สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1169 ราดน้ำมันลงในกองไฟ
แต่โห้หลีหลีเฉินนั้น……
เขาเพิ่งออกจากตระกูลหยู แล้วมาพูดนี้ตอนนี้ มันไม่รีบไปหน่อยเหรอ
อีกอย่าง ไม่ว่ายังไง หยูฉู่สองก็เป็นปู่ของเขา ถ้าลงมือทั้งอย่างนี้ ก็คงไม่ตายไม่เลิก
ศึกระหว่างสายเลือด ที่ผ่านมามันก็เป็นเรื่องที่โหดร้ายที่สุดแล้ว
เย้นหว่านกระวนกระวายใจ ตอนที่กำลังจะพูดอะไรออกไป ทันใดนั้น ฝ่ามือใหญ่ๆ ของโห้หลีเฉินก็ได้วางลงบนหลังมือของเธอ
เขามองเธอด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน จากนั้น ก็พูดกับเย้นโม่หลินด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า
“เรื่องการโต้กลับนั้น ผมเอาด้วย สามารถดำเนินการได้ทุกเมื่อเลยครับ”
พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ โดยที่ไม่มีความลังเลเลยแม้แต่น้อย
ถ้าตอนนั้นยังคงคำนึงถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดอันน้อยนิดที่มีกับหยูฉู่สองหล่ะก็ คงไม่ทำลายตระกูลหยูของเขาขับไล่เขาลงจากตำแหน่ง งั้นตอนนี้เขา ก็คือคนที่อยากทำลายหยูฉู่สองให้สิ้นซากที่สุดแล้ว
การที่สองปีนี้เขากับเย้นหว่านต้องแยกจากลูกๆ ทั้งของของเขา มันก็เป็นเพราะหยูฉู่สองที่ทำให้เรื่องมันเป็นอย่างทุกวันนี้
ความยากลำบากที่พวกเขาต้องเจอในสองปีนี้ ต่อให้หยูฉู่สองเป็นปู่ของเขา ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องให้อภัย ต้องให้ชดใช้ร้อยเท่าถึงจะสาสม!
เย้นโม่หลินพอใจในคำตอบของโห้หลีเฉินมาก
สีหน้าที่เขาแสดงออกมาค่อยดูดีขึ้นมาหน่อย “เตรียมตัวให้พร้อมตลอด ไม่นานผมก็จะลงมือกับหยูฉู่สองแล้ว”
ตระกูลเย้น ตระกูลเย้นที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ต่อหยูฉู่สองจะได้รับกำลังจากขุมทรัพย์แล้ว ก็ยังสามารถต่อกรกับหยูฉู่สองมาได้ตั้งหลายปี
แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นเมื่อสองปีก่อน เพื่อเย้นหว่าน เพื่อโห้หลีเฉิน เพื่อแรบบิท ตระกูลเย้นจึงเลือกที่จะละทิ้งทุกอย่าง ทิ้งชื่อทิ้งแซ่แล้วไปซ่อนตัว
แล้วย้ายมาอยู่ในป่าในเขาแบบนี้ หลบหนีจากคมหอกคมดาบมานานสองปี
ในที่สุดตอนนี้ก็สามารถช่วยโห้หลีเฉินออกมาได้ พวกเขาจึงไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว และสามารถทุ่มสุดตัวได้แล้ว
ความแค้นที่เย้นโม่หลินอดกลั้นเอาไว้ ในที่สุดก็สามารถไปเอาคืนกับหยูฉู่สองได้แล้ว
ในครั้งนี้ ถ้าไม่ใช่ตระกูลหยูที่ตาย ก็ต้องเป็นตระกูลเย้นนั่นแหละที่ต้องตาย
กู้จื่อเฟยจ้องมองเย้นโม่หลินที่พร้อมรบสุดๆ แววตาก็ได้เคร่งขรึมลงไป มือที่อยู่ใต้โต๊ะก็ค่อยๆ กำแน่นขึ้นมา
เหมือนกำลังควบคุมอะไรบางอย่างอยู่
เธอกัดๆ ริมฝีปาก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป
จากบทสนทนานี้ มันก็ทำให้เย้นหว่านไม่มีอารมณ์ที่จะกินข้าวแล้ว
เมื่อไหร่ที่ลงมือ ก็หมายความว่า ความสงบสุขทั้งหมดในตอนนี้ ก็จะกลายเป็นสนามรบที่แสนวุ่นวาย
จนอาจจะมีเรื่องหรือสถานการณ์ที่อันตรายมากมายเกิดขึ้นก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นเย้นเจิ้นจื๋อ กงจืออวี รวมถึงเย้นโม่หลิน กับโห้หลีเฉิน ต่างอาจจะตกอยู่ในอันตรายได้
ครั้งก่อนเรื่องที่เย้นเจิ้นจื๋อถูกลอบทำร้าย ถึงแม้ตอนนั้นเย้นหว่านจะไม่ได้อยู่ด้วย แต่พอนึกถึงก็ยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เลย
เธอไม่อยากให้เกิดเรื่องกับใคร ไม่อยากให้ใครเป็นอันตราย แต่เธอก็รู้ดี ว่าการโต้กลับตระกูลหยูนั้น เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ
ไม่มีทางที่ตระกูลเย้นจะทำตัวเป็นเต่าหดหัวตลอดไป
เย้นหว่านเคร่งเครียดจนกำตะเกียบแน่นสายตาที่สั่นไหวมองไปยังต้นขาของโห้หลีเฉิน
“ขาของคุณเป็นยังไงบ้างแล้ว?”
ก่อนหน้านี้ตอนที่ตากฝน โห้หลีเฉินนั้นสามารถยืนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาอะไรทั้งนั้น
นี่มันถือเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายเธอเลย
การจะโต้กลับตระกูลหยู มันก็เป็นเรื่องที่อันตรายมาก ถ้าโห้หลีเฉินยังเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก มันก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น
ดังนั้นสิ่งที่เย้นหว่านเป็นห่วงก่อนเลยก็คือขาของเขานั่นเอง
โห้หลีเฉินจ้องมองเย้นหว่านอย่างลึกซึ้ง แล้วเข้าใกล้เธออย่างกะทันหัน แล้วพูดด้วยระดับเสียงที่มีแค่ทั้งคู่เท่านั้นที่สามารถได้ยิน
“คืนนี้ คุณสามารถทดสอบด้วยตนเองได้เลยนะครับ”
ทดสอบ?
ขาของเขารู้สึกยังไง เธอสามารถทดสอบได้ด้วยเหรอ?
เย้นหว่านทำหน้างง แต่เพราะถูกโห้หลีเฉินสอนให้เสียคนมานานหลายปี ไม่นานเธอก็เข้าใจความหมายสิบแปดบวกที่เขาต้องการจะสื่อแล้ว
เย้นหว่านรีบผลักเขาออกไป ใบหน้าแดงเหมือนแอปเปิล เขินจนอยากจะมุดดินหนีไป
บนโต๊ะกินข้าวยังมีคนอยู่เยอะขนาดนี้เลยนะ นี่เขาหน้าด้านขนาดไหนกันเนี่ย ถึงกล้าพูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้!
ป่ายฉีที่กำลังกินอย่างมูมมามได้มองมาที่เย้นหว่าน สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย แล้วพูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า
“ขาของโห้หลีเฉินกำลังดีขึ้น สมรรถภาพทางร่างกายของเขาดี ไม่น่าจะเกินหนึ่งอาทิตย์ ก็คงไม่ต้องใช้รถเข็นอีกแล้ว
ตอนนี้ เขาสามารถยืน และเดินโดยมีอะไรประคองได้แล้ว”
คำอธิบายนี้ มันชัดเจนมากแล้ว
ดังนั้นคืนนี้เย้นหว่านก็ไม่ต้องทดสอบแล้ว
สายตาที่ไม่ชอบใจของโห้หลีเฉินกวาดมองไปทางป่ายฉี “น้าเมย์ยังไม่หายอีกเหรอ? ป่ายฉี ความสามารถทางการแพทย์ของคุณมันถดถอยไปแล้ว หรือคุณแค่แอบอ้างเท่านั้น?”
ป่ายฉีนั้นทนกับการที่คนอื่นมาบอกว่าฝีมือในการรักษาของเขาแย่ไม่ได้ที่สุดแล้ว เขาตบตะเกียบลงบนโต๊ะทันที แยกเขี้ยวแล้วอยากจะชกใส่โห้หลีเฉินสักที
โห้หลีเฉินนั่งตัวตรงอยู่บนรถเข็น ตั้งท่ารอรับการโจมตี “ผมเองก็อยากอัดคุณมานานแล้ว”
ป่ายฉีอดทนยังไม่ได้ออกหมัด แล้วถูกยุจนโมโหอย่างถึงที่สุด ไม่สนแล้วว่าจะรังแกคนพิการอะไรก็ช่าง ปัดเก้าอี้ออกยกหมัดขึ้นมาแล้วซัดไปที่ใบหน้าของโห้หลีเฉิน
คนอื่นๆ “……”
กินข้าวกันอยู่ดีๆ ทำไมถึงตีกันขึ้นมาได้ล่ะ
กงจืออวีพูดเตือนออกมาเสียงดัง “ป่ายฉี หยุดนะ!”
กู้จื่อเฟยกรี้ดออกมา “เสี่ยวหว่าน ปกป้องคุณโห้สิ!”
ถึงเย้นหว่านจะนั่งอยู่ข้างๆ โห้หลีเฉิน แต่การโจมตีของป่ายฉีนั้น รวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด ต่อให้เธอขวางก็ไม่มีทางขวางได้อย่างแน่นอน ย่ิงไม่ต้องพูดถึงเรื่องปกป้องอะไรนั่นเลย
เธอทำได้แค่มองดูป่ายฉีซัดกำปั้นใส่หน้าของโห้หลีเฉินเท่านั้น
มองเห็นกำปั้นที่กำลังจะกระแทกไปที่ดั้งของเขาแล้ว—-
เสียง “พรึบ” ดังขึ้น มือของโห้หลีเฉินได้จับกำปั้นของป่ายฉีไว้อย่างมั่นคง โห้หลีเฉินจ้องมองป่ายฉีอย่างเยือกเย็นพร้อมกับสีหน้าที่ดูถูกอย่างถึงที่สุด
“ฝีมือการรักษาก็แย่ ฝีมือการต่อสู้ก็ไม่ได้เรื่อง นี่คุณมีดีแค่นี้เองเหรอ?”
นี่มันเป็นการราดน้ำมันเข้าไปในกองไฟชัดๆ
แม้แต่เย้นหว่านก็ยังรู้สึกว่ามันเกินไปแล้ว
ป่ายฉีโกรธอย่างสุดขีด แล้วมืออีกข้างก็ได้เหวี่ยงมาที่โห้หลีเฉิน
ชั่วพริบตาเดียว มือของทั้งคู่ก็ได้ปะทะกันไปหลายกระบวนท่าแล้ว
ไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ
“พวกคุณหยุดตีกันได้แล้ว! หยุดสิ!”
เย้นหว่านที่มองดูเหตุการณ์รู้สึกร้อนรนอย่างมาก หลายครั้งที่เธออยากจะห้าม แต่มือของเธอก็ถูกสองคนนั้นหลบได้อย่างง่ายดาย อ้อมไปทางอื่น
ทำให้เธอที่พยายามขวางอยู่นาน แต่ก็ไม่ได้ผลเลย
กู้จื่อเฟยรีบถึงชายเสื้อของเย้นโม่หลิน “พี่เย้นคะ พี่รีบไปช่วยเสี่ยวหว่านเร็ว บอกให้พวกเขาเลิกตีกันได้แล้ว เกิดใครเป็นอะไรขึ้นมามันจะแย่เอานะคะ”
ยิ่งการที่โห้หลีเฉินกำลังนั่งอยู่บนรถเข็น ป่ายฉีนั้นก็ทำเกินไปจริงๆ ไม่มีศักดิ์ศรีเลยสักนิด
แต่เย้นโม่หลินก็ไม่ได้ทำอะไร แค่ยื่นมือไปยื่นมือไปกุมมือเล็กๆ ของกู้จื่อเฟยเอาไว้เท่านั้น ทำให้เธอไม่สามารถขยับได้
เขาพูดออกมาว่า “เรื่องของลูกผู้ชาย ใช้กำปั้นจัดการ มันเป็นวิธีที่เรียบง่ายและได้ผลที่สุดแล้ว”
กู้จื่อเฟยทำหน้ามึนงง
มันก็แค่โห้หลีเฉินปากเสียไปยุโมโหป่ายฉีเข้า บอกว่าฝีมือการรักษาของเขามันห่วย แค่การเถียงการเล็กน้อยแค่นี้แล้วทำไมมันถึงกลายเป็นถึงขั้นเรื่องของลูกผู้ชายไปซะได้ล่ะ?
หรือสองปีที่ไม่เจอกัน โห้หลีเฉินได้กลายเป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อยไปแล้วเหรอ?
ส่วนป่ายฉีก็ได้รับผลกระทบไปด้วย……
พอเห็นกู้จื่อเฟยที่ยังทำหน้าเป็นห่วงจากความไม่เข้าใจอยู่ เย้นโม่หลินก็จนใจ แล้วอธิบายให้เธออย่างละเอียดอีกครั้ง
“ระหว่างโห้หลีเฉินกับป่ายฉี ยังมีความแค้นที่ยังไม่ได้สะสางกันอยู่”
“ถ้าผมทายไม่ผิด โห้หลีเฉินนั้นจงใจยุป่ายฉีให้โกรธ เหตุผลก็ประมาณว่าอยากให้ป่ายฉีได้ระบาย”