สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1179 ขี้ออดขี้อ้อนแกล้งทำเป็นอ่อนแอ
“คุณโห้นี่วางแผนรอบคอบจริงๆ เลยนะคะ” เธอกล่าวชม
ไม่ต้องทายก็รู้ ว่าการที่จะทำงานได้ละเอียดขนาดนี้ ลำพังแค่คนในสวนสนุกไม่มีทางทำได้ขนาดนี้แน่นอน เกรงว่ารปภ.เมื่อกี้จะเป็นคนของโห้หลีเฉินด้วยสิ
โห้หลีเฉินเหลียวมองมาข้างๆ แล้วมองเธอด้วยสายตาที่จางๆ “คุณนายโห้ ถ้าอยากชมจากใจจริงละก็ ทำไมไม่แสดงออกทางการกระทำด้วยเลยล่ะครับ”
พูดไป ปลายนิ้วของเขาก็จิ้มไปที่แก้มของตัวเอง
ความหมายคือ หอมแก้มเขา
เย้นหว่านหน้าแดงขึ้นมาทันที “หน้าไม่อาย ฝันไปเถอะ”
เธอหันหน้าออกด้วยความเขินอาย ไม่มองหน้าเขาแล้ว
โห้หลีเฉินยังคงจ้องเธอตาเป็นประกาย แววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก สาวน้อยของเขา ถึงแม้จะอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้แล้ว จดทะเบียนสมรสกันแล้ว แต่เธอก็ยังขี้อายอยู่ดี
ตอนที่เธอเขินนั้นดูสวยและน่าหลงใหลมาก
เขาอยากจะจ้องมองเธอแบบนี้ต่อไปนานๆ ตราบนานเท่านาน
“ตืดตืดตืด——”
มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงได้สั่นขึ้น
เขาเคยบอกไว้แล้ว ว่าวันนี้จะออกมาเที่ยวกับครอบครัว ถ้าไม่มีเรื่องอะไรที่สำคัญมากๆ ก็ห้ามโทรมารบกวนเขาเด็ดขาด
การที่มีสายโทรเข้าในตอนนี้ มันจึงต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ
โห้หลีเฉินหยิบมือถือขึ้นมาดู จากนั้นก็หันไปกระซิบกับเย้นหว่าน
“คุณอยู่ดูพวกเขาไปก่อนนะครับ ผมขอไปรับสายแป๊บหนึ่ง”
เย้นหว่านรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “คุณไม่ต้องห่วง ไปได้เลยค่ะ”
โห้หลีเฉินถึงได้จากไป แล้วไปรับสายในที่ลับตาคน
เย้นหว่านมองตามแผ่นหลังของเขาอย่างเหม่อลอย ผ่านไปไม่นานเธอก็ได้หันกลับมาด้วยความหนักใจ เฝ้ามองเด็กๆ ทั้งสองต่อไป
ในใจ กลับอยู่ไม่เป็นสุขเลย
การโทรหาโห้หลีเฉินในเวลาแบบนี้ จะเป็นเรื่องอะไรนะ?
ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นรึเปล่า?
“คุณคะ ฉันขอนั่งตรงนี้ได้มั้ยคะ?”
ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ก็ได้มีหญิงสาววัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามา แล้วชี้ไปยังที่นั่งที่อยู่ข้างๆ เย้นหว่าน
เนื่องจากออร่าของโห้หลีเฉินนั้นรุนแรงเกินไป ต่อให้อยู่ในสถานการณ์ที่มีผู้ปกครองอยู่มากมาย ที่นั่งซ้ายขวาของเย้นหว่านก็ยังไม่มีใครเข้ามานั่งอยู่ดี
ตอนนี้ พอโห้หลีเฉินไปแล้ว ก็มีคนเข้ามานั่ง
เย้นหว่านพยักหน้า “ได้อยู่แล้วค่ะ”
หญิงสาวเดินเข้ามา แล้วนั่งลงไปตรงฝั่งที่โห้หลีเฉินไม่ได้นั่ง โดยนั่งอยู่ใกล้ๆ เย้นหว่าน
ตอนแรกก็คิดว่าเป็นแค่คนทั่วไปที่มาหาที่นั่งเท่านั้น แต่ไม่นึกเลย ว่าหญิงสาวคนนี้จะเป็นพวกพูดมาก หรืออาจเป็นคนที่อยู่มาตั้งแต่แรก แล้วตั้งใจเข้ามาหาเย้นหว่านก็ไม่รู้
เธอถามอย่างสุภาพว่า “คุณคะ เด็กน้อยที่น่ารักสองคนนั้น เป็นลูกของคุณเหรอคะ?”
กับคนแปลกหน้าที่เข้ามาถามอย่างเป็นมิตรแบบนี้ ที่ผ่านมาเย้นหว่านก็ไม่เคยปฏิเสธอย่างเย็นชาอยู่แล้ว
เธอยิ้มออกมา “ใช่ค่ะ”
“ยีนของคุณกับสามีของคุณนี่ดีจริงๆ” หญิงสาวกล่าวชมออกมาอย่างตรงๆ “แต่ฉันนั้นแตกต่างออกไป ลูกของฉันได้รับแต่ข้อเสียจากตัวฉัน เลยไม่ได้ดูดีเท่าไหร่”
เย้นหว่านแอบสบถออกมาในใจ มันไม่ใช่ว่ายีนของเธอกับสามีดีหรอก ถ้าจะพูดให้ถูก ต้องบอกว่ายีนของโห้หลีเฉินนั้นแข็งแกร่งเกินไปต่างหาก
หญิงสาวพูดต่อ “คุณดูสิ นั่นคือลูกสาวฉัน เธอเป็นลูกครึ่ง ไม่มีดั้งเลยสักนิด”
เย้นหว่านมองตามสายตาของหญิงสาวไป แล้วได้พบกับเด็กสาวที่น่ารักคนหนึ่ง
เธอมีใบหน้าที่ค่อนข้างน่ารัก ดั้งที่แบนราบได้รับการส่งต่อจากหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปเต็มๆ จนเหมือนกันเป๊ะ
ถ้ามีดั้งขึ้นมาสักนิด เด็กสาวคนนี้ก็จะดูดีขึ้นมาอีกระดับเลย
“ตอนนี้ก็น่ารักมากๆ แล้วค่ะ” เย้นหว่านยิ้ม
“พ่อของเธอเป็นคนเยอรมัน ถ้าได้จมูกของพ่อมา ถึงจะนับว่าดูดีจริงๆ”
หญิงสาวพูดจาจุกจิก เอาแต่พูดถึงลูกสาวของตัวเอง และพูดอย่างไม่จบไม่สิ้น
เย้นหว่านก็รู้สึกเบื่อพอดี จึงได้พูดคุยกับหญิงสาวไปอย่างไม่คิดอะไร
ในอีกด้านหนึ่ง โห้หยูเซิงถูกแรบบิทไล่จนยอมยกธงขาวแล้ว
“ไม่เล่นแล้ว”
บนหัวกับเสื้อผ้ามีแต่ลูกบอลโฟมติดเต็มไปหมด สีหน้ากำลังเคร่งขรึม แล้วเปล่งเสียงออกมาจากทางซอกฟันสามพยางค์ด้วยความหงุดหงิด
แรบบิทรู้สึกตื่นเต้น นี่พี่ชายยอมพูดออกมาสามพยางค์แล้ว ดีใจจังเลย
“โอเค พี่บอกอะไรหนูก็ฟังหมด”
แล้วแรบบิทก็ได้โยนลูกบอลโฟมที่อุ้มไว้ในมือลงพื้นไปหมด
พอโห้หยูเซิงเห็นแบบนั้น ถึงได้โล่งอกไปที แล้วหัวใจดวงน้อยก็รับรู้ถึงเรื่องอะไรบางอย่าง ที่แท้การพูด มันมีประสิทธิภาพมากขนาดนี้เลยเหรอ?
ราวกับว่า เขาพูดอะไร แรบบิทก็จะยอมฟังทุกอย่าง
ขอแค่เขายอมพูด ก็จะสามารถจัดการกับเรื่องมากมายที่เขาไม่อยากทำได้…
“พี่คะ บนเสื้อมีโฟมติดเต็มไปหมดเลย หนูช่วยเอาออกให้นะคะ”
แล้วแรบบิทก็ได้เดินเข้ามาหาโห้หยูเซิง
โห้หยูเซิงไม่ชอบให้เธอเข้าใกล้ และไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับเสื้อผ้าของตัวเองด้วย เขาจึงปฏิเสธไปตามสัญชาตญาณแต่ก็ไม่ชอบพูดมาก
ในตอนที่เขากำลังลังเลว่าจะพูดดีรึเปล่านั้น แรบบิทก็ได้เดินมาถึงตรงหน้าเขาแล้วมือเล็กๆ ตบไปที่ไหล่ของเขา “ป๊าบป๊าบ” ปัดโฟมที่ติดอยู่ตรงไหล่ของเขาออกไป
โห้หยูเซิง ………
เขายืนเกร็งอยู่ตรงนั้นราวกับท่อไม้
เขาจะปฏิเสธนะ
แค่พูดช้าไปเท่านั้น!
แต่พอเห็นแรบบิทที่เริ่มทำการปัดแล้ว พูดกับไม่พูด เหมือนมันจะไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่
เขาทำได้แค่เกร็งร่างกายไว้ แล้วยืนตัวตรงเหมือนกับเสาไฟฟ้า
“แหม๋ๆ เป็นคุณชายจริงๆ ด้วยสินะ? แม้แต่โฟมที่ติดเสื้อยังต้องให้คนอื่นปัดให้เลย”
ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงที่ไม่เป็นมงคลดังขึ้น
แล้วเห็นเด็กอ้อนอายุประมาณสี่ห้าขวบเดินเข้ามา พร้อมกับจ้องมองโห้หยูเซิงด้วยสีหน้าที่เยาะเย้ยและรังเกียจ
โห้หยูเซิงนั้นเก็บตัวจนชินไปแล้ว จึงไม่ได้สนใจเขาเลย
แรบบิทยืนปัดเสื้อของโห้หยูเซิงอยู่ด้านหลัง จึงไม่ได้สังเกตเห็นเด็กอ้วนคนนี้เหมือนกัน
ถึงแม้เด็กอ้วนจะตัวเล็ก แต่สำหรับเด็กอายุสองขวบที่แขนขาเล็กอย่างโห้หยูเซิงกับแรบบิทนั้น เขาก็ยังตัวใหญ่อยู่ดี
ไอ้อ้วนเดินมาตรงหน้าของโห้หยูเซิง ตัวสูงเกินหัวของทั้งคู่ไปแล้ว ส่วนร่างกายก็หนากว่าพวกเขาไปถึงสองเท่า
เขามองโห้หยูเซิงอย่างผู้ที่อยู่เหนือกว่า พร้อมกับสีหน้าที่หยิ่งยโส
“ไม่สนใจฉันด้วย? นี่แกรู้มั้ยว่าท่าทางของแกเนี่ยมันหน้าหมั่นไส้แค่ไหน?”
โห้หยูเซิงเย็นชา และมองข้ามเขาไปทันที
แต่แรบบิทกลับพุ่งออกมาจากทางด้านหลังของโห้หยูเซิงแล้วด่าทอด้วยสีหน้าที่ไม่ชอบใจว่า “นี่ไอ้อ้วน พูดมากอะไรนักหนาเนี่ย? รีบไสหัวไปซะ หน้าที่มีแต่ไขมันของนายฉันเห็นแล้วก็ขยะแขยงจนอยากจะอ้วกเลย”
ไอ้อ้วนเกลียดการที่คนอื่นมาหาว่าเขาอ้วนเป็นที่สุด และเขาก็ตั้งใจเข้ามาหาเรื่องอยู่แล้ว มันจึงทำให้เขาโมโหยิ่งกว่าเดิม
“หน้าตาดูดีแล้วทำอะไรได้? คิดว่าเด็กๆ คนอื่นเขาจะชอบเล่นกับพวกเธอรึไง? คอยดูว่าฉันจะสั่งสอนเธอยังไง”
เด็กอ้วนพูดไปก็ง้างมืออ้วนๆ ของเขาขึ้น แล้วเหวี่ยงแขนลงมาที่หน้าของแรบบิท
แรบบิทตกใจจนเบิกตากว้าง
ไอ้อ้วนคนนี้มันถึงกับกล้าตบเธอเลยเหรอ!
เธอรู้สึกคันยิบๆ ที่ขา อยากที่จะเตะสวนไปจริงๆ เลย
ทันใดนั้นเอง ข้างกายก็มีแรงที่เกิดจากการดึงขึ้น โห้หยูเซิงได้ดึงเธอให้ก้าวไปข้างๆ หลายก้าว
จนสามารถหลบฝ่ามือของไอ้อ้วนไปได้
แรบบิทจ้องมองโห้หยูเซิงที่เข้ามาดึงตัวเองด้วยความช็อก ทั้งตกใจทั้งดีใจทั้งอารมณ์ดี
เมื่อกี้พี่ชาย ได้ปกป้องเธอไว้อย่างนั้นเหรอ?
ดีใจจังเลย!
ตื่นเต้นจังเลย!
พี่ชายของเธอปกป้องเธอด้วย เธอสามารถทำตัวเป็นน้องสาวที่น่ารักน่าสงสารได้แล้ว
แรบบิทจึงรีบพูดกับโห้หยูเซิงด้วยสีหน้าที่ใสซื่อและน่าสงสารว่า “พี่คะ แรบบิทกลัว”