สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 118 สงสัยเป็นครั้งแรก
บทที่ 118 สงสัยเป็นครั้งแรก
คิดแล้ว เธอก็มองโห้หลีเฉินแบบลองเชิง ก่อนจะพูดขึ้น
“คุณโห้ ไม่อย่างนั้นพวกเราสั่งอาหารจากข้างนอกมามั้ย?”
ในแววตาโห้หลีเฉินเปื้อนรอยยิ้ม เม้มริมฝีปาก กำลังจะพูดอะไร เวลานี้หน้าประตูใหญ่กลับมีเสียงกริ่งประตูดังขึ้น
เวลานี้ใครมาเป็นก้างขวางคอกัน?
ชั่วขณะหนึ่งออร่ารอบตัวของโห้หลีเฉินก็เย็นลงไป
เย้นหว่านเห็นโห้หลีเฉินนั่งนิ่ง ความคิดที่จะลุกไปเปิดประตูไม่มีเลยสักนิด ได้แต่ลุกขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ เดินเข้าไปที่หน้าประตู
“เฉิน นายโอเคมั้ย?”
เสียงพูดตกลง มู่หรุงชิ่นมองเห็นเย้นหว่าน เห็นได้ชัดว่าตะลึงไปสักนิด
เย้นหว่านมองเห็นหล่อน มึนงงเช่นกัน รู้สึกไม่สบายใจอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากกระอักกระอ่วนเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง มู่หรุงชิ่นยิ้มเอ่ยปากขึ้นก่อน
“เสี่ยวหว่าน เธอก็อยู่ที่นี่เหรอ”
“อืม”
เย้นหว่านตอบด้วยเสียงต่ำๆ จากนั้นถอยออกไปด้านหลัง หลบทางให้มู่หรุงชิ่น
“เฉินได้รับบาดเจ็บแล้ว ฉันเลยเข้ามาดูเขาหน่อย”
“เขาอยู่ที่ห้องอาหาร”
เย้นหว่านรักษาความสงบนิ่งอยู่สุดแรง ตอบแบบเรียบนิ่ง
แต่ในใจเธอว้าวุ่นขึ้น พูดไม่ถูกว่าเป็นรสชาติแบบไหนกัน โห้หลีเฉินได้รับบาดเจ็บ บอกแฟนของเขาในวินาทีแรก ก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลอยู่แล้ว
แบบนี้ก็ดี มู่หรุงชิ่นมาแล้ว โห้หลีเฉินก็มีคนดูแล เธอถอนตัวง่ายเลย
เย้นหว่านตามมู่หรุงชิ่นไปที่ห้องอาหาร คิดจะบอกลาโห้หลีเฉินสักหน่อย ถึงจะออกไป
มู่หรุงชิ่นเดินมาถึงห้องอาหาร เห็นมือของโห้หลีเฉินที่พันแผลไว้เป็นชั้นๆ ชั่วขณะหนึ่งเป็นห่วงแทบไม่ไหว
หล่อนเดินมาตรงหน้าของโห้หลีเฉิน ถามอย่างห่วงใย
“เฉิน เจ็บหนักรึเปล่า? นายโอเคมั้ย?”
โห้หลีเฉินมองมู่หรุงชิ่นด้วยสายตาเย็นชา ไม่ได้ตอบคำถามของหล่อน แต่สอบถามประโยคหนึ่งไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ
“เธอรู้ได้ยังไงว่าฉันบาดเจ็บ?”
หลังจากโดนลวกเจ็บที่ร้านอาหาร เขาและเย้นหว่านกลับมาคฤหาสน์ด้วยกัน ระหว่างนั้นไม่ได้บอกใครไปสักคนเดียว และไม่ได้เจอใครเลยด้วย
สายตามู่หรุงชิ่นแฉลบความหวาดผวาขึ้น หล่อนกลับตอบสนองไว ก่อนจะพูดขึ้น
“เมื่อกี้ฉันไปกินข้าวที่ร้านอาหารKK ได้ยินผู้จัดการบอก นายก็รู้นี่ผู้จัดการรู้จักความสัมพันธ์ของพวกเรา เลยถามฉันว่าอาการบาดเจ็บของนายเป็นยังไงบ้าง เขาบอกว่าพวกเขารู้สึกผิดกันจริงๆ”
เดิมทีโห้หลีเฉินไม่คิดจะตามหาความรับผิดชอบของร้านอาหาร โดยเฉพาะหลังได้รับบาดเจ็บ คนที่ดูแลเขาคือเย้นหว่าน
แต่ตอนนี้ท่าทางเขาเย็นยะเยือกระดับหนึ่ง “ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก ร้านอาหารกับคนพวกนั้น พรุ่งนี้จะหายไปจากเมืองหนาน”
บนใบหน้างดงามของมู่หรุงชิ่นซีดเซียว ถึงแม้โห้หลีเฉินบอกว่าจะจัดการร้านอาหารนั้น แต่อยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้ หล่อนรู้อย่างเศร้าใจ โห้หลีเฉินไม่พอใจกับการมารบกวนของหล่อน
ภายในเสียใจอย่างปวดร้าว มู่หรุงชิ่นพยายามอย่างยากลำบากถึงกลั้นอารมณ์ของตนเองอยู่ แสร้งทำท่าทางฟังไม่เข้าใจ
หล่อนยิ้มก่อนจะเปิดกล่องอาหารในมือออก “เฉิน รู้ว่านายต้องยังไม่ได้กินอะไรแน่ ก็เลยตั้งใจซื้อกับข้าวที่นายชอบกินมาให้”
ขณะกำลังพูด หล่อนนำกล่องอาหารวางตรงหน้าของโห้หลีเฉิน มองบะหมี่ใกล้จะเย็นชืดที่วางอยู่บนโต๊ะแล้ว
“นายไม่ใช่ไม่ชอบกินบะหมี่มาตลอดเหรอ?”
เย้นหว่านตกใจ ทำหน้าฉงน คาดไม่ถึงว่าโห้หลีเฉินไม่ชอบกินบะหมี่?
เธอถึงเข้าใจขึ้นมาทีหลัง มิน่าตอนที่เธอบอกว่าจะต้มบะหมี่ให้เขา เขาถึงมีท่าทีแปลกๆ แบบนั้น
แต่ว่าทำไมเขาถึงไม่พูดอะไรล่ะ ความจริงเธอสามารถทำอย่างอื่นให้ได้
แต่หันไปมองกับข้าวที่สีสันหน้าทานในกล่องอาหาร เย้นหว่านก็หวาดกลัว ในเมื่อไม่ว่าเธอจะทำอะไร คงเทียบกับอาหารรสเลิศที่ซื้อกลับมานี้ไม่ได้
โห้หลีเฉินเงยหน้ามองเย้นหว่าน น้ำเสียงต่ำเห็นได้ชัดว่ามีความหมายลึกซึ้ง
“ตอนนี้ฉันเปลี่ยนรสชาติแล้ว”
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินอย่างแปลกใจ คำพูดนี้เขาหมายความว่าอะไร?
เห็นเพียงโห้หลีเฉินเลื่อนกล่องอาหารตรงหน้าไปตำแหน่งเดิมที่เย้นหว่านนั่ง แล้วพูดกับเธอว่า “เข้ามา กินอันนี้เถอะ”
เย้นหว่านถามอย่างงงงวยประโยคหนึ่ง “งั้นคุณล่ะ?”
“ฉันจะกินบะหมี่”
โห้หลีเฉินหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่าสง่าผ่าเผย เริ่มทานบะหมี่ใหม่อีกครั้ง
เย้นหว่านรีบเดินเข้ามา “ไม่ต้องกินแล้ว รสชาตินี้ทำไม่ดีเลย”
เธอเองยังทานไม่ลงเลย
โห้หลีเฉินมองเธอไปตรงๆ ทุกคำทุกประโยค ราวกับกำลังพลอดรัก ปลุกปั่นด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ของที่เธอทำ ฉันชอบกินทั้งนั้น”
หัวใจของเย้นหว่านเต้นแรงขึ้นมาฉับพลัน เกือบไม่มีทางนิ่งลงได้
ขณะนั้นสีหน้ามู่หรุงชิ่นซีดขาดราวกับกระดาษ มองโห้หลีเฉินกับเย้นหว่านอยู่ อิจฉาจนแทบจะบ้า แล้วมองดูตัวหล่อนเองอีกครั้ง อยู่ที่นี่ก็เป็นก้างขวางคอที่ไม่เข้าพวก ผู้ที่เป็นส่วนเกิน
ในสายตาของโห้หลีเฉิน ไม่มีการมีอยู่ของหล่อนตั้งแต่ต้นจนจบ
มู่หรุงชิ่นสุดจะทนที่จะอยู่ต่อไป จึงพูดเสียงต่ำ
“ฉันยังมีธุระนิดหน่อย กลับก่อนนะ”
เย้นหว่านเห็นมู่หรุงชิ่นสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร สับสนในใจอยู่บ้าง
เธอไม่เข้าใจ ทั้งที่โห้หลีเฉินกับมู่หรุงชิ่นเป็นคู่รักกัน ในเวลาส่วนตัวก็ช่างเถอะ แต่ว่าตอนที่อยู่ต่อหน้ามู่หรุงชิ่น ทำไมโห้หลีเฉินยังต้องมีเลศนัยขนาดนี้กับเธอด้วย?
“คือว่าคุณหนูมู่หรุง คุณโห้มือเจ็บแล้วต้องการคนดูแลถึงจะได้ ไม่งั้นคุณก็อยู่ดูแลเขาต่อไปเถอะ”
ได้ยินคำพูดของเย้นหว่าน โห้หลีเฉินสีหน้าอึมครึมแล้ว “ป๊าบ”เสียงวางตะเกียบลง
เขาจ้องเย้นหว่านตรงๆ ถามว่า “เธออยากผลักความรับผิดชอบ?”
“ไม่ ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่แฟน……”
“เสี่ยวหว่าน”
ได้ยินเย้นหว่านพูดประเด็นอ่อนไหวออกมา มู่หรุงชิ่นรีบขัดคำพูดของเย้นหว่านทันที “ฉันมีธุระจริงๆ ต้องไปแล้วนะ”
ครู่หนึ่ง หล่อนเดินมาด้านหน้าของเย้นหว่าน ใช้เสียงที่เบามากบอกไป
“สองวันนี้ รบกวนเธอช่วยดูแลเฉินให้ดี ขอบใจนะ”
เย้นหว่าน “……”
ก่อนหน้ามีความรู้สึกผิดในใจ รับปากจะดูแลโห้หลีเฉินแล้ว แต่ว่าตอนนี้โดนมู่หรุงชิ่นพูดออกมาเช่นนี้ เธอก็รู้สึกไม่ถูกใจเป็นพิเศษ
มู่หรุงชิ่นกดความริษยาที่ระทมทุกข์ในใจไว้ หล่อนรักษารอยยิ้มที่สง่างาม พูดกับโห้หลีเฉินอย่างอ่อนโยน
“เฉิน นายรักษาแผลดีๆ ฉันไปก่อนนะ”
“อืม”
เห็นมู่หรุงชิ่นยังพอมองสถานการณ์ออก รู้จักไม่เป็นก้างขวางคอ จึงรีบออกไป โห้หลีเฉินถึงตอบหล่อนไปอย่างให้พระคุณ
หลังจากมู่หรุงชิ่นจากไป ในคฤหาสน์ก็กลับมาเหลือเพียงเธอและโห้หลีเฉินสองคน
เย้นหว่านมองโห้หลีเฉินที่ทานบะหมี่อย่างสง่างาม ในใจเกิดความสงสัย ไม่เข้าใจเป็นครั้งแรก
โห้หลีเฉินกับมู่หรุงชิ่นเป็นคู่รักกัน แต่ว่าทำไมทุกอย่างเมื่อสักครู่นี้ ถึงดูเหมือนแปลกประหลาดขนาดนั้นกัน?
พวกเขาสองคนไม่เหมือนลักษณะที่คู่รักควรมีสักนิด อย่างน้อยการแสดงออกของโห้หลีเฉินยังเป็นแบบนี้
เย้นหว่านลังเลนิดหน่อย บรรจุความสงสัยอยู่เต็มอก มองโห้หลีเฉินแล้วถามขึ้น
“คุณโห้ คุณกับคุณหนูมู่หรุง……ทะเลาะกันรึเปล่า?”
“ไม่นี่”
โห้หลีเฉินไม่ได้เงยหน้าขึ้น ตอบคำถามอย่างเรียบนิ่งที่สุด ราวกับไม่ใส่ใจสักนิด
ชั่วขณะนั้นเย้นหว่านยิ่งเพิ่มความสงสัย ทำไมโห้หลีเฉินดูเหมือน……
ลักษณะที่ไม่ใส่ใจมู่หรุงชิ่นเลย