สัญญารัก คบกับประธานฮั่ว30วัน - บทที่ 1192 ฐานะของเด็กหนุ่ม
ทักษะภาคสนามของเธอไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม้แต่กิจกรรมปีนเขาจำลองเธอยังไม่เคยไปมาก่อน เธอจะปีนกำแพงที่สูงแบบนี้ได้ยังไง?
เย้นหว่านหนักใจมาก
เด็กหนุ่มหันกลับมามองเธอ “ผมเตรียมเครื่องมือ ที่จะช่วยคุณได้ คุณเองก็เตรียมพร้อมไว้ เราต้องปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็วและเบาเสียงที่สุด ต้องไม่ให้ใครมาเห็นได้ ถ้าคุณทำไม่ได้ ก็อย่าขึ้นไปเลย”
เย้นหว่านนวดขมับ นิ่งคิดอยู่สักพัก ก็ถามออกมา
“ที่นี่มีประตูและบันไดเยอะขนาดนี้ หรือว่าจะมีคนยืมคุมทั้งหมดเลย”
จากภายนอก สถานที่แห่งนี้น่าจะรกร้างมาเป็นเวลานานแล้ว ไม่น่าจะยังมีคนอาศัยอยู่เลยนี่นา
เด็กหนุ่มพยักหน้า “พวกมันเคลื่อนย้ายเร็ว ดังนั้นจึงไม่ได้ติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ แต่ทางเข้าทุกทางจะมีคนยืนเฝ้า”
ทุกทางเข้ามีคนยืนเฝ้า งั้นคนข้างในนั้นมีกี่คนกันแน่?
เย้นหว่านตกใจ เธอรู้สึกเหมือนถูกล้อมรอบด้วยตาข่ายขนาดใหญ่ นี่ไม่ใช่การลักพาตัวเด็กแบบธรรมดาแน่ๆ
เธอมาคนเดียวแบบนี้ แล้วยังแอบเข้ามาอีก จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ?
“อย่างที่คุณเห็น ที่นี่มีทางเข้าออกมากมาย เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นสถานการณ์ด้านในจากด้านนอก และไม่รู้ด้วยว่าพวกเขาจะจากไปตอนไหน พวกเราต้องเข้าไปดูให้แน่ใจ เพื่อระบุตำแหน่งของพวกเขา”
เด็กหนุ่มอธิบายว่าทำไมถึงต้องเข้าไปข้างในให้ได้
เย้นหว่านไม่สามารถโต้เถียงได้ ในใจของเธอยิ่งรู้สึกสับสนมากขึ้น “พวกเขาเป็นใครกันแน่ หรือว่ามาจากองค์กรไหน?”
เด็กหนุ่มที่ตอบทุกคำถาม กลับนิ่งเงียบไป
หลังจากผ่านไปหนึ่งนาทีเต็มๆ เขาถึงยอมตอบ “ผมบอกคุณไม่ได้”
พูดไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้
บนตัวของเด็กหนุ่มคนนี้ ล้วนมีแต่ความลับทั้งนั้น
เย้นหว่านร่วมมือกับบุคคลคนนี้ บุกเข้ามาในองค์กรที่อันตราย เย้นหว่านเหมือนเอาชีวิตของตัวเองไต่อยู่บนเชือกตรงหน้าผา
แต่ว่า เธอไม่มีทางเลือกอื่น
ทำได้แต่เดินไปทีละก้าว ค่อยว่ากันไปทีละก้าว
เย้นหว่านพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นายเดินไปข้างหน้า ถ้านายคิดตุกติก ฉันจะจัดการนายทันที”
การระวังผู้อื่นนั้นมิควรขาด
เด็กหนุ่มยักไหล่อย่างเฉยเมย แล้วนำทางไปตามทางมืด แล้วเดินลัดเลาะพงหญ้าเข้าใกล้กำแพง
เขาดูคุ้นเคยกับสถานที่นี้มาก จึงรีบหยิบเครื่องมือปีนที่เขาซ่อนไว้ออกจากพงหญ้า
เครื่องมือดูเก่ามาก แต่กลับเงาวับมาก เหมือนถูกใช้งานบ่อยๆ
เย้นหว่านเริ่มสงสัยมากขึ้น
เธอมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตัวตนที่แท้จริงของเขาคืออะไรกันแน่?
เด็กหนุ่มไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบหยิบเครื่องมือที่เรียบง่ายออกมา ก่อนจะสวมไว้บนมือ แล้วเริ่มปีนขึ้นไปบนกำแพง
เขารวดเร็วเหมือนลิง แค่แวบเดียวก็ปีนขึ้นไปหลายเมตรแล้ว
เขามองลงข้างล่าง แล้วพูดเร่งเร้า “เร็วเข้า”
ถึงแม้ในใจจะรู้สึกไม่สบายใจ เย้นหว่านกัดฟันแน่น แล้วใส่เครื่องมือบนมือและเท้า ก่อนจะปีนตามเขาขึ้นไป
ถ้าเป็นเมื่อก่อน ถึงแม้จะมีเครื่องมือเหล่านี้ เธอก็คงปีนขึ้นไปบนกำแพงไม่ไหว
แต่ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เธอพบเจอกับเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมากมาย อีกทั้งเธอยังได้ฝึกวิชาการป้องกันตัวจากป่ายฉีกับเย้นโม่หลิน จึงมีพื้นฐานติดตัวอยู่บ้าง ความแข็งแกร่งของร่างกายเธอดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก พอจะรับไหว..
แม้ว่าจะไม่เร็วเท่าเด็กคนนั้น แต่เธอก็ยังปีนขึ้นไปไม่หยุด
ยิ่งปีนขึ้นสูงเท่าไหร่ ลมหนาวในยามค่ำคืน พัดเข้าใส่ร่างกายจนหนาวเย็นมากขึ้น
ความรู้สึกว่างเปล่าใต้ฝ่าเท้า ทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เย้นหว่านกัดฟันกรอด พยายามไม่มองลงไปด้านล่าง ทำจิตใจให้สงบนิ่ง แล้วปีนขึ้นไปต่อ
เธอพยายามสะกดจิตตัวเองอยู่เสมอ เธอจะถอยไม่ได้ จะก้าวเดินไปข้างหน้าหรือถอยหลังเกี่ยวข้องกับชีวิตของลูกๆ ของเธอ
เพื่อลูกๆ แล้ว เธอเอาชนะได้ทุกอย่าง
ในที่สุด ก็ถูกลมหนาวพัดจนเหงื่อไหลซึม เย้นหว่านตามเด็กหนุ่ม กระโดดจากช่องว่างหนึ่งไปที่ทางเดิน
ทางเดินเหมือนที่ดูจากภายนอก ทรุดโทรมมาก บนพื้นก็เต็มไปด้วยใบไม้ที่แห้งเหี่ยวและเศษขยะที่ถูกลมพัดเข้ามา
เห็นได้ชัดว่าไม่มีคนอยู่ที่นี่มานานแล้ว
เด็กหนุ่มเหลือบมองไปทางเย้นหว่าน แล้วพยักหน้าให้เธอ ชี้มือให้เธอเดินตามเขาไป
ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้ดี คลำมือไปตามความมืด แล้วเดินไปอีกทางหนึ่งของทางเดินอย่างเงียบเชียบ
เย้นหว่านเดินตามหลังไปเงียบๆ พยายามไม่ส่งเสียง
ยิ่งเดินเข้าไปข้างใน เย้นหว่านยิ่งตกใจกับความแตกต่างในภายหลังมากขึ้น
ข้างในยังมีกิ่งก้านใบไม้ที่แห้งตายอยู่ทุกหนทุกแห่ง บนพื้นเต็มไปด้วยขยะ ดูไปแล้วเหมือนไม่มีใครมาที่นี่นานแล้ว แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ จะพบว่าข้างในมีฝุ่นน้อยกว่ามาก มีร่องรอยของผู้คนเข้ามาใช้งาน
แต่ว่าคนพวกนั้นจงใจปิดบังไว้ ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็จะไม่เห็นถึงความผิดปกติ
เย้นหว่านมั่นใจได้ในทันที ว่าในตึกร้างแห่งนี้ มีคนซ่อนตัวอยู่จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเชี่ยวชาญในการหลบซ่อน และการลาดตระเวน
ถ้าเผชิญหน้ากัน ฉันคงจะ…
ไม่ว่ายังไง เธอก็ต้องรอจนกว่าโห้หลีเฉินจะมาถึง
พอคิดได้แบบนี้ เด็กหนุ่มที่เดินอยู่ข้างหน้า พอเดินเลี้ยว ก็ชนเข้ากับชายร่างใหญ่ที่มีหนวดเครา
“ใครกัน?!”
ชายร่างใหญ่พูดด้วยท่าทีระมัดระวัง มือข้างที่จับกระบองไฟฟ้าเตรียมจะตีลงบนศีรษะอีกฝ่าย
หัวใจของเย้นหว่านบีบเกร็ง เลือดในกายสูบฉีดอย่างแรง
ทำไมถึงโชคร้ายขนาดนี้ เพิ่งเข้ามาก็เจอตัวการเลย แบบนี้จะซ่อนตัวก็คงไม่ทันการแล้ว!
เธอตื่นตระหนก แต่ทันใดนั้นเอง เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหน้าก็เดินออกไป ยืนขวางหน้าของผู้ชายคนนั้นไว้ แล้วเอ่ยปากพูด
“พี่หลิว ผมเอง”
ชายร่างใหญ่ที่ยกไม้เท้าขึ้นสูงหยุดชะงักไป เขาพึ่งแสงในยามกลางคืน จนมองหน้าอีกฝ่ายชัดเจน ถึงได้วางกระบองไม้ลง
“หมายเลข 73 ทำไมถึงเป็นนายล่ะ นายมาทำอะไรที่นี่กลางดึกแบบนี้”
เด็กหนุ่มที่ถูกเรียกว่าหมายเลข 73 ตอบ “ผมได้ยินมาว่าตอนเย็นเพิ่งจับเด็กที่น่ารักกลับมาได้สองคน ผมแปลกใจนี่นา ก็เลยอยากมาดู”
“แปลกใจอะไรของนาย เรื่องพวกนี้นายไม่ต้องเข้ามายุ่ง กลับไปเร็ว ถ้าลูกพี่เห็นนายออกมาเดินข้างนอก ระวังนายจะโดนตีขาหัก”
“ครับ ครับ ครับ ขอบคุณพี่หลิวมากนะครับ ที่เตือนผม ถ้าพี่จะไปเข้าห้องน้ำ ก็ไปก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะกลับไปนอนแล้ว”
“อะไรที่นายไม่ควรเห็น ก็อย่าสงสัย ระวังชีวิตของนายจะไม่ยืน”
ชายร่างใหญ่พูดสั่งเสียงเข้ม “ไม่ต้องนอนแล้ว กลับไปเก็บของ อีกเดี๋ยวเราจะไปกันแล้ว”
“จะไปแล้วเหรอครับ?” เสียงของเด็กหนุ่มสูงขึ้นเล็กน้อย
ชายร่างใหญ่หน้าบึ้งตึงอย่างไม่พอใจ “จะตื่นเต้นอะไรทำไม ก็เรื่องปกติไม่ใช่เหรอ? แล้วอีกอย่างคืนนี้ที่นี่วุ่นวายมาก ดังนั้นพวกเราต้องออกไปโดยเร็วที่สุดถึงจะปลอดภัย”
“ครับ” เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรอีก เขายืนฟังอย่าเชื่อฟัง
ชายร่างใหญ่ไม่สนใจเขาอีก เขายกขาขึ้น แล้วเดินตรงไปข้างหน้า
เขาไม่ทันได้สังเกต ว่าตอนที่เด็กหนุ่มเดินมาขวางหน้า เย้นหว่านก็มุดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตูแล้ว
เย้นหว่านซ่อนตัวอยู่ตรงประตูอย่างตื่นตระหนก ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาอย่างชัดเจน
เธอเคยสงสัยในตัวตนของเด็กหนุ่ม แต่เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มคนนั้นจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันกับคนพวกนี้
แล้วเขาจะเสียแรงพาเธอมาที่นี่เพื่ออะไรกัน?
หรือว่า เขาจะหลอกเธอมาที่นี่?
เย้นหว่านชาไปทั้งตัว ในมือจับเครื่องช็อตไฟฟ้าป้องกันตัวที่โห้หลีเฉินให้เธอไว้แน่น แล้วหันหน้าไปทางประตูอย่างระมัดระวัง