สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1164 ที่รัก คุณยังคงเป็นห่วงผมอยู่
ฝนเท่าเม็ดถั่วกระทบไปบนตัวเขา น้ำฝนมารวมกันที่คางแล้วไหลลงไป ไม่ต่างอะไรกับแม่น้ำเล็ก
ส่วนสีหน้าของเขาก็ซีดเผือด เหมือนได้ใช้แรงไปจนหมดแล้ว
แต่เขายังคงดึงดันที่จะยันไว้
หัวใจของเย้นหว่านเหมือนโดนอะไรบางอย่างเสียบเข้า มันรู้สึกเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ มือของโห้หลีเฉินก็ได้หลุดออกจากราวจับ จนลื่นไถลไป เดิมทีร่างกายที่สูงใหญ่ของเขาก็ยืนลำบากอยู่แล้ว ตอนนี้พอมาสูญเสียสมดุล จึงได้ล้มไปข้างหน้า—-
พื้นปูนกับบ่อน้ำฝนที่อยู่ตรงหน้า ถ้าล้มลงไปคงเจ็บน่าดูเลย
และขาของเขาก็ยังอยู่ในช่วงพักฟื้น ยิ่งปล่อยให้เจ็บไม่ได้เด็ดขาด!
หัวใจของเย้นหว่านแทบจะถลนออกมาแล้ว เธอไม่สนอะไรอีก รีบวิ่งเข้าไป แล้วประคองเขาไว้ตามสัญชาตญาณ
เธอเป็นหญิงร่างเล็ก พอเข้าไปประคองโห้หลีเฉินตรงๆ จึงต้องสวมเข้าไปในอ้อมกอดของเขา
กลิ่นอายที่คุ้นเคยมาพร้อมกับกลิ่นของน้ำฝน มันทำให้หัวใจของเย้นหว่านสั่นไหวเป็นชุดๆ เจ็บปวด
เธอพยายามควบคุมความรู้สึกที่ฟุ้งซ่านเอาไว้ พอสงบลง ก็ตั้งใจที่จะถอยออกมา
แต่โห้หลีเฉินกลับเอามือมาโอบเอวของเธอไว้ แล้วดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดอีกครั้งแน่นๆ
“ที่รัก คุณยังคงเป็นห่วงผมอยู่นี่ครับ”
น้ำเสียงที่ทุ้มลึกของเขาแฝงด้วยความดึงดูดที่ไม่เหมือนใคร แถมยังฟังดูน่าสงสารด้วย
หัวใจของเย้นหว่านเหมือนโดนอะไรกระแทกเข้าใส่ จมูกเมื่อยล้า น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
ปะปนไปกับสายฝน จนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร
เธอรู้สึกทรมานมาก กัดฟันไว้แน่นๆ จากนั้นก็ออกแรงผลักเขาออกไป
“โห้หลีเฉิน เราหย่ากันแล้ว”
เธอเตือนสติ
โห้หลีเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย “ผมไม่ได้เซ็นสักหน่อย”
มันจึงยังไม่นับว่าหย่า และไม่มีทางที่จะหย่าด้วย
ในใจของเย้นหว่านรู้สึกขมขื่นอีกครั้ง ตอนแรกก็ตัดสินใจที่จะหย่าร้างอย่างแน่วแน่แล้ว พอได้มาเห็นสภาพของเขาตอนนี้ เหมือนเธอจะเริ่มโลเลขึ้นมาแล้ว
ยังคงทนเห็นเขาบาดเจ็บไม่ได้ ยังคงทนเห็นเขาล้มป่วยไม่ได้
ยังคงอาลัยอาวอนเขาอยู่ รู้สึกหวั่นไหวกับสิ่งที่เขาทำ
แต่ว่า……
เย้นหว่านที่น้ำตานองหน้า น้ำเสียงสะอื้นอย่างแรง
“ทำไมคุณถึงทำตัววุ่นวายแบบนี้? มันทำให้เรารู้สึกแย่กันทั้งคู่นะ”
ใครจะไปรู้ว่าเธอต้องใช้แรงใจแค่ไหนถึงตัดสินใจแยกทางกับเขาได้
ใครจะไม่รู้ว่าเธอนั้นโหยหาอ้อมกอดของเขาแค่ไหน แต่พอคิดว่าในใจของเขายังมีใครอีกคน เธอกลับรับมันไม่ได้อีกครั้ง
โห้หลีเฉินกำไหล่ของเย้นหว่านไว้แน่น พร้อมกับสายตาที่แน่วแน่
“ชีวิตนี้ คนเดียวที่ผมจะวุ่นวายด้วยก็คือคุณ ที่รัก ผมมาเพื่อขอโทษคุณด้วยความจริงใจ”
ยังคงพูดขอโทษ
กระดานซักผ้ายังคงถืออยู่ในมืออีกข้างของเขา
ยังคงแน่วแน่ที่จะคุกเข่าขอโทษเธอบนกระดานซักผ้าท่ามกลางสายฝนจริงๆ ใช่มั้ย? เย้นหว่านรู้สึกอ่อนล้าหัวใจอย่างพูดไม่ออก
เธอไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีแล้ว เสื้อผ้าเปียกฝนไปแล้ว ร่างกายรู้สึกหนาวเย็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโห้หลีเฉินที่ยังบาดเจ็บอยู่เลย มีแต่จะทรมานยิ่งกว่า
เย้นหว่านจึงไม่อยากพูดให้มากความ จึงพูดไปว่า
“ไว้เข้าไปคุยกันข้างในค่ะ”
สีหน้าของโห้หลีเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย
แขนที่รัดเย้นหว่านไว้คลายออกเล็กน้อย ถ้าเธออยากถอยออกไปก็สามารถทำได้ทันที
น้ำเสียงของเขาทุ้มลึกแต่หนักแน่น “คุณเข้าไปหลบฝนก่อนเลยครับ ไปอาบน้ำอุ่น เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดๆ แล้วอย่าให้เป็นหวัดนะครับ”
เย้นหว่านมองเขาด้วยความอึ้ง
นี่เขายังไม่ยอมเข้าไปอีกเหรอ?
พอเห็นสายน้ำที่หลั่งไหลมาตามไรผมของเขา เย้นหว่านก็ร้อนรนจากความเป็นห่วงยิ่งกว่าเดิม
“นี่คุณยังคิดจะทำอะไรอีก?”
“ทำให้คุณยอมยกโทษให้ผม” โห้หลีเฉินพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ปวกเปียกแต่แน่วแน่ “ผมมาเพื่อสารภาพผิด”
เย้นหว่านไม่เคยรู้มาก่อนว่าผู้ชายคนนี้หนักแน่นได้ขนาดนี้ แถมยังเอาแต่ใจมาก
สามารถทรมานร่างกายตัวเองได้เก่งขนาดนี้!
เย้นหว่านนั้นกระวนกระวายใจมาก สุดท้ายก็ตะคอกออกไปด้วยความเหลืออด “ถ้าคุณยังดึงดันที่จะไม่ยอมเข้าไปแบบนี้ ชีวิตนี้ก็อย่าหวังจะให้ฉันยกโทษให้คุณอีก!”
สายตาของโห้หลีเฉินเป็นประกายขึ้นมาทันที มุมปากแย้มขึ้นด้วยความดีใจ
” คุณเปิดโอกาสที่จะยกโทษให้ผมแล้วใช่มั้ยครับ?”
ก่อนหน้านี้นั้นไม่มีทางยกโทษให้แน่นอน
เย้นหว่าน “……” ผู้ชายคนนี้นี่!
เธอรู้สึกหงุดหงิดมาก ในขณะที่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี จู่ๆ เขาก็ออกแรง แล้วดึงเธอเข้าไปกอดอีกครั้ง
โห้หลีเฉินกอดเธอไว้แน่นๆ ริมฝีปากบางๆ ประกบอยู่ที่ข้างหูของเธอ แนบชิดอย่างถึงที่สุด
“ที่รัก ผมขอโทษ ผมเคยรับปากว่าจะไม่โกหกคุณ แต่ผมกลับทำไม่ได้ มันเป็นคนผิดของผม ผมรับประกันว่ามันจะมีแค่ครั้งเดียว ต่อไปมันจะไม่เกิดขึ้นอีก”
โกหกเธออย่างนั้นเหรอ……
โห้หลีเฉินนั้นโกหกเธอไปจริงๆ
แต่มันก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ ใจของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
มันคือความผิดที่ไม่อาจให้อภัยได้ นอกจากแยกทาง เธอก็ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเขายังไง
“ผมไม่ควรปิดบังคุณเพื่อรับมือกับแองเจล่าเลย เล่นละครกับเธอ เพื่อที่จะได้ยาถอนพิษมา เพื่อจัดการเรื่องของเธอเพียงลำพัง ผมจึงโกหกคุณว่ากลางคืนไม่เคยไป ปิดบังคุณเรื่องของแองเจล่า ตอนแรกก็กลัวว่าพอคุณรู้เข้าแล้วจะคิดมาก แต่มันกลับทำให้คุณเจ็บปวดยิ่งกว่า
ผมทำผิดอย่างมหันต์ คุณอยากลงโทษผมยังไง ผมก็พร้อมที่จะน้อมรับมัน รวมถึงการคุกเข่าบนกระดานซักผ้า คู่รักคู่อื่นเขาก็ลงโทษสามีแบบนี้เหมือนกัน พอคุกเข่าเสร็จก็จะใจเย็นลง คุณเองก็ลงโทษผม จะได้ใจเย็นลง ตกลงมั้ยครับ?”
น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนมาก อ่อนโยนจนเหมือนกับกำลังนวดใบหูของเธออยู่ ทำให้เคลิบเคลิ้มไปกับความอ่อนโยนนี้อย่างไม่รู้ตัว
พยักหน้าให้อภัย
แต่ว่า!
หลงผ่านไปหนึ่งวิเย้นหว่านก็รู้สึกถึงความผิดปกติ ทุกอย่างที่โห้หลีเฉินพูดมามันคืออะไร ทำไมมันถึงไม่เหมือนกับที่เธอคิดไว้เลยล่ะ มันผิดประเด็นอย่างนั้นเหรอ?
เธอดึงตัวออกห่างเล็กน้อยด้วยความเร่งรีบ แล้วจ้องเขาด้วยสีหน้าที่ไม่มั่นคง
“ยาถอนพิษที่คุณพูดถึงมันคืออะไร? อะไรคือการเล่นละคร? แล้วระหว่างคุณกับแองเจล่าไม่ได้เป็น……”
เธออ้าปากพะงาบๆอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถเปล่งคำพูดสุดท้ายออกมาได้
แค่คิดถึงมัน หัวใจของเธอก็เจ็บปวดรวดร้าวขึ้นมา
โห้หลีเฉินสีหน้าอ่อนโยน แล้วอธิบายออกมาด้วยความใจเย็น “ผมเป็นคนที่หวังสูงขนาดนี้ จะไปชอบผู้หญิงอย่างแองเจล่าได้ยังไงล่ะครับ? ที่รัก นี่คุณไม่เชื่อมั่นในความรักของผม และไม่เชื่อมั่นในสายตาของผมอย่างนั้นเหรอครับ?” ระหว่างที่พูด น้ำเสียงของเขาก็แฝงไปด้วยความไม่พอใจ
แต่เย้นหว่านกลับยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น หัวใจเต้นรัว เหมือนจะเริ่มปะติดปะต่ออย่างขึ้นมาได้บ้างแล้ว
เลือดทั้งตัวของเธอกำลังไหลย้อนขึ้นมา ตื่นเต้นจนเสียงยังเกร็งไปด้วย
“ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่? คุณรีบอธิบายมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“คุณใจเย็นลงก่อน ถ้าคุณอยากรู้ผมก็จะเล่าให้คุณฟังทุกอย่างเลย ตอนที่ผมถูกลักพาตัวไปนั้น ชายชุดดำสองคนนั้นก็คือคนของแองเจล่า แองเจล่าได้วางยานอนหลับที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษกับผม แล้วเธอก็สะกดจิตผม สะกดจิตให้รักเธออย่างควบคุมไม่ได้
ด้วยเหตุนี้หลังจากนั้น ผมจึงสนใจแองเจล่าอย่างไม่รู้ตัว และยังกินของที่เธอทำอย่างไม่รู้ตัวด้วย”
พอได้ฟังสิ่งโห้หลีเฉินพูด เย้นหว่านก็เบิกตาโตด้วยความตกใจ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเรื่องมันจะเป็นแบบนี้
เธอเคยผ่านการถูกน้าเมย์สะกดจิตมาแล้ว มันเป็นกระบวนการที่ยากและต้องใช้เวลา แถมยังต้องการความร่วมมือของคนที่ถูกมอมด้วย ไม่อย่างนั้นมันก็สำเร็จยากมาก
ถึงจะบอกว่าเป็นการสะกดจิต แต่ก็อาศัยการกล่อมตัวเองซะส่วนใหญ่
ในตอนที่เธอสะลึมสะลือรู้สึกว่าตัวเองเป็นเย่ซือซือจริงๆ นั้น มันก็ต้องใช้เวลานานมากกว่าจะสำเร็จ ดังนั้นตอนที่จะปลุกให้ตื่นจากการถูกสะกดจิตยังต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์เลย
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่เคยคาดคิดว่าโห้หลีเฉินอาจจะถูกสะกดจิตนั่นเอง