้นหว่าน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แต่ชั่วพริบตา มันก็กลับไปนิ่งเฉยเหมือนอย่างเคยอีกครั้ง
ใบหน้าเล็กๆ ที่หล่อเหลาเหมือนรูปแกะสลักของเขา ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ออกมาเลย ดูจริงจังเหมือนกับตาแก่คนหนึ่ง
และยังเย็นชาเหมือนรูปแกะสลักน้ำแข็งที่ไม่มีความรู้สึกเลย
แค่เวลาวิเดียว เขาก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง มือที่ถือตัวต่อก็ได้ทำงานต่อไป
ทำเหมือนการที่เย้นหว่านกลับมานั้นไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาเลย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลยสักนิด
ยิ่งไม่มีทางที่จะปริปากเรียกเธอว่า แม่อย่างแน่นอน
เย้นหว่านนั้นเคยชินกับความเย็นชาของลูกชายไปนานแล้ว
เธอกำลังจะจูงมือของแรบบิทเข้าไป แต่ไม่นึกเลยว่าแรบบิทจะแกะมือเธอออก แล้ววิ่งเข้าไปด้วยความดีใจ
เท้าเล็กๆ ของเธอเหยียบลงบนตัวต่อที่หล่นอยู่บนพื้น นั่งลงตรงหน้าโห้หยูเซิง เบิกตาโตๆ แล้วจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ตื่นเต้น
“พี่เป็นพี่ชายของหนูเหรอคะ? พี่มีหน้าตาที่เหมือนกับหนูมาก”
น้ำเสียงที่เป็นกันเองของเธอทำให้โห้หยูเซิงลังเลไปแวบหนึ่ง เขามองมาที่แรบบิททีหนึ่ง จากนั้นก็หันไปสนใจตัวต่อต่อ
เป็นสีหน้าที่เย็นชาอย่างถึงที่สุด
ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรเขาก็ไม่สนใจ
กับความเย็นชาที่โห้หยูเซิงแสดงออกมานั้นกลับไม่ได้บั่นทอนกำลังใจของแรบบิทเลยสักนิด แต่มันกลับทำให้เธอยิ่งรู้สึกสนใจในตัวเขามากขึ้นไปอีก
“พี่คะ นี่พี่กำลังเล่นอะไรอยู่เหรอคะ? ทำไมถึงประกอบได้สูงขนาดนี้?”
หูของโห้หยูเซิงไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ไม่มีการตอบสนองใดๆ และยังคงประกอบต่อไป
แรบบิทถามต่อ “อันนี้ประกอบเสร็จแล้วมันทำอะไรได้เหรอคะ? นี่น่าจะเป็นบ้านใช่มั้ยคะ?”
“ให้หนูเล่นด้วยได้มั้ยคะ?”
พอเห็นโห้หยูเซิงยังไม่สนใจเธอ ทำหน้าเหมือนคนที่เก็บกดมานานแสนนาน แรบบิทจึงตัดสินใจจัดการด้วยตนเอง หยิบตัวต่อชิ้นเล็กขึ้นมาชิ้นหนึ่ง เขย่งขาแล้ววางมันขึ้นไปบนจุดสูงสุด
โห้หยูเซิงที่กำลังประกอบชิ้นส่วนข้างๆ อยู่ก็ชะงักขึ้นมาทันที
เขาจ้องมองแรบบิทด้วยความช็อก อยากที่จะพูดอะไร แต่เมื่อคำพูดมันมาถึงที่ปาก มันก็ไม่ยอมออกมาง่ายๆ
จนในที่สุด เขาที่ตกอยู่ในความช็อก ได้แต่จ้องมองแรบบิทวางตัวต่อชิ้นนั้นขึ้นไปบนจุดสูงสุด
จากนั้น ก็มีเสียง “โครม” ดังขึ้น เมื่อเสียสมดุล อาคารตัวต่ออันมหึมาก็ได้ทลายลงกับพื้น
มันได้ล้มระเนระนาดจนเต็มพื้นไปหมด
ตัวต่อมากมายไปกระแทกลงมาที่เท้าและขาของโห้หยูเซิง
ส่วนมือของเขายังคงถือตัวต่อชิ้นนั้นเอาไว้ จ้องมองไปยังตัวต่อที่หล่นเต็มพื้นด้วยความช็อก สีหน้าก็มึนงงและช็อกไปพร้อมๆ กัน
เย้นหว่านที่เห็นภาพนี้ ตรงขมับก็ได้กระตุกขึ้นมาอย่างแรง
โห้หยูเซิงนั้นชอบต่อตัวต่อ ก่อนที่จะประกอบเสร็จ ไม่ว่าใครก็ห้ามไปแตะต้องมันเด็ดขาด และสิ่งที่เขาทนไม่ได้ที่สุดก็คือการที่ตัวต่อนั้นพังทลายลงมา
แต่ไม่นึกเลยว่าแรบบิทที่เพิ่งมาถึง ก็เข้าไปยุ่งกับตัวต่อของพี่ชายตัวน้อยเข้า!
นี่มันเป็นสาเหตุที่จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่เลยนะเนี่ย!
แล้วมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เย้นหว่านที่กำลังจินตนาการอีกว่าจะมีเรื่องที่ร้ายแรงแบบไหนเกิดขึ้น ก็เห็นสีหน้าที่ขาวใสของโห้หยูเซิงแดงก่ำขึ้นมาเรื่อยๆ ดูเดือดดาลขึ้นไปทุกที
เขาลุกพรวดขึ้นมา มือที่ถือตัวต่อไว้ ได้เหวี่ยงไปทางแรบบิทอย่างแรง
เย้นหว่านนั้นรู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที
ยังไม่ทันที่เด็กสองคนนี้จะได้รักกันเลย ทำไมพอเจอหน้ากันก็ตีกันแล้วล่ะ?